บทที่ 383 การแก้แค้นของสำนักเมฆาเขียว
บทที่ 383 การแก้แค้นของสำนักเมฆาเขียว
ซูหว่านเอ๋อมองปิ่นหยกต้องสาปในมือของอวี้ฮ่าวหรานด้วยสายตากระตือรือร้น แต่กลับมีท่าทีลังเลเล็กน้อย
“ให้ฉันเหรอคะ? คุณ…ซื้อมันมานี่”
ระหว่างที่พูดอยู่นั้น เธอมีท่าทางเกรงใจเขาเล็กน้อย ทำให้หญิงสาวยิ่งน่ารักน่าเอ็นดูกว่าเดิม
“รับไปเถอะครับ ผมเบื่อเลยไม่อยากเก็บมันไว้แล้ว”
อวี้ฮ่าวหรานวางปิ่นหยกต้องสาปไว้ข้างหน้าเธอ ทำให้ซูหว่านเอ๋อถึงกับตกตะลึง
บางคนคงไม่เข้าใจว่าทำไมอีกฝ่ายถึงเบื่อมัน แต่ความจริงแล้ว ชายหนุ่มไม่เคยเบื่อมันเลยสักครั้ง
เมื่อเห็นอวี้ฮ่าวหรานวางปิ่นลง เธอจึงเอื้อมมือออกไปหยิบอย่างช้า ๆ
“สวยจังเลย”
ซูหว่านเอ๋อมองปิ่นหยกต้องสาปในมืออย่างทะนุถนอม บนตัวปิ่นสลักลวดลายมังกรและหงส์ที่กำลังโบยบินราวกับมีชีวิต ฝีมือการแกะสลักสวยงามไม่น้อย
“คุณให้ฉันจริง ๆ เหรอคะ?”
แม้จะมีความสุข แต่เธอก็ยังคงหันมองชายหนุ่มด้วยความลังเล ไม่ว่าจะมองจากมุมไหน ปิ่นหยกนี้ก็ล้ำค่ามาก
“รับไปเถอะครับ ผมไม่ต้องการมันแล้วจริง ๆ อีกอย่างตอนนี้คุณกำลังป่วย มันเลยเหมาะกับคุณมากกว่า”
พออวี้ฮ่าวหรานเห็นว่าอีกฝ่ายไม่กล้ารับ เขาจึงพูดโน้มน้าวทันที
ซูหว่านเอ๋อยังคงลังเลอยู่พักใหญ่ ในที่สุดเธอก็พยักหน้า พวงแก้มซีดขาวแดงระเรื่อขึ้นมาทันที
“ขอบคุณมากค่ะ”
เวลาเช้าผ่านไปในพริบตา
หลังจากรู้ว่าอีกฝ่ายพ้นขีดอันตรายแล้ว อวี้ฮ่าวหรานจึงรีบออกจากโรงพยาบาลแล้วตรงดิ่งไปที่บริษัท
วันนี้เขาต้องมอบทรัพย์สินของบริษัทเทียนชิงให้กับบริษัทฮัวหรงของหลี่หรง ดังนั้นชายหนุ่มจึงต้องเข้าร่วมให้ได้
เมื่อขับรถมาได้ครึ่งทาง อวี้ฮ่าวหรานก็สังเกตว่าบริเวณรอบ ๆ เงียบเชียบจนน่าขนลุก
ชายหนุ่มกำลังขับรถผ่านย่านชานเมืองรกร้าง บริเวณข้างถนนเงียบสงัดจนไม่ได้ยินเสียงสิ่งมีชีวิต
ในเวลานี้เขาใช้ประสาทสัมผัสอันฉับไวของตัวเองเพื่อฟังเสียงสิ่งมีชีวิตโดยรอบ แต่กลับไม่ได้ยินแม้แต่เสียงแมลงหรือนก
อวี้ฮ่าวหรานรู้สึกประหลาดใจจึงขมวดคิ้ว มีบางอย่างผิดปกติ!
เขาชะลอความเร็วรถให้ช้าลง หลังจากใช้ดวงตาเทวะสำรวจบริเวณรอบ ๆ ก็พบว่ามีค่ายกลบางอย่างรอบตัวอยู่
ค่ายกลที่แปลกประหลาด…ตอนนี้เขากำลังขับรถอยู่ในค่ายกลนั้น
ถ้าเป็นคนธรรมดา พวกเขาคงกลัวจนตัวสั่นเมื่อรู้ว่าตัวเองกำลังถูกใครบางคนปองร้าย
“ฮึ่ม! พวกหมาลอบกัด”
น้ำเสียงของอวี้ฮ่าวหรานอัดแน่นไปด้วยความรังเกียจ เขาจอดรถไว้ที่ข้างทางก่อนลงจากรถ
“ฮ่า ๆ! ในที่สุดฉันก็เจอแก!”
