ฉินซิวเฉินสนใจอีกเรื่องหนึ่ง เขามองไปทางฉินฮั่นชิว ดวงตาที่สวยงามคู่นั้นหรี่ลง แฝงไปด้วยความเยือกเย็น “เสี่ยวเฉิงเป็นใคร?”
ให้ฉินหร่านพาเสี่ยวเฉิงกลับมาทานข้าวที่บ้านด้วยกัน…
ฉินซิวเฉินหรี่ตาอย่างไม่สบอารมณ์
ฉินฮั่นชิวลดเสียงลงโดยไม่รู้ตัว “ก็ เขาเป็น…เป็นเพื่อน…หร่านหร่านน่ะ เป็นศัลยแพทย์หัวใจ เก่งมาก”
“หมอ?” เสียงของฉินฮั่นชิวเบามาก ฉินซิวเฉินเริ่มคิดแล้วว่ามีหมอเฉิงอะไรนั่นอยู่ในเมืองหลวงหรือไม่
คิดไม่ออก
ฉินซิวเฉินพยักหน้า ถ้าเจอฉินหร่านคราวหน้าค่อยลองถามดูว่าเสี่ยวเฉิงคนนั้นอยู่โรงพยาบาลไหน
**
ทางด้านนี้ ฉินหร่านเข้าประตูใหญ่ถิงหลาน
เดินไปตามทางได้หนึ่งนาทีก็เห็นเฉิงเจวี้ยนยืนอยู่ที่ใต้หลอดไฟริมถนน
เขาสวมเสื้อโค้ตตัวยาวสีดำที่ไม่อาจซ่อนขายาวๆ ของเขาได้ มือกอดอกหลวมๆ
เขายืนพิงอยู่ที่เสาไฟริมถนน ไฟส่องกระทบร่างผอมสูงจนเงาลากยาวไปมาก คิ้วและดวงตาที่คมชัดปกคลุมไปด้วยเงามืด ปกปิดกระแสคลื่นซัดสาดไม่มิด
เมื่อเห็นเธอแล้ว เขาก็ยืนตัวตรง ปล่อยมือลงแล้วเดินไปข้างหน้าสองก้าว “หนาวไหม?”
เขากางแขนออกแล้วรวบตัวเธอเข้ามาในเสื้อโค้ตตัวเอง
“พอไหว” ฉินหร่านเอียงศีรษะและพูดด้วยน้ำเสียงผ่อนคลาย “กลับกันก่อน คุณคำนวณเครื่องปฏิกรณ์ที่ฉันให้คุณแล้วหรือยัง?”
ตลอดครึ่งเดือนที่ผ่านมา เฉิงเจวี้ยนแทบจะเรียนวิชาฟิสิกส์ของมหาวิทยาลัยไปพร้อมกับเธอเลยก็ว่าได้ เขาปล่อยมือพร้อมกับดึงตัวเธอเดินมาข้างหน้า “คำนวณแล้ว อยู่บนโต๊ะเธอ”
ฉินหร่านไม่ได้รู้สึกแปลกใหม่กับการทดลองทางฟิสิกส์ แต่เครื่องปฏิกรณ์เป็นอุปสรรคสำหรับเธอเล็กน้อย
การทดลองทางฟิสิกส์มีมากมายนับไม่ถ้วน หลังจากฉินหร่านเข้าไปเรียนก็ถึงได้เข้าใจว่าทำไมซ่งลี่ว์ถิงส่งวิดีโอการทดลองมาให้เธอ พอได้ลงมือทำเองก็พบว่าช่องโหว่เล็กๆ น้อยๆ ก็สามารถก่อให้เกิดความเสียหายที่ยากจะแก้ไขได้
ฉินหร่านต้องยอมรับว่าเธอเรียนรู้ด้านนี้มาเพียงผิวเผินเท่านั้น
ความรู้เชิงทฤษฎีไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเธอเพราะความจำเธอดีอย่างน่าเหลือเชื่อ
