บทที่ 384 โทรข่มขู่
บทที่ 384 โทรข่มขู่
ค่ายกลถูกอวี้ฮ่าวหรานทำลายลงด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว
ตูม!
ค่ายกลของอู๋เหนียนถูกทำลาย ทำให้พลังวิญญาณของเขาเสียหายอย่างหนัก ไม่นานก็กระอักเลือดออกมา!
“ก…แกทำได้ยังไง!”
เขามองชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้าด้วยความหวาดหวั่น ไม่เคยคิดเลยว่าจะมีคู่ต่อสู้ที่สามารถทำลายค่ายกลที่เขาคิดค้นมาอย่างยาวนาน!
นี่มันหมายความว่ายังไง! น่ากลัวเกินไปแล้ว!
ขณะนี้พวกศิษย์ผู้บรรลุขอบเขตก่อรากฐานขั้นต้นทั้งหลายที่นอนร้องโอดโอยอยู่บนพื้นต่างตกตะลึงกับสิ่งที่เห็น
ไม่มีใครคาดคิดว่าพวกเขากำลังต่อสู้กับปีศาจ! อู๋เหนียนอดก้าวถอยหลังไม่ได้
“แก…แกบรรลุขอบเขตก่อรากฐานขั้นสูงสุดเหรอ?”
เขาคาดเดาด้วยความหวาดกลัว
แม้ความคิดนี้จะทำให้เขาเสียวสันหลังเล็กน้อย แต่มันคือคำเดียวที่สามารถอธิบายสถานการณ์ตอนนี้ได้
“ฮ่า ๆ สายตาแกดีขึ้นแล้วนี่ แต่น่าเสียดายที่ยังโง่อยู่”
อวี้ฮ่าวหรานสาวเท้าเข้าหาคู่ต่อสู้อย่างช้า ๆ พลังวิญญาณในร่างกายเขาสามารถระเบิดออกมาและพุ่งเข้าโจมตีได้ทุกเมื่อ
แม้อู๋เหนียนจะถูกอีกฝ่ายดูหมิ่น แต่เขาไม่กล้าแม้แต่จะโต้กลับ
“แกเป็นปรมาจารย์ที่บรรลุขอบเขตก่อรากฐานขั้นสูงสุดจริงเหรอ?”
ความสนใจของเขาจดจ่ออยู่กับประเด็นนี้
ท้ายที่สุดแล้ว ปรมาจารย์ผู้บรรลุขอบเขตก่อรากฐานขั้นสูงสุดไม่ใช่คนที่พวกเขาจะทำร้ายได้อีกต่อไป!
“แล้วยังไง?”
สายตาของอวี้ฮ่าวหรานอัดแน่นไปด้วยความรังเกียจ คนแก่พวกนี้น่าเบื่อจริง ๆ พวกเขาทุ่มสุดตัวเพื่อทำร้ายคู่ต่อสู้ แต่กลับได้ผลลัพธ์ตรงกันข้าม
หลังจากอู๋เหนียนได้รับคำตอบที่ต้องการแล้ว เขาก็จ้องไปที่ชายหนุ่มตรงหน้าด้วยความไม่เชื่อ
จู่ ๆ อู๋เหนียนก็รู้สึกว่าตัวเองไร้ค่า
เขาแก่มากแล้ว เรี่ยวแรงจึงไม่แข็งแกร่งเท่าเด็กหนุ่มอายุยี่สิบต้น ๆ ยิ่งคิดมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งรู้สึกหงุดหงิดตัวเอง
“ฉันยอมแพ้ สำนักเมฆาเขียวจะไม่ยุ่งกับแกอีก”
เขาก้มศีรษะลง
เขากำลังเผชิญหน้ากับผู้แข็งแกร่ง ถ้าไม่ก้มหัวยอมแพ้ มีหวังต้องตายสถานเดียว!
ผู้อาวุโสของสำนักเมฆาเขียวเพิ่งบรรลุขอบเขตก่อรากฐานขั้นสูงสุด แล้วจะเอาอะไรไปสู้กับอีกฝ่าย?
อวี้ฮ่าวหรานหยุดฝีเท้าทันทีที่ได้ยิน เพื่อความปลอดภัยของครอบครัว การยุติเรื่องบาดหมางจึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด
“ฮ่า ๆ พวกแกปรับตัวเก่งนี่ ไสหัวไปซะ!”