ทันใดนั้นกลุ่มคนก็ปรากฏตัวขึ้นไม่ไกลจากถนน!
“ฉันกับพวกลูกศิษย์เป็นคนสร้างค่ายกลนี้เอง มันเพิ่งถูกกระตุ้นตอนแกมาถึง”
คนที่อยู่ข้างหน้าคือชายชราสวมเสื้อคลุมสีเขียว อายุประมาณหกสิบปี แต่กลับมีพลังวิญญาณที่แข็งแกร่งมาก
ด้านหลังของเขามีคนหนุ่มสาวหลายคนที่กำลังมองอวี้ฮ่าวหรานด้วยความสงสัย
พวกเขาจินตนาการไม่ออกเลยว่าชายคนนี้คือคนที่ทำให้ผู้อาวุโสหลินหนีตายหัวซุกหัวซุน
“ฮึ! ตลกจริง ๆ ผู้ชายคนนี้ต้องใช้กลบางอย่างทำให้ผู้เฒ่าหลินกลัวแน่ ๆ”
“ใช่! อายุแค่นี้จะบรรลุขอบเขตก่อรากฐานระดับสูงได้ยังไง?”
“พวกเราจะลากตัวมันกลับไปคุกเข่าต่อหน้าท่านผู้เฒ่าหลิน แล้วจะรอดูว่ามันจะมีสีหน้ายังไง!”
“…”
พวกเขาพูดดูถูกอีกฝ่ายไม่หยุดปาก
คนพวกนี้เป็นศิษย์ของสำนักเมฆาเขียว ซึ่งผู้นำของพวกเขา อู๋เหนียน ผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักเมฆาเขียว!
“ฮ่า ๆ ฉันคิดว่าคนที่ทำให้หลินคังกลัวจนหัวหดจะน่ากลัวซะอีก ที่ไหนได้เป็นเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม!”
เขามองอีกฝ่ายลงจากรถพร้อมหัวเราะเยาะ
ขณะเดียวกันเขาก็แอบตำหนิตัวเองที่ระแวงเกินไป ทำไมต้องสร้างค่ายกลระดับสูงเพื่อสู้กับเด็กอมมือด้วย?
ตอนนี้อวี้ฮ่าวหรานเลิกคิ้วพร้อมมองอีกฝ่ายด้วยสายตารังเกียจ
เพียงมองแค่แวบเดียว เขาก็รู้แล้วว่าคนหนุ่มสาวเหล่านั้นบรรลุขอบเขตก่อรากฐานขั้นต้นเท่านั้น ในขณะที่ชายชราที่เป็นหัวหน้าบรรลุขอบเขตก่อรากฐานขั้นสูง
สำหรับคนทั่วไปแล้ว ความแข็งแกร่งของเขาน่ากลัวไม่น้อย
แต่สำหรับเขาแล้ว ไม่มีอะไรต้องกลัวเลย
แม้จะเคยบรรลุขอบเขตก่อรากฐานขั้นสูง แต่ด้วยประสบการณ์หลายร้อยปี เขาจึงสามารถบดขยี้คู่ต่อสู้ได้ง่ายดาย
ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้เขาก็บรรลุจุดสูงสุดของขอบเขตก่อรากฐานแล้ว!
“พวกแกเป็นคนของสำนักเมฆาเขียวใช่ไหม?”
แม้จะรู้อยู่แก่ใจ แต่อวี้ฮ่าวหรานก็ออกปากถามพอเป็นพิธี
“ฮ่า ๆ ฉันคือผู้อาวุโสอู๋เหนียนแห่งสำนักเมฆาเขียว!”
ชายชราในชุดคลุมสีเขียวแนะนำตัวพร้อมหัวเราะเยาะ ก่อนที่สีหน้าของเขามืดมนลงอย่างเห็นได้ชัด
“เจ้าหนู แกเป็นคนฆ่าอู๋ลั่นใช่ไหม?”
เขามองหน้าอีกฝ่ายอย่างเย็นชา
“ใช่ แล้วยังไง?”
