โครงบ้านทางฝั่งนี้ของจ้าวเหวินเทาถูกสร้างขึ้นมาแล้ว ส่วนบ้านของพี่รองจ้าวและพี่สามจ้าวยังคงทำฐานบ้านอยู่

ช่วยไม่ได้ เพราะพวกเขาใช้แรงคน จึงทำให้งานล่าช้า

การขึ้นคานก็ต้องให้ซินแสมาดูฤกษ์ยามสักหน่อย ต้องเลือกวันดีถึงจะขึ้นคานบ้านได้

ซินแสในชนบทมีจำนวนมาก แต่คนที่มีชื่อเสียงมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น หนึ่งในนั้นคือน้องชายของคุณแม่จ้าว ผู้เป็นลุงแท้ ๆ ของจ้าวเหวินเทา

เขาอาศัยอยู่ทางด้านหลังถัดออกไปห้าหลัง ด้วยเหตุนี้จ้าวเหวินเทาจึงต้องวิ่งมาหาลุงของเขาเพื่อเลือกฤกษ์งามยามดีด้วยตัวเอง

ใช้เวลาไม่ถึงสองวันก็จุดประทัดแขวนจนเกิดเสียงดังเปรี้ยงปร้าง บ้านใหม่ของจ้าวเหวินเทาได้ขึ้นคานแล้ว

การขึ้นคานบ้านต้องมีงานเลี้ยงด้วย แต่ตอนนี้เย่ฉูฉู่กำลังอุ้มท้องอยู่ ย่อมไม่สะดวกที่จะต้อนรับแขก และเธอก็ไม่สามารถอะไรได้ด้วย

คุณแม่เย่เห็นว่าตัวเองยังว่างอยู่ นางจึงมาช่วยลูกสาวโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง

ทางฝั่งตระกูลจ้าว พี่สาวใหญ่จ้าวเองก็เดินทางมาจากในอำเภอเพื่อมาช่วยเหลือด้วย ส่วนพี่สาวห้าจ้าวยังไม่มีเวลาว่างกลับมา ประเด็นแรกคือหล่อนไม่ลงรอยกับแม่สามีนัก ต้องดูแลลูกสาว และต้องไปทำงานอีก จึงไม่จำเป็นต้องให้หล่อนกลับมา มีแค่พี่สาวใหญ่จ้าวก็พอแล้ว

แน่นอนว่ายังมีแม่สามีอย่างคุณแม่จ้าวด้วย

อันที่จริงตอนนี้อายุครรภ์ของเย่ฉูฉู่ก็ยังไม่ถึงเวลา มีหลายอย่างที่เธอสามารถทำได้

เพียงแต่จ้าวเหวินเทาไม่ยอมให้เธอทำ บอกให้เธอดูแลครรภ์อย่างสบายใจก็พอแล้ว

“คิดไม่ถึงเลยว่าจะเร็วขนาดนี้ นี่เพิ่งไม่กี่วันเองก็ได้ขึ้นคานบ้านแล้ว” พี่สาวใหญ่จ้าวได้เห็นก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก แล้วพูดกับแม่ว่า “ใช้เครื่องจักรด้วยคงจ่ายเงินไปไม่น้อยเลยนะคะ?”

“ไม่รู้สิ ยังไม่ได้ถามเหวินเทาเลย” คุณแม่จ้าวหั่นกุยช่ายอย่างคล่องแคล่ว

“เรื่องใหญ่แบบนี้ ทำไมแม่ถึงไม่ถามล่ะคะ?” พี่สาวใหญ่จ้าวกล่าวด้วยรอยยิ้ม

คุณแม่จ้าวกล่าว “ทำไมจะไม่ถามล่ะ พอถามไป น้องชายแกก็เอาแต่พูดว่าจ่ายหลังฤดูใบไม้ร่วง จ่ายปีหน้า เจ้าเด็กบ้านี่ แม่ว่าเขาคงไม่ได้พูดเรื่องจริงกับแม่หรอก”

พี่สาวใหญ่จ้าวหัวเราะ “แบบนั้นก็น่าจะไม่ใช่ปัญหาอะไรนะคะ ฉันเห็นเขาก็ไม่ได้มีเวลาว่าง คงได้เงินมาไม่น้อย จริงสิ เขาจัดการงานในไร่ยังไงเหรอคะ? เขาต้องวิ่งออกไปค้าขาย ฉันถามฉูฉู่แล้ว ฉูฉู่เองก็ไม่ได้ลงไปทำไร่เหมือนกัน”