ทันทีที่ได้ยินเสียงนั้น อู๋เหนียนก็ตกใจกลัวจนร่างกายสั่นเทา ความหยิ่งทะนงก่อนหน้านี้หายไปไหนหมด?
“ค…ครั้งนี้เป็นความผิดของสำนักเมฆาเขียว พวกเราจะไม่มายุ่งกับแกอีก!”
สาวกทั้งหลายที่นอนอยู่บนพื้นต่างตกใจเมื่อได้ยินคำพูดของผู้อาวุโส
นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่พวกเขาเห็นผู้อาวุโสสูงสุดผู้มีชีวิตอมตะก้มศีรษะยอมรับความพ่ายแพ้
ตอนนี้พวกเขาเข้าใจแล้วว่าทำไมผู้อาวุโสหลินถึงกลัวจนหัวหด
ผู้ชายคนนี้…เป็นปีศาจชัด ๆ!
ไม่นาน พวกเขาทั้งหลายก็พากันกลับสำนัก สภาพแวดล้อมรอบ ๆ กลับมาสงบอีกครั้ง
อวี้ฮ่าวหรานนั่งอยู่ในรถและครุ่นคิดอยู่พักใหญ่
ถ้ายังอยู่ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ เขาคงไม่ปล่อยให้ศัตรูกลับไปง่าย ๆ อย่างนี้แน่
ในตอนนั้นถ้าเขาฆ่าศัตรูไปแล้วสองสามคน ไม่นานเขาก็จะตามไปฆ่าล้างสำนักเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่ตามมา!
ใครก็ตามที่คิดทำร้ายเขาสมควรตาย! ยิ่งไปกว่านั้นไม่มีใครสามารถต้านทานพลังอันมหาศาลของเขาได้!
แต่ครั้งนี้อวี้ฮ่าวหรานตัดสินใจต่างจากเดิม
หลังจากเวลาผ่านไปหกเดือน เขาก็รู้สึกว่าตัวเองเปลี่ยนไปจากเดิมอย่างมาก
“เฮ้อ…หวังว่าจะเปลี่ยนแปลงในทางที่ดี”
อวี้ฮ่าวหรานมองฝ่ามือของตัวเอง ด้วยการปรากฏตัวของลูกสาวและหลี่หรง ดูเหมือนว่าเขาจะเลือดเย็นเหมือนเดิมไม่ได้แล้วสินะ
แน่นอนว่า…นอกจากเผชิญหน้ากับศัตรูที่คิดร้ายกับครอบครัวเขา!
หลังจากถอนหายใจ ชายหนุ่มก็ขับรถตรงไปยังบริษัททันที
ภายในบริษัท หวังจุนเตรียมพิธีการทั้งหมดไว้แล้ว และหลี่หรงจะเดินทางมาถึงในไม่ช้า
หลังจากจบพิธีส่งมอบ การเติบโตของบริษัทฮัวหรงก็เพิ่มมากขึ้นเป็นเท่าตัว
“พี่เขยเก่งที่สุด!”
หลี่หรงรู้สึกดีใจอย่างมากเมื่อเห็นว่าบริษัทตัวเองเติบโตขึ้นเป็นสองเท่า แถมเธอยังได้บริหารด้วยตัวเองอีกด้วย
เธอเขย่งปลายเท้าขึ้นหอมแก้มพี่เขย
อวี้ฮ่าวหรานรู้สึกถึงสัมผัสเบาบางบนแก้ม เขาจึงอดตกตะลึงไม่ได้
ท่ามกลางสายตาของคนมากมาย น้องสะใภ้ของเขาดีใจจนเกินเหตุ เขาจึงกลัวว่าคนอื่น ๆ จะเข้าใจผิด
พอหันไปมองผู้จัดการหวังที่อยู่ข้าง ๆ ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะเข้าใจสถานการณ์จึงรีบบอกให้ทุกคนออกไป
ไม่กี่วินาทีต่อมา ผู้คนในห้องประชุมก็ทยอยออกไปจนหมด อวี้ฮ่าวหรานพูดไม่ออก คนพวกนั้นจะเข้าใจอะไร!
