ภาคที่ 2 บทที่ 69 ไฟโลกันต์

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 69 ไฟโลกันต์

ดาบตวัดผ่านดังฉับ คล้ายพระอาทิตย์หล่นลับขอบฟ้าไปอย่างรวดเร็ว มันเปล่งเสียงร้องโกรธเกรี้ยวออกมายามกรีดกราย

จางเซิ่งอันเพ่งมองวิญญาณหมาป่า มันยังส่งเสียงหอนเยียบเย็นออกมา บนใบหน้าปรากฏรอยยิ้มมั่นใจ

“คิดว่าสังหารข้าได้ง่ายเช่นนั้นเลยหรือ ?” เขาเอ่ย ก่อนยกมือหนึ่งขึ้น แล้วแหวนบนนิ้วก็พลันเปล่งแสงสว่างจ้าออกมา

ภาพมายาของพยัคฆ์ดุร้ายค่อย ๆ ปรากฏ มันคำรามลั่นแล้วพุ่งเข้าใส่หมาป่ากลืนจันทร์ ต่อสู้กันพัวพันทันที

วิถีดาบทรงพลังของซูเฉินถูกสกัดไว้ได้

จางเซิ่งอันหยิบของอีกชิ้นหนึ่งขึ้นมา คล้ายกับขวดยาอะไรสักอย่าง

จากนั้นก็ปามันลงพื้น ควันหมอกพวยพุ่งขึ้นมาทันควัน กระจายไปรอบทิศ ไม่น่าเชื่อเลยว่าจางเซิ่งอันเองก็มียาไอหมอกเช่นกัน

จางเซิ่งอันหัวร่อออกมาขณะที่ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางไอหมอก “คิดว่าเข้าใกล้ข้าได้แล้วจะชนะงั้นหรือ ? ช่างไม่รู้อะไร ! การต่อสู้มันเพิ่งจะเริ่มต่างหาก !”

หากแต่คำตอบกลับเป็นเหยี่ยวเพลิงที่พุ่งเข้ามา

จางเซิ่งอันรีบหลบโดยเร็ว แต่เหยี่ยวเพลิงกลับไล่ตามเขามา จงอยปากมันจิกจ้วงเอาเนื้อตรงช่วงไหล่ไป ทำให้เจ็บจนร่างซวนเซ หากแต่ก็ยังมีสติ โบกมือหนึ่งขึ้น ส่งเถาวัลย์หนามกลุ่มหนึ่งพุ่งเข้าใส่เหยี่ยวเพลิง ทว่าจังหวะนั้น เหยี่ยวเพลิงก็ระเบิดตัวในพลัน ทำให้เถาวัลย์ถูกเปลวเพลิงเผามอดไหม้เป็นจุล

หากเป็นเรื่องสถานที่ อยู่ในป่าเขาเช่นนี้จางเซิ่งอันนับว่าได้เปรียบ แต่หากเป็นเรื่องวิชา วิชาประเภทไฟนับว่าเหนือกว่าวิชาประเภทพืชเป็นไหน ๆ

เปลวเพลิงยังคงลุกโชนต่อไปเรื่อย พุ่งเข้าหาจางเซิ่งอัน ยังไม่ทันได้ตอบสนองอะไร เหยี่ยวเพลิงอีก 2 ตัวก็พุ่งเข้าใส่ ตามมาด้วยกระสุนพลังต้นกำเนิดอีกระลอกที่ซัดเข้าตรงจางเซิ่งอันพอดิบพอดี หมอกเหล่านี้ไร้ผลต่อซูเฉิน เขาตาบอดมาหลายปี ฟังเสียงลมได้เชี่ยวชาญนัก

จางเซิ่งอันถูกแรงระเบิดสองตูมใหญ่ส่งร่างกระเด็นไป

เกราะที่เพิ่งสร้างถูกทำลาย เนื้อตัวมีบางจุดที่ถูกไฟไหม้จนเกรียม

“ไอ้เวรนี่ !” จางเซิ่งอันสบถด่าออกมา

เป็นอีกครั้งที่คำตอบรับกลับมาคือเหยี่ยวเพลิงที่สยายปีกพุ่งมาทางเขา

จางเซิ่งอันใช้ยาไอหมอกรับมือซูเฉิน แต่หารู้ไม่ว่ากลับเป็นการช่วยเสริมกำลัง

จางเซิ่งอันฝืนความเจ็บ ยกมือขึ้นแตะสร้อยที่สวมอยู่ ส่งผลให้มันเปล่งแสงจาง ๆ ออกมาคลุมล้อมทั่วร่าง