แต่การทดลองทางฟิสิกส์ ทฤษฎีก็เป็นแค่พื้นฐานเท่านั้น
เธอเดินตามเฉิงเจวี้ยนกลับไปและไม่ได้ทิ้งตัวอยู่ชั้นล่าง เธอเข้าห้องไปดูเครื่องปฏิกรณ์ที่เฉิงเจวี้ยนคำนวณให้เธอและเปรียบเทียบกับของตัวเอง
ชั้นล่าง
เฉิงจินกล่าวชื่นชม “คุณหนูฉินน่ากลัวเกินไปแล้ว”
ต่างกับเฉิงเจวี้ยนโดยสิ้นเชิง
เฉิงเจวี้ยนหยิบแก้วน้ำจากบนโต๊ะ เหลือบมองเฉิงจินนิ่งๆ
เฉิงจินรีบเก็บอาการทันที เขาเปิดกระเป๋าเอกสารที่วางบนโต๊ะด้วยท่าทางเคร่งเครียด หยิบจดหมายออกมาสองฉบับ “คุณชายเจวี้ยน สืบไม่พบครับ”
เฉิงเจวี้ยนวางมือบนโต๊ะ รับซองจดหมายมาโดยไม่อ่าน วางไว้ในมืออย่างส่งๆ
**
วันรุ่งขึ้น
วันเสาร์
ฉินหร่านตื่นแต่เช้า เฉิงมู่กับพ่อครัวรู้ว่าวันนี้ฉินหร่านจะไปสอบ
พ่อครัวยังคงจัดอาหารเช้าไว้เต็มโต๊ะ
เมื่อเฉิงมู่เห็นฉินหร่านกินเสร็จก็เดินไปคุยกับพ่อครัวในห้องครัว เขาลดเสียงพูดพลางมองพ่อครัวด้วยสีหน้าเรียบเฉย “วันนี้คุณหนูฉินคะแนนเต็มสามร้อย ไม่ถึงหนึ่งร้อยไม่ผ่านเกณฑ์”
พ่อครัวยกตะหลิว มองเฉิงมู่ที่มีสีหน้าเรียบเฉย
หลังจากกินข้าวเสร็จก็เป็นเวลาเจ็ดโมงครึ่ง เฉิงเจวี้ยนไปส่งฉินหร่านที่มหาวิทยาลัย
ทั้งสองเพิ่งออกไปได้ไม่กี่นาที นายท่านเฉิงก็มาหาฉินหร่านเพื่อพาออกไปเที่ยว แต่กลับไม่คิดว่าจะเจอแต่ความว่างเปล่า
“หร่านหร่านออกไปหาเพื่อนอีกแล้วเหรอ?” นายท่านเฉิงมองไปที่เฉิงมู่ที่กำลังยุ่งอยู่ในห้องโถง
ครั้งล่าสุดที่มาหาฉินหร่าน ฉินหร่านก็ออกไปหาเพื่อน
เฉิงมู่เงยหน้าขึ้น เขาเดินไปรินชามาให้นายท่านเฉิง ตอบด้วยความสุขุม “คุณหนูฉินไปสอบครับ”
“วันนี้ยังมีสอบอีกเหรอ?” นายท่านเฉิงนั่งลงบนโซฟา “สอบอะไร?”
พ่อบ้านที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็มองมาทางเฉิงมู่ด้วยความประหลาดใจเช่นกัน
เฉิงมู่มองนายท่านเฉิง พูดด้วยความเคารพ “สอบเข้าห้องปฏิบัติการทางฟิสิกส์ครับ”
นายท่านเฉิงก้มหน้าดื่มชา “อืม” พออืมได้ครึ่งเดียวก็เงยหน้าขึ้นทันที “นายว่าอะไรนะ?”