พูดถึงตรงนี้ คุณแม่จ้าวก็ทั้งรู้สึกขบขันและจนปัญญา กล่าวว่า “เขาปลูกแค่สองอย่าง มีข้าวโพดกับทานตะวัน”

“ต่อให้เป็นข้าวโพดกับทานตะวัน ก็ต้องกำจัดวัชพืชอยู่ดีนี่คะ” พี่สาวใหญ่จ้าวกล่าว

“ถึงมีวัชพืช เขาก็ให้ชุยต้านั่นไปถอนให้ รอบเดียวก็เสร็จแล้ว!” คุณแม่จ้าวกล่าวพลางส่ายหน้า

“แม่ แม่พูดอะไรกับพี่สาวใหญ่ของผมอีกแล้วเนี่ย?” จ้าวเหวินเทาหิ้วไข่ไก่หนึ่งตะกร้าอยู่ในมือ ขณะเดินเข้ามาก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม

“แกยังกลัวคนอื่นพูดถึงอีกเหรอ” คุณแม่จ้าวกล่าว หลังจากมองไข่ไก่ในมือของเขา จึงกล่าวว่า “ไข่ไก่พวกนี้ไปซื้อมาจากไหน? ในบ้านก็มีอยู่เยอะแยะไม่ใช่เหรอ”

“ไข่ไก่ในบ้านมีอยู่แค่นั้นมันจะไปพออะไรกัน” จ้าวเหวินเทาพูดอย่างไม่ใส่ใจ จากนั้นจึงพูดกับพี่สาวใหญ่ของตัวเองด้วยรอยยิ้ม “พี่สาวใหญ่ พี่ไม่ต้องเป็นห่วงผมหรอก พืชผลในไร่ของผมยังเติบโตดีอยู่”

พี่สาวใหญ่จ้าวย่อมเป็นห่วงน้องชายคนนี้อยู่แล้ว จึงต้องพูดกับเขาสักหน่อย “เหวินเทา ถ้าดูแลพืชผลในไร่ไม่ดี ถึงฤดูใบไม้ร่วงก็อาจจะเก็บผลผลิตได้น้อยนะ”

จ้าวเหวินเทาใช้นิ้วมือหยิบตับหมูที่พี่สาวใหญ่จ้าวหั่นไว้ขึ้นมารับประทานหนึ่งชิ้น ก่อนจะพูดว่า “ต่อให้ดูแลจนออกดอกออกผล แต่จะได้ผลผลิตสักเท่าไรกันเชียว? มันก็มีเท่านั้นแหละครับ ดูแลยังไงก็เป็นแบบนั้นอยู่ดี”

“ดูแลยังไงก็เป็นแบบนั้นอยู่ดีคืออะไรกัน ดูแลดี ผลผลิตที่ออกมาก็ต้องเยอะอยู่แล้ว แกทำแบบนั้น ถึงเวลาจะเหลืออะไรล่ะ?” คุณแม่จ้าวกล่าว

จ้าวเหวินเทาแย้มยิ้ม เขาไม่ได้พูดอะไรให้มากมาย จากนั้นก็ยกตับหมูที่หั่นไว้อย่างดีออกไป

ส่วนพืชผลที่อยู่ในไร่ของตนเอง เขาย่อมทราบดีอยู่แล้วว่าต้องดูแลให้ดีถึงจะมีผลผลิตออกมา

แต่การดูแลแบบนี้ก็ไม่ใช่งานหนักตรากตรำอะไรสักหน่อย

เทียบกับการถอนวัชพืชแล้ว ข้าวโพด ทานตะวันและข้าวฟ่างมีความแตกต่างกัน

ข้าวโพดและทานตะวันจะมีขนาดต้นกล้าใหญ่กว่าข้าวฟ่าง หลังกำจัดวัชพืชออกไปแล้วค่อยใช้จอบขนาดเล็กที่มีความยาวหนึ่งฟุต นั่งยอง ๆ ขุดหญ้านั้นออกทีละน้อย แบบนั้นคงเสียเวลาแย่