ในตอนที่ป้องกันการโจมตีทั้งหมดอยู่ จางเซิ่งอันก็ถูรูปปั้นขนาดเล็กในมือตนเบา ๆ

และก็เขวี้ยงมันไปไกล

จังหวะนั้น เด็กหนุ่มก็ซัดเหยี่ยวเพลิงออกมาอีกครา แต่จางเซิ่งอันจู่ ๆ ก็หายไป เมื่อปรากฏร่างขึ้นอีกครั้งก็ถอยห่างไปไกลแล้ว ส่วนรูปปั้นนั่นก็มาแทนที่ตรงจุดเดิมที่เขาเคยอยู่ และเป็นมันที่ถูกเหยี่ยวเพลิงซัดเข้าใส่ แตกกระจายออกในทันที

รูปปั้นนี้คือรูปปั้นตัวแทน ผู้ใช้สามารถสลับตนกับมันได้ เป็นสมบัติที่นักธนูใช้เพื่อเว้นระยะห่างกับศัตรู

จางเซิ่งอันร่ำรวยไม่น้อย ไม่เพียงทรงพลัง แต่ก็ยังมีสมบัติมากมายที่ใช้ได้ในหลายสถานการณ์

หลังจากเว้นระยะห่างเพิ่มแล้ว เขาก็ใช้ยาสมานแผล จากนั้นหยิบของอีกสิ่งหนึ่งขึ้นมา

ศรดอกหนึ่ง !

หากแต่นี่ไม่ใช่ ศรมนัสจากมารพฤกษา แต่เป็นศรจริง ๆ

เขาวางศรลงตรงร่องพาดสายธนูแล้วเล็งไปยังไอหมอกกลุ่มใหญ่

หมายจะเอาชีวิตซูเฉินด้วยศรดอกนี้

เขาขึงศรเรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงให้ซูเฉินโผล่ออกมาก็เท่านั้น

หากแต่กลุ่มหมอกยังคงสงบนิ่งไร้เงาซูเฉิน

จางเซิ่งอันประหลาดใจเล็กน้อย ไม่รู้ว่าควรทำเช่นไรต่อไป

แม้จะโหดเหี้ยมอำมหิต แต่ก็ยังเป็นเพียงเด็กหนุ่มคนหนึ่ง ประสบการณ์การต่อสู้ไม่เยอะมากมาย เขาอายุเท่านี้ สามารถปรับตัวรับสถานการณ์ได้มากถึงขั้นนี้ก็น่าประทับใจมากแล้ว

แต่พอถึงตอนนี้กลับสงบขึ้นมาฉับพลัน ทว่าด้วยไล่ล่าฟาดฟันกันมานาน ดังนั้นจึงทำอะไรไม่ถูก

เมื่อเพ่งมองหมอกหนาให้ดี จางเซิ่งอันก็รู้สึกถึงลางสังหรณ์ไม่ดีเริ่มก่อขึ้นในจิตใจ

รู้ทันทีว่าสถานการณ์ในตอนนี้ไม่ใช่เขาที่ได้เปรียบ

เหตุใดศัตรูจึงยังไม่ลงมือ ? แล้วเหตุใดยาไอหมอกจึงคงอยู่นานนัก ? มันไม่คลาย อีกทั้งยังมากขึ้นเรื่อย ๆ……

มากขึ้น……

มีบางอย่างผิดปกติ !

จางเซิ่งอันจำได้ทันทีว่าซูเฉินเองก็ใช้ยาไอหมอกกับโคลนยักษ์

แสดงว่าซูเฉินมียาไอหมอกเช่นกัน ดังนั้นจึงใช้มันเพื่อขยายวงหมอกขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อตัวมันอยู่ในหมอกเช่นนี้ คงกำลังวางแผนอะไรเป็นแน่ !

จางเซิ่งอันเริ่มหวาดกลัวขึ้นมา

เขารีบถอยทันที ปลายศรสั่นสะท้านเล็กน้อยยามเขาร้องตะโกน“ออกมาสิ! ซูเฉิน หากเจ้ายังมีศักดิ์ศรีก็ออกมา !”

ไร้เสียงตอบรับใด

จางเซิ่งอันรู้สึกหวาดกลัวอย่างแท้จริง

เป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้ ไม่เช่นนั้นเขาอันตรายแน่

ดังนั้นจึงวางธนูแล้วหันหลังรีบหนีไปทันที

หากแต่พริบตาที่ลดธนูลง เงาร่างหนึ่งก็พุ่งออกจากหมอกทันที

ซูเฉิน !

