ภาคที่ 2 บทที่ 70 ถ้ำ

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 70 ถ้ำ

ลูกไฟห่าใหญ่สาดลงมาจากฟากฟ้าราวกับฝนเพลิง

ท่ามกลางห่าฝนเพลิง เส้นแสงสีแดงก็วาบกลับไปอยู่ในฝ่ามือซูเฉินอีกครั้ง

มันคือผลึกเพลิงสลักนั่นเอง

เมื่อใช้ไปหนึ่งครั้ง มันก็หดเล็กลง แลกกับการโจมตีอันทรงพลังเมื่อครู่

หลังจากผ่านการโจมตีดุดันไปแล้ว พื้นที่โดยรอบถูกทำลายสิ้น เหลือเพียงเศษเนื้อกระจัดกระจายบนพื้นและกลิ่นเนื้อไหม้เพียงเท่านั้น

คันศรนั่นคงจะเป็นสิ่งเดียวที่เหลืออยู่

ซูเฉินเดินไปหยิบคันศรมารพฤกษาขึ้นจากพื้น

มันเหมือนจะมีชีวิตขึ้นมา อาจด้วยรู้ว่าเจ้าของเปลี่ยนคนไปแล้ว มารพฤกษาจึงเหลียวหลังหันมองแล้วอ้าปากกัดซูเฉิน

“โง่เง่านัก !” ซูเฉินคำรามขึ้น ยกนิ้วดีดศีรษะมันไปครั้งหนึ่ง จนมันร้องเสียงเจ็บปวดแสบหูออกมา

ทันใดนั้นซูเฉินก็รู้สึกสายตาพลันพร่ามัว ก่อนจะเห็นปีศาจนับไม่ถ้วนจะพุ่งเข้าใส่จากรอบทิศ

เขาพลันโยนคันศรทิ้งไปทันที ภาพมายาทั้งหมดก็เลือนหายไป ทุกสิ่งกลับสู่สภาพเดิม

“สร้างภาพมายาได้ด้วยหรือ ?” ซูเฉินประหลาดใจไม่น้อย

หลังจากลองอยู่หลายครั้ง ในที่สุดก็สรุปได้ว่ามันมีความสามารถประหลาดในการสะท้านจิตอยู่จริง สามารถทำให้ผู้ถือตกลงสู่ห้วงมายาได้ ไม่แปลกที่จะเรียกมันว่าคันศรมารพฤกษาต้องสาป

ไม่รู้ว่าจางเซิ่งอันใช้มันได้อย่างไร

เด็กหนุ่มทำการค้นศพอยู่นานก็ไม่พบว่าจะมีสิ่งใดที่ใช้สยบศรนั่นได้ หากไม่ถูกทำลายไปแล้ว เช่นนั้นจางเซิ่งอันอาจฝึกวิชาที่สามารถต้านการโจมตีจิตหรือวิญญาณได้กระมัง แต่เมื่อคิดดูดี ๆ แล้ว นัยน์ตาวิญญาณและวิชาตรึงวิญญาณก็ใช้ได้ผลกับอีกฝ่าย ดังนั้นซูเฉินจึงคิดว่าคงจะเป็นประการแรกเสียมากกว่า

แต่ของก็คงไม่อยู่แล้วกระมัง

นอกจากศรนั่นแล้ว ซูเฉินพบแหวนกักเก็บ ภายในมีหินพลังต้นกำเนิดอยู่ 3 พันก้อน นับว่าร่ำรวยมากสำหรับศิษย์คนหนึ่ง เคราะห์ร้ายที่สมบัติที่ใช้ปกป้องกายของเขา ไม่ถูกใช้ไปหมดก็ถูกทำลายไปสิ้นแล้ว

ถึงกระนั้น ซูเฉินได้คันศรมารพฤกษามาก็พอใจมากแล้ว

เขาโยนมันเก็บไว้ในแหวนกักเก็บก่อนหันหลังจากไป หากแต่พลันรู้สึกบางอย่าง จึงสอดสายตาส่องทั่วทิศ ก่อนจะพบว่าตอนนี้เขายืนอยู่หน้าถ้ำขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง

สิ่งที่เตะตาเขาไม่ใช่ตัวถ้ำ แต่เป็นดอกไม้สีแดงเพลิงในนั้นต่างหาก

ดอกสามตะวัน

แม้จะเป็นดอกสามตะวันระดับต่ำ แต่ก็นับว่าหายากนัก

เป็นเพราะหายากมาก ดังนั้นจึงไม่อาจพบเห็นมันได้บ่อยครั้ง

ซูเฉินค่อย ๆ เคลื่อนกายเข้าหามัน เหลือบมองซ้ายขวาให้ดี ก่อนจะเก็บดอกสามตะวันขึ้นมาด้วยความระมัดระวัง