เฉิงมู่เห็นจนเคยชิน พูดซ้ำอีกครั้งว่า “สอบเข้าห้องปฏิบัติการทางฟิสิกส์ครับ”
**
มหาวิทยาลัยเมืองหลวง
ฉินหร่านมาถึงหน้าประตูห้องปฏิบัติการทางฟิสิกส์พร้อมกับกลุ่มสถาบันที่เข้าประเมิน
มีคนยืนอยู่หน้าประตูกว่าร้อยคน
นอกจากนี้ยังมีศาสตราจารย์และอาจารย์ของแต่ละสถาบันมาด้วย การประเมินของห้องปฏิบัติการในแต่ละปีถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ของเมืองหลวง เหล่าอาจารย์และศาสตราจารย์ต่างก็เอาจริงเอาจังกันมาก
“การสอบภาคทฤษฎีวันนี้มั่นใจไหม?” คณบดีเจียงยืนอยู่ๆ ข้างพร้อมกับไพล่มือไว้ด้านหลัง เขามองฉินหร่านพลางกระซิบถาม
ฉินหร่านวางมือไว้ท้ายทอย “น่าจะพอไหว”
เมื่อเห็นเธอมีท่าทีแบบนี้ก็น่าจะมั่นใจได้ เส้นทางนี้ไม่น่าจะยากสำหรับเธอ คณบดีเจียงปล่อยเธอเข้าไปสอบข้อเขียนก่อน
เขายืนนิ่งอยู่กับที่ มองแผ่นหลังที่แน่วแน่ของฉินหร่าน จู่ๆ ก็เบี่ยงตัวไปถามโจวอิ่ง “นายคิดว่าเธอจะนำความยินดีมาให้พวกเราได้ไหม?”
โจวอิ่งขมวดคิ้ว “ก็ต้องรอดูพรุ่งนี้เช้าว่าจะติดห้าสิบอันดับแรกได้หรือไม่…”
คณบดีเจียงได้ยินเสร็จก็ไม่ได้พูดอะไร
ตึกห้องปฏิบัติการทางฟิสิกส์มีห้าชั้น และยังมีชั้นใต้ดินอีกสามชั้น
โครงสร้างของอาคารทั้งหลังมีขนาดใหญ่มาก เป็นกระจกเกือบทั้งหลัง
สถานที่สอบภาคทฤษฎีอยู่ที่ห้องประชุมที่ใหญ่ที่สุดที่ชั้นหนึ่ง การสอบข้อเขียนเป็นด่านแรกในการเข้าห้องปฏิบัติการทางฟิสิกส์ ถ้าสอบไม่ติดภายในห้าสิบอันดับแรกก็จะโดนคัดออกทันที ทุกคนมีโอกาสเพียงครั้งเดียว ดังนั้นทุกคนจึงทุ่มสุดตัว
คนจำนวนหนึ่งร้อยคนแบ่งออกเป็นสองสนามสอบ มีกล้องวงจรปิดหลายตัวบวกกับผู้คุมสอบอีกสี่คน และยังมีอุปกรณ์ป้องกันสัญญาณเครื่องมือสื่อสาร
ฉินหร่านหาที่นั่งของตัวเองเจอแล้วก็นั่งลง
ข้อสอบข้อเขียนสำหรับการประเมินห้องปฏิบัติการทางฟิสิกส์มีเนื้อหาครอบคลุมหลากหลายด้าน นอกจากคำถามทางวิชาชีพ ยังครอบคลุมในด้านแม่เหล็กนิวเคลียร์โฟโตอิเล็กทริกและคำถามทางวิชาชีพในด้านSCIอีกมากมาย มีทั้งแบบหลอกถามและแบบเจาะลึก
การสอบกลางภาคของมหาวิทยาลัยเมืองหลวงเทียบไม่ได้กับความยากของหัวข้อนี้
ถ้าไม่ระวังอาจโดนคำถามหลอกก็เป็นไปได้
กระดาษข้อสอบมีสองแผ่น ฉินหร่านเปิดดูพลางคิดในใจ มิน่าล่ะนักศึกษาของมหาวิทยาลัยเมืองหลวงถึงหน้าถอดสีเมื่อพูดถึงการประเมิน
เวลาสอบ 150 นาที หรือสองชั่วโมงครึ่ง
ดูเหมือนจะเป็นเวลาที่ยาวนาน แต่ความเป็นจริงแล้วกระดาษคำตอบวิชาฟิสิกส์สามร้อยคะแนนใช้เวลาสองชั่วโมงครึ่งก็ไม่พอ
เธอหยิบปากกาเริ่มเขียนทีละข้อ
คนทั้งประเทศที่ถูกเลือกเข้ามาที่นี่ล้วนเป็นหัวกะทิของภาควิชาฟิสิกส์ด้วยกันทั้งนั้น นักศึกษาปีสามปีสี่ต่างก็เคยเข้าร่วมการแข่งขันทางฟิสิกส์กันเกือบทุกคน ความรู้ด้านฟิสิกส์ที่สั่งสมมามีมากกว่าอาจารย์ของตัวเองเสียด้วยซ้ำ แต่ละวันอ่านหนังสือจนแทบจะกินเนื้อหาแทนข้าว
ทันทีที่เริ่มเขียนหัวข้อก็เป็นไปอย่างราบรื่น พอเขียนกระดาษคำตอบมาถึงแผ่นที่สอง ความเร็วก็เริ่มลดลง บางคนคำนวณข้อมูลในเอกสารต้นฉบับ บางคนคิดหนักและหาวิธีคิดไม่ได้
ในสถานที่ใหญ่โตเช่นนี้ อาจารย์ผู้คุมสอบทั้งสี่ท่านต่างก็พุ่งความสนใจไปที่เด็กสาวที่นั่งแถวสุดท้าย เธอแทบจะไม่เงยหน้าเลยและคำนวณบนกระดาษต้นฉบับน้อยมาก
หลังจากผ่านไปสองชั่วโมง
เธอวางปากกาลงและพลิกกระดาษข้อสอบ
อาจารย์ท่านหนึ่งนึกสงสัยว่าตัวเองดูผิด เขาผงะไปสักพักแล้วถามคนข้างๆ “เธอกำลังทำอะไรน่ะ?”