หากใช้พลั่วขนาดใหญ่ ใช้เวลา 1-2 วันก็เสร็จแล้ว เป็นการกำจัดวัชพืชพร้อมกับการหว่านไถไปด้วย รอให้เติบใหญ่อีกหน่อย ให้สัตว์ลากคันไถรอบเดียวก็เสร็จแล้ว ไม่จำเป็นต้องจัดการครั้งแล้วครั้งเล่า สำหรับจ้าวเหวินเทาแล้ว การกำจัดวัชพืชออกไปอย่างหมดจดเป็นการหาเรื่องให้ตัวเองเหนื่อย

แต่ทุกคนต่างก็คิดว่าต้องหาเรื่องให้ตัวเองเหนื่อยถึงจะถูก ถึงจะเห็นว่าเป็นคนใช้ชีวิตเป็น ถึงจะทำให้เห็นทัศนคติในการทำนาที่ควรมี

ส่วนจ้าวเหวินเทาที่เป็นแบบนี้ เขาเรียกว่าเป็นบุรุษขี้เกียจและไม่เอาถ่าน

จ้าวเหวินเทาไม่ได้แก้ตัวเรื่องเหล่านี้กับคนอื่น รอให้ถึงช่วงเก็บเกี่ยวหลังฤดูใบไม้ร่วงเดี๋ยวก็รู้แล้ว

“งานเลี้ยงนี้ดีจริง ๆ น้องสะใภ้หก เธอใช้เงินไปไม่น้อยเลยสินะ?” พี่สะใภ้สี่จ้าวกล่าว

หล่อนเองก็มาที่นี่เพื่อรับประทานของอร่อยด้วย แต่ความที่หญิงตั้งครรภ์คนหนึ่งไม่สามารถออกไปเบียดกับคนอื่นได้ หล่อนจึงนั่งรับประทานอยู่ในห้องกับเย่ฉูฉู่

โต๊ะที่อยู่บนเตียงเต็มไปด้วยเนื้อสัตว์และผักครบเครื่อง พี่สะใภ้สี่จ้าวรับประทานอาหารอย่างเต็มที่ อิ่มแปล้จนเรอออกมา

แม้ว่าทัศนคติที่เย่ฉูฉู่มีต่อพี่สะใภ้คนนี้จะธรรมดา แต่เธอก็ต้อนรับแขกอย่างเต็มที่ในฐานะของเจ้าบ้าน ทั้งรินน้ำชาให้หล่อนเพื่อให้เจริญอาหารด้วย

ตั้งแต่จ้าวเหวินเทาวิ่งไปขายของในเมือง ผู้ชายคนนี้ก็ชื่นชอบการดื่มน้ำชา ทั้งยังได้ชุดน้ำชาเครื่องลายครามมาหนึ่งชุดวางอยู่ที่ตู้ด้วย เมื่อมีแขกเหรื่อมาเยือนก็จะยกมาวางไว้ ทำให้ดูหรูหรามาก

เย่ฉูฉู่ดื่มไม่มาก เพราะเธอรู้สึกว่าน้ำชานี้ไม่อร่อย แต่ผลลัพธ์ในการย่อยอาหารก็ไม่เลวเลย

พี่สะใภ้สี่จ้าวเห็นถ้วยชาขนาดเล็กฝีมือประณีตก็รู้สึกชอบมากเช่นกัน

คนในชนบทไม่ได้มีความสนใจขนาดนั้น มีแขกเหรื่อมาเยือนก็ให้ดื่มถังสุ่ยหนึ่งถ้วย

นอกจากนี้ยังมีการใช้ขันตักน้ำขึ้นมาตรง ๆ ขณะแขกและเจ้าบ้านพูดคุยไปพลาง ก็ตักน้ำขึ้นมาเธอจิบหนึ่งคำฉันจิบหนึ่งคำ

ไม่ต้องพูดถึงคนที่เป็นเหมือนกับเย่ฉูฉู่ที่มีชุดน้ำชานี้เลย ใครจะไปทำอะไรมากมายขนาดนั้น?