เขารอจังหวะที่จางเซิ่งอันลดธนูลงมานานแล้ว

จากนั้นจึงพุ่งเข้ามาด้วยความเร็วเต็มกำลัง !

ยามจางเซิ่งอันได้ยินเสียง เขาก็รู้ทันทีว่าแย่แล้ว

ดังนั้นจึงรีบหันไปแล้วยกคันศรขึ้น

แต่ยามจะยิงศรออกไป ในหัวก็รู้สึกปวดเป็นระลอก จางเซิ่งอันถูกนัยน์ตาวิญญาณของซูเฉินโจมตีเข้าเสียแล้ว

เขาไม่อาจควบคุมคันศรในมือได้ หากแต่มือขวาก็ยังสามารถปล่อยออกไปได้อย่างทันท่วงที

ฟ้าว !

จากนั้นศรยาวก็พุ่งออกไป

หากแต่กลับไม่ตรงเป้า

มันพุ่งออกไปคล้ายดาวตก เฉียดแขนซ้ายซูเฉิน ยามมุ่งหน้าเข้าสู่ป่าก็พากลิ่นอายทำลายล้างติดไปด้วย สุดท้ายก็ระเบิดเป็นแสงจ้าออกมา พริบตาเดียวก็ทำลายต้นไม้ราวสิบเจ็ดสิบแปดต้นโดยรอบ คลื่นพลังกระทั่งทำให้พื้นเกิดรอยแยก

แม้จะพลาดไปมาก ซูเฉินก็ยังสัมผัสถึงพลังน่าเกรงขามของมันได้ หากถูกศรนั่นเข้าจริง ถึงจะมีผู้พิทักษ์แห่งเม็ก 7-8 ชั้นก็คงเอาชีวิตไม่รอด

“เฮ้อ !”

กระทั่งซูเฉินยังอดถอนหายใจโล่งอกไม่ได้

ยามเขาเห็นจางเซิ่งอันหยิบมันขึ้นมา ก็รู้ได้ว่ามันคงมีพลังไม่ธรรมดา

ดังนั้นจึงปล่อยให้จางเซิ่งอันทิ้งระยะห่างออกไปไม่ไล่ตาม จากนั้นใช้หมอกซ่อนกาย กดดันจางเซิ่งอันจนกว่าจะได้จังหวะโจมตี

เห็นได้ชัดว่าจางเซิ่งอันไม่อาจรับมือกับความสงบหลังต่อสู้ดุเดือดมายาวนานได้

พริบตาที่ลดคันศรลง ซูเฉินจึงพุ่งตัวออกมา ด้วยการโจมตีอันทรงพลังก่อนหน้าของเขากดดันจางเซิ่งอันไม่น้อย ดังนั้นเมื่อเห็นเช่นนี้อีกฝ่ายย่อมต้องขึงศร และซูเฉินก็ได้ฉวยใช้นัยน์ตาวิญญาณในจังหวะที่อีกฝ่ายขึงศรใกล้ปล่อย แก้ปัญหาทุกอย่างได้ในคราเดียว

ผลก็คือศรถูกปล่อยออกไปก่อนเวลา เสียความแม่นยำไป

แม้สถานการณ์จะดูล่อแหลมนัก หากแต่เด็กหนุ่มก็มองนิสัยและพฤติกรรมจางเซิ่งอันออกอย่างทะลุปรุโปร่ง

การที่ยิงศรพลาดเช่นนี้ทำให้จางเซิ่งอันตกใจมาก เขายืนตะลึงอยู่เช่นนั้น ไม่เชื่อในสิ่งที่เห็น

ซูเฉินใช้จังหวะนี้พุ่งเข้าไปต่อ

ตะลึงเพียงชั่วครู่ทำให้ระยะห่างที่สร้างขึ้นหายไปในพริบตา ครู่เดียวซูเฉินก็พุ่งเข้ามามากกว่าครึ่งแล้ว

โชคยังดีที่จางเซิ่งอันไม่ยืนบื้อจนซูเฉินตามมาจนประชิด ในที่สุดก็ตั้งสติได้ รีบหันหลังวิ่งหนีทันที

ครั้งนี้เขาคิดอยากเพียงวิ่งหนีไปแล้วจริง ๆ

เขาใช้ทุกอย่างแล้ว ทั้งเครื่องมือต้นกำเนิด ของเสริมต่าง ๆ ยันต์ คัมภีร์ ยันต์ทั้งหลาย แต่กลับไม่มีอะไรได้ประโยชน์สักอัน หากคิดสู้ต่อไปก็มีแต่ความตายรออยู่