นี่คือน้องสะใภ้ของเขา คนพวกนี้คงไม่…
“พี่เขยเก่งมาก ฉันปวดหัวกับมันตั้งนาน!”
หลี่หรงไม่ใส่ใจสายตาของคนอื่น เมื่อเห็นว่าทุกคนออกไปแล้ว เธอจึงทำตัวเป็นกันเองมากขึ้น
ครึ่งหนึ่งของร่างกายเธอแนบชิดกับร่างกายของเขา
แย่แล้ว!
กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของร่างกายอีกฝ่ายลอยอยู่ที่ปลายจมูกของอวี้ฮ่าวหราน ทำให้หน้าท้องของชายหนุ่มรู้สึกร้อนวูบวาบ
แม้จะมีสมาธิมั่นคงแค่ไหน แต่ร่างกายของตัวเองยังมีปฏิกิริยาต่ออีกฝ่ายตามสัญชาตญาณ
“แค่ก ๆ พวกเรา…พวกเราห่างกันหน่อยดีไหม?”
เขาต้องการกลบเกลื่อนความประหม่า แต่หลี่หรงปฏิเสธ
“เป็นอะไรไป พี่เขยรังเกียจฉันเหรอ?”
เสียงของเธอฟังเย้ายวนกว่าปกติ แถมวันนี้ยังสวมเดรสยาวเป็นทางการอีกด้วย
อวี้ฮ่าวหรานจนปัญญา
หลี่หรง…เธอกำลังเล่นกับไฟ!
ถ้าความปรารถนาถูกปลุกเร้าขึ้นมา เขากลัวว่าอีกฝ่ายจะเห็นด้านสัตว์ร้ายในตัวของเขาที่เก็บกักเอาไว้…
ท้ายที่สุดเขาก็ต้องยอมพ่ายแพ้ต่อตัณหา
ไม่ช้าหลี่หรงก็รู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ เธอจึงรีบผละจากอีกฝ่าย
“พี่เขย ทำไมทำเหมือนรังเกียจฉันล่ะ”
เธอทำตัวไม่ถูก
พออยู่ต่อหน้าพี่เขย เธอก็รู้สึกสูญเสียการความคุมตัวเองทุกครั้ง และเวลาเที่ยงผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว
อวี้ฮ่าวหรานมองดูหลี่หรงออกจากบริษัท
…
เวลาสองสามวันผ่านไปเพียงพริบตาเดียว
อวี้ฮ่าวหรานกำลังตรวจสอบเอกสารของบริษัทตามปกติ
จู่ ๆ ก็มีสายโทรเข้ามา
เขาเงยหน้าขึ้นพลางหยิบโทรศัพท์มือถือ บนหน้าจอแสดงตัวอักษรว่าเฉิงชิวอวี้โทรเข้ามา
“ฮัลโหล? มีอะไรเหรอครับ?” เขาถามหนึ่งประโยค แต่ปลายสายไม่ตอบกลับ!
ทันใดนั้นเสียงเล็กแหลมที่คุ้นเคยก็ดังขึ้น!
“ฮ่า ๆ อวี้ฮ่าวหราน ในที่สุดเราก็ได้คุยกัน!”
เดี๋ยวนะ!
ดวงตาของอวี้ฮ่าวหรานฉายแววเย็นชา เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายตกอยู่ในอันตราย!
“เฉิงชิวอวี้อยู่ไหน? แกทำอะไรเธอ?”
เขาพยายามระงับโทสะที่เกิดขึ้นในใจ ก่อนถามเสียงทุ้ม
“โอ้…นี่แกยังเป็นห่วงผู้หญิงคนนี้อยู่เหรอ แกรู้ไหมว่าฉันเป็นใคร?”
น้ำเสียงนั้นดูสงบนิ่งอย่างมาก แถมน้ำเสียงนั้นยังเจือความขี้เล่น
“ฉันไม่สนว่าแกคือใคร! แต่ถ้าแตะต้องตัวเฉิงชิวอวี้เมื่อไร ชะตาแกขาดแน่!”
อวี้ฮ่าวข่มขู่อีกฝ่ายโดยไม่เสียเวลาพูดเรื่องไร้สาระ