ไม่มีการลอบโจมตีหรือกับดักใด ๆ ทั้งสิ้น เขาเก็บสมุนไพรล้ำค่ามาได้เช่นนั้นเอง

ซูเฉินพบโชคหล่นใส่กะทันหันเช่นนี้ก็รู้สึกตกใจไม่น้อย

หากแต่เป็นตอนนั้นเองที่ซูเฉินพบว่ารอบกายดูออกจะแปลกไปสักหน่อย

ภายในถ้ำนี้แปลก ไม่เหมือนถ้ำจากธรรมชาติ คล้ายสร้างขึ้นมาจากมือมนุษย์ แต่ใครกันจะมาขุดถ้ำใหญ่อยู่ในนี้ ? อีกทั้งยังไม่สนดอกสามตะวันที่ขึ้นอยู่ในนี้อีก……

ความคิดหนึ่งพลันแล่นขึ้นมาทำให้เขารู้ทันทีว่าตนอยู่ที่ไหน

นี่คือถ้ำเจ้าโคลนยักษ์ !

เขาไล่ตามจางเซิ่งอันมาเช่นนี้ สุดท้ายพาเขามาสู่รังของโคลนยักษ์เสียได้

ตอนนี้โคลนยักษ์ยังไม่กลับมา ดังนั้นมันอาจจะกลับมาเมื่อไรก็ย่อมได้

ความคิดหนึ่งผุดขึ้นในใจซูเฉินจนเขาไม่อาจมองเมินมันได้ เขาอยากเข้าไปตรวจด้านในถ้ำ

โอกาสนี้หาได้ยาก ไม่มีใครรู้ว่าถ้ำเจ้าโคลนยักษ์เก็บสมบัติเช่นไรไว้ หากซูเฉินไม่ถือโอกาสเข้าไปตรวจดูก็คงเสียใจไปชั่วชีวิต

ครุ่นคิดชั่วครู่หนึ่ง เด็กหนุ่มก็ตัดสินใจยอมเสี่ยง เดินเข้าถ้ำไปในที่สุด

เขาเดินไปตามทางเดินถ้ำ พบว่าภายในถ้ำใหญ่กว่าที่เห็นมาก ทางเดินคดเคี้ยว ซับซ้อนเป็นยิ่งนัก

ซูเฉินรู้ว่าพวกโคลนยักษ์ขุดถ้ำเก่ง มีความเชี่ยวชาญเช่นนี้ติดตัวมาแต่กำเนิด แต่ไม่อยากเชื่อว่ามันจะเปลี่ยนภูเขาทั้งลูกให้กลายเป็นเขาวงกต เดินไปเดินมาก็จับทิศทางไม่ได้อยู่ชั่วขณะ

บัดซบ เหตุใดต้องสร้างให้ใหญ่นักนะ ? ซูเฉินสบถอยู่ในใจ

แต่แม้จะสบถด่า ซูเฉินก็ยังไม่ยอมหยุดสำรวจเพียงเท่านี้ เดินเข้าไปอีกสักหน่อยก็พบเข้ากับหญ้าเงาลึก

หญ้าเงาลึกปกติขึ้นในที่ชื้นแฉะและมืดครึ้ม ดังนั้นจึงเห็นได้บ่อยตามในถ้ำ แต่หญ้าสามตะวันชอบแสงอาทิตย์ ดังนั้นจึงพบเห็นได้แค่ที่หน้าถ้ำเท่านั้น หากมีหญ้าเงาลึกต้นหนึ่ง เช่นนั้นต้องมีอีกหลายต้นแน่ ดังนั้นซูเฉินจึงไม่คิดปล่อยโอกาสที่หาได้ยากเช่นนี้หลุดมือไป

หลังจากเดินมาอีกชั่วครู่หนึ่ง ซูเฉินก็มาถึงทางแยก

มีทางสามทางให้เลือกเดิน ทว่าซูเฉินไม่อาจรู้ได้ว่าตนควรเลือกทางไหน

ตอนนั้นเองที่เขาเหลือบมองไปยังทางสายขวาสุด

ด้วยเพราะที่หน้าปากทางมีเถาวัลย์หนึ่งห้อยแขวนอยู่

ซูเฉินจำเถาวัลย์นี้ได้ มันคือเถาผลระฆังเงิน

ผลระฆังเงินสามารถใช้ปรุงยาเสริมกายาได้ ใช้แล้วจะทำให้พละกำลังด้านร่างกายเพิ่มสูงขึ้น

หากแต่มันเหลือแต่เถาที่ไร้ผล

ผลมันถูกเก็บไปแล้ว

ซูเฉินเดินเข้าไปเพ่งดูใกล้ ๆ มัน ดูจากร่องรอยแล้วเพิ่งจะถูกเก็บไปเสียด้วย

มีคนเพิ่งจะผ่านที่นี่ไป !