“เช็กกระดาษข้อสอบหรอ?” อาจารย์อีกคนก็เหลือบมองเช่นกัน พูดอย่างไม่มั่นใจ
ขณะที่อาจารย์ทั้งสองท่านยังไม่แน่ใจ นักศึกษาคนนั้นก็ยกมือขึ้น
อาจารย์คิดว่าเธอมีปัญหาอะไรจึงเดินเข้าไปสอบถามข้างๆ
หลังจากฉินหร่านตรวจสอบดูรอบหนึ่งแล้วไม่พบข้อผิดพลาด เธอจึงเก็บปากกาและกล่องดินสอ พูดเสียงเบาๆ สั้นๆ ได้ใจความเนื่องจากยังอยู่ในระหว่างการสอบ “ส่งกระดาษคำตอบค่ะ”
พอเก็บของเสร็จก็เห็นว่าอาจารย์ผู้คุมสอบยังยืนนิ่งไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง
ฉินหร่านชะงักสักพัก เม้มริมฝีปาก ยังคงพูดด้วยเสียงที่เบามาก “ส่งก่อนเวลาไม่ได้เหรอคะ?”
“ห้ะ…ได้…” อาจารย์ตอบกลับ เขารับกระดาษคำตอบของฉินหร่านมา
จากนั้นก้มหน้าดูชื่อและสถาบันบนกระดาษคำตอบของฉินหร่าน อาจารย์ผู้คุมสอบอีกท่านก็โน้มตัวมาดูด้วย “ชื่อ…ฉินหร่าน นักศึกษามหาวิทยาลัยเมืองหลวง…กำเริบเสิบสานขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย?”
การสอบแบบนี้ยังกล้าที่จะส่งกระดาษคำตอบก่อนเวลา?
อีกอย่าง…
เวลาสองครึ่งชั่วโมงคนอื่นยังทำกันไม่ทันเลย เธอทำเสร็จและยังเช็กกระดาษคำตอบไปหนึ่งรอบภายในเวลาสองชั่วโมงก็ถือว่าแล้วไป แต่นี่ยังกล้าส่งกระดาษคำตอบก่อนเวลาอีกเนี่ยนะ ? !
**
ฉินหร่านส่งกระดาษคำตอบก่อนเวลา หลังจากออกมาแล้วดูเวลาก็เพิ่งจะสิบโมง
เธอไม่ได้กลับถิงหลาน แต่อ้อมไปที่ห้องทดลองเล็กที่ตึกรวมเพื่อเริ่มทำการทดลอง
ฉินหร่านใช้เครื่องปฏิกรณ์ที่เฉิงเจวี้ยนคำนวณเมื่อคืนมาลองทำการทดลอง มันต่างจากที่เธอคำนวณไปมากเพราะเขาไม่ได้เรียนภาควิชาฟิสิกส์โดยตรง แต่ก็ถือว่าเป็นการเสนอแนวคิดให้เธอได้พอประมาณ
เปลี่ยนแนวคิด