จางเซิ่งอันเข้าใจจุดนี้ดี ดังนั้นจึงวิ่งหนีไปไม่คิดลังเล

ระหว่างวิ่งก็หยิบของขึ้นมาอีก มันคือผ้าสีชมพูอ่อน

เขาโยนมันขึ้นไป จากนั้นมันก็กลายเป็นเมฆแดงลอยลงมาอยู่กับพื้น ก่อนที่จางเซิ่งอันจะกระโดดขึ้นไปบนนั้นแล้วบินจากไปทันที

จางเซิ่งอันหัวเราะ “ซูเฉิน เจ้าตามข้าไม่ทันหรอก แล้วเจอกันใหม่ !”

แพรเมฆาแดงนี้เป็นสมบัติเอาตัวรอดชิ้นสุดท้ายของเขา ทำให้สามารถบินได้ชั่วขณะ แต่ด้วยมันเป็นของระดับต่ำ ดังนั้นยามยินจะไม่อาจทำการโจมตีได้เลย อีกทั้งเพราะสีสันงดงามดูเป็นสตรีจนเกินไป จางเซิ่งอันจึงไม่อยากคิดใช้

แต่ตอนนี้ชีวิตตกอยู่ในอันตรายจึงไม่ใส่ใจจุดนั้นเท่าไร

เมื่อเห็นจางเซิ่งอันคิดหนี ซูเฉินก็พลิกฝ่ามือ เหยี่ยวเพลิงอีกลูกปรากฏขึ้นทันควัน

จางเซิ่งอันคำรามต่ำ แพรเมฆาแดงเองก็มีพลังป้องกันอยู่บ้าง ดังนั้นจึงไม่เกรงกลัวสิ่งใด

ตูม !

เหยี่ยวเพลิงของซูเฉินทะยานเข้าปะทะกับแพรเมฆาแดง แม้บนฟ้าจะเกิดระเบิดดังสนั่นระลอกใหญ่ แต่ก็ไม่อาจทะลวงเกราะโจมตีถึงตัวจางเซิ่งอันได้

จางเซิ่งอันโบกมือลาซูเฉินด้วยน้ำเสียงรื่นรมย์ “ลาก่อน !”

“ยังไม่จบหรอก !” ซูเฉินตอบเสียงเย็น

เขาหยิบของสิ่งหนึ่งขึ้นมา มันคือเหยี่ยวที่เขาแกะสลักจากผลึกเพลิง

จากนั้นเด็กหนุ่มก็พลันสร้างระเบิดเหยี่ยวเพลิงอีกลูกหนึ่งขึ้น แต่ครานี้เขาส่งพลังทั้งหมดเข้าไปในผลึกเพลิง

มันคือระเบิดเหยี่ยวเพลิงที่ทรงพลังกว่าเดิมนัก !

ซูเฉินยังไม่ทันฝึกฝนมันจนชำนาญ ดังนั้นจึงใช้ผลึกเพลิงก้อนเล็กมาทดลองวิชาก่อน

เหยี่ยวเพลิงที่ทรงพลังขึ้นกว่าเก่าสยายปีกเพลิงออกปรากฏตัวขึ้นมา

ทั่วทั้งร่างมันก่อเกิดจากเปลวเพลิง ราวกับเป็นปักษาเพลิงที่บินออกมาจากดวงอาทิตย์ กลิ่นอายที่ปล่อยออกมาราวกับจะแผดเผาทุกสิ่งอย่างจนสิ้นไปได้ และทันทีที่ปรากฏตัวขึ้น อุณหภูมิโดยรอบก็สูงขึ้นไม่น้อย

“กรี๊ซซซซ !”

หลังจากส่งเสียงกรีดร้องยาวออกมา เหยี่ยวสวรรค์ปีกเพลิงก็สะบัดกรงเล็บยาวที่มีเปลวเพลิงแผดเผา ปลดปล่อยเปลวเพลิงไร้ขอบเขตออกมา รุดหน้าเข้าใส่จางเซิ่งอัน

จางเซิ่งอันยืนอยู่บนแพรเมฆาแดง มองภาพนั้นนิ่ง ปล่อยให้ภาพเปลวเพลิงสะท้อนในนัยน์ตาเขาใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ

“ไม่นะ !” เขาร้องโหยหวน สีหน้าสิ้นหวัง

ก่อนที่พริบตาต่อมาจะถูกเปลวเพลิงกลืนหายไป