อวี้ฮ่าวหรานตอบด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความขี้เล่นปนดูแคลน
“ผู้เฒ่าไม่บอกแกเหรอว่าครั้งที่แล้วค่ายกลนี้ใช้ไม่ได้ผลสำหรับฉัน?”
“ไร้สาระ! เด็กอมมืออย่างแกจะรู้อะไร? แกคิดว่าคนขี้ขลาดอย่างหลินคังจะเทียบกับฉันได้เหรอ?”
อู๋เหนียนมองอีกฝ่ายด้วยสายตาเหยียดหยาม
กว่าจะบรรลุขอบเขตก่อรากฐานแต่ละขั้นนั้นยากเย็นไม่น้อย แต่หลังจากผ่านพ้นไปแล้ว ความแข็งแกร่งของพลังในแต่ละขั้นก็แตกต่างกันมากเช่นกัน
“รนหาที่ตาย!”
ภายในค่ายกล อู๋เหนียนพูดเสียงทุ้มพร้อมโบกมือข้างหนึ่งเบา ๆ รังสีบางอย่างแผ่ออกมาจากรอบตัวของเขา ก่อนจะพุ่งโจมตีอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว
อีกด้านหนึ่ง ยอดฝีมือที่บรรลุการก่อสร้างรากฐานขั้นต้นพุ่งทะยานเข้าหาชายหนุ่มเช่นกัน!
พลังวิญญาณปรากฏขึ้นระหว่างมือและเท้า ทำให้พวกเขาเคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็ว! ดูจากพลังแล้ว ฝีมือของคนเหล่านี้เก่งกาจไม่น้อย!
อวี้ฮ่าวหรานหลบหลีกทันที ร่างของเขาหายวับราวกับสายฟ้า! เมื่อปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง เขาก็เหวี่ยงหมัดใส่ฝ่ายตรงข้ามไม่ยั้ง
ตูม!
พลังวิญญาณของผู้บรรลุขอบเขตก่อรากฐานขั้นสูงสุดระเบิดออก!
เมื่อเหล่าศิษย์สำนักเมฆาเขียวเห็นอย่างนั้น พวกเขาก็ตกใจก่อนปัดป้องอย่างรวดเร็ว
แต่การกระทำนั้นเหมือนกับตั๊กแตนห้ามรถ*[1] ภายใต้การโจมตีของสายพลังวิญญาณขั้นสูงสุด เหล่าศิษย์หลายคนถูกซัดออกไปเหมือนใบไม้ร่วง!
“ไอ้เด็กอมมือ กล้าดียังไง!”
เมื่อเห็นว่าลูกศิษย์ได้รับบาดเจ็บ อู๋เหนียนก็ตะโกนอย่างโกรธจัดขณะที่ท่าทีของเขาเปลี่ยนไปในทันใด!
จากนั้นพลังที่ปรากฏขึ้นบนฝ่ามือของเขาก็พุ่งออกไปทันที!
อวี้ฮ่าวหรานอดแค่นเสียงไม่ได้ เขาปล่อยหมัดออกไปก่อนระเบิดพลังวิญญาณออกจากร่างกายอีกครั้ง!
“ก็แค่เคล็ดวิชาง่าย ๆ ทำไมแกถึงภูมิใจขนาดนี้!”
ด้วยเสียงอันเบา พลังวิญญาณที่ถูกควบคุมโดยค่ายกลก็ถูกทำลายจนสิ้น
พลังพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า!
พลังวิญญาณอันน่าสะพรึงกลัวของอวี้ฮ่าวหรานถูกส่งไปยังแกนกลางของค่ายกลไม่หยุดหย่อน!
ภายใต้การสำรวจของดวงตาเทวะ แม้แต่กองทัพของเหล่าทวยเทพในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ยังถูกเขาทำลายง่าย ๆ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงค่ายกลที่แปลกประหลาดแบบนี้
ตูม!
เมื่อพลังวิญญาณของเขาปะทะเข้ากับค่ายกล มันจึงระเบิดออกทันที!
ทันใดนั้นเสียงปริแตกก็ดังขึ้นทั่วบริเวณราวกับมีบางอย่างแตกกระจายในอากาศ
เพียงชั่วพริบตา สายพลังที่วนเวียนอยู่ในค่ายกลก็เลือนหายไป!
[1] ตั๊กแตนห้ามรถ หมายถึงคนที่ทำอะไรเกินตัวจนเดือดร้อน