แต่เย่ฉูฉู่ก็ยังชอบเรื่องพวกนี้ สิ่งนี้เป็นเรื่องที่เธอและเหวินเทาเห็นพ้องต้องกัน ตอนที่สองสามีภรรยาว่าง ๆ ก็จะนั่งอยู่ด้วยกันอย่างสงบสุขแบบนี้

เมื่อได้ยินคำพูดของพี่สะใภ้สี่ เย่ฉูฉู่จึงตอบไปว่า “เหวินเทาเป็นคนซื้อของสิ่งนี้กลับมา ฉันเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันค่ะว่าซื้อไปเท่าไร”

“น้องสะใภ้หกดูเธอสิ ดื่มน้ำก็มีถ้วยโดยเฉพาะแล้ว ของเล็ก ๆ แบบนี้สวยจริง ๆ แต่เล็กไปหน่อย ดื่มยังไม่หนำใจก็หมดแล้ว” พี่สะใภ้สี่จ้าวดื่มชาไปพลาง ก็รู้สึกว่าการดื่มชากับกาน้ำยิ่งทำให้รู้สึกติดใจกว่าปกติอีกหน่อยด้วย

เย่ฉูฉู่กล่าว “แต่ละคนต่างก็มีนิสัยเป็นของตัวเองค่ะ เหวินเทาชอบดื่มแบบนี้มาก”

พี่สะใภ้สี่จ้าวจิบพลางพยักหน้า “เธออย่าพูดเลย น้ำชานี้อร่อยมาก เฮ้อ นับวันการใช้ชีวิตของเธอก็เริ่มจะเหมือนคนในเมืองมากขึ้นทุกทีแล้วนะ”

ในน้ำเสียงของหล่อนแฝงด้วยแววอิจฉา

ดูครอบครัวเจ้าหกสิ ตอนนี้ก็สร้างบ้านใหม่ขึ้นมาแล้ว นี่ก็จะได้เข้ามาอยู่บ้านใหม่กันแล้ว หลังจากนี้ตอนที่ลูกคลอดออกมาก็จะได้ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ จะทำให้คนมีความสุขขนาดไหนกันนะ?

ไม่เหมือนกับหล่อน บอกให้สามีไปขุดสุสานพร้อมกับจ้าวเหวินอู่ก็ไม่ยอมไป บอกให้ไปค้างจ่ายเพื่อสร้างบ้านก็ไม่ยอม เอาแต่บอกว่านี่ไม่ได้นั่นก็ไม่ได้ ชีวิตถึงได้กินแกลบอยู่แบบนี้

เย่ฉูฉู่ได้ยินพี่สะใภ้สี่ถอนหายใจทั้งยังมีริ้วความอิจฉาแฝงจางๆ เธอจึงกล่าวขึ้น “ดูพี่สะใภ้สี่พูดเข้าสิคะ แค่ดื่มชาก็ทำให้เหมือนใช้ชีวิตอยู่ในเมืองแล้วเหรอ?”

“ฉันยังไม่เคยดื่มชามาก่อนเลย” พี่สะใภ้สี่จ้าวกล่าว

“ชาราคาไม่แพงหรอกค่ะ ในตลาดก็มีขาย” เย่ฉูฉู่กล่าว “แต่ชานี้ทำให้ตื่นตัว ห้ามดื่มตอนกลางคืนนะคะ”

จู่ ๆ พี่สะใภ้สี่จ้าวก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ เธอรีบกล่าวว่า “แล้วถ้าท้องอยู่จะดื่มได้หรือเปล่า? ฉันตั้งครรภ์ลูกชายเชียวนะ จะไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”

เย่ฉูฉู่กล่าวเสียงเรียบ “พี่สะใภ้สี่อย่ากังวลเลย ดื่มชาแค่นิดหน่อยไม่ได้ส่งผลร้ายแรงอะไรขนาดนั้น ดื่มครั้งสองครั้งไม่เป็นไรหรอกค่ะ ไม่ได้ดื่มระยะยาวสักหน่อย”

……………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

ขนาดขึ้นคานบ้านยังเอิกเกริกขนาดนี้ ถ้าเป็นพิธีขึ้นบ้านใหม่จะครึกครื้นขนาดไหนนะ

ความหรูหราในความคิดแต่ละคนมันไม่เหมือนกันจริง ๆ ค่ะ แค่เรื่องดื่มชาก็ถือเป็นเรื่องหรูหราในความคิดสะใภ้สี่แล้ว

ไหหม่า(海馬)