ซูเฉินพลันเข้าใจ

“เป็นเช่นนี้เอง……” ซูเฉินหรี่ตาลง

ในที่สุดเขาก็เข้าใจสาเหตุที่จางเซิ่งอันและคนอื่น ๆ ถูกโคลนยักษ์ไล่ล่า

ก็เพราะมีคนวางแผนไว้อย่างไรเล่า

ตอนที่เจอหน้าจางเซิ่งอัน ซูเฉินก็ได้กลิ่นหอมแปลกอันเป็นเอกลักษณ์โชยออกมา แต่เป็นเพราะสถานการณ์กำลังชุลมุน ต่อสู้กันพัวพัน ดังนั้นจึงไม่ได้คิดอะไรมาก

แต่ตอนนี้เขารู้แล้วว่ามันคือกลิ่นยาศิลาวิญญาณ

ส่วนผสมหลักของยาศิลาวิญญาณคืออสูรศิลาวิญญาณ อสูรกายที่กินเพียงอาหารธาตุดินเท่านั้น นับเป็นยาที่เป็นศัตรูกับสิ่งมีชีวิตประเภทดินทุกอย่าง

โคลนยักษ์คงจะได้กลิ่นอายของอสูรศิลาวิญญาณ คิดว่าพวกมันอยู่ใกล้รัง ดังนั้นจึงเกิดบ้าคลั่งขึ้นมา ไล่ล่าจางเซิ่งอัน และคนอื่น ๆ มา

หรือก็คือ…… มีคนอื่นวางกับดักไว้นั่นเอง

ส่วนเป้าหมายนั้น ซูเฉินไม่คิดว่าจะเป็นเพื่อการแก้แค้น เขาเชื่อว่าอีกฝ่ายคิดใช้จางเซิ่งอันและคนอื่น ๆ ดึงความสนใจโคลนยักษ์ไปต่างหาก ตนเองจะได้เข้ามาหาสมบัติในถ้ำได้

อุบายเยี่ยมยอดนัก !

ซูเฉินต้องยอมรับเลยว่าแผนการดำเนินออกมาได้อย่างดีเยี่ยม ใช้จางเซิ่งอันล่อโคลนยักษ์ จากนั้นฉวยโอกาสชิงเอาสมบัติในถ้ำทั้งหมดไป ช่างรังสรรค์ความคิดได้ยอดเยี่ยมนัก

หากจางเซิ่งอันไม่หนีเขาจนมาถึงที่นี่ ซูเฉินก็คงไม่รู้ว่ามีสถานที่เช่นนี้อยู่

หากเป็นปกติแล้วก็คงไม่เกี่ยวอะไรกับเขา ซูเฉินก็คงไม่ใส่ใจถ้ำนี่มาก

ปัญหาคือหลังจากจางเซิ่งอันลูกไล่ล่ามากแล้ว เจ้านั่นกลับลากกลุ่มซูเฉินติดร่างแหไปด้วย ดังนั้นตอนนี้ทุกอย่างจึงเกี่ยวข้องกับ ซูเฉินเต็ม ๆ

หากจะให้ปล่อยไปโดยไม่ลงมืออะไรเขาก็ใจดีเกินไปแล้ว

ในตอนที่เขากำลังสำรวจรอบข้างอยู่นั้นเอง ซูเฉินคาดเดาไว้ว่าคนผู้นั้นยังคงไม่เผยตัวเป็นแน่

อาจเป็นเพราะถ้ำโคลนยักษ์แห่งนี้ใหญ่โตเกินไป ดังนั้นจึงทำให้เดินทางได้ช้าลงมาก

คิดได้ดังนี้ ซูเฉินก็ไม่คิดเลือกทางเดินไหน แต่ไปหามุมมืดเร้นกายอยู่แทน

หลังจากนั้นไม่นาน เสียงฝีเท้าก็ดังขึ้นได้ยินชัดเจน

คนผู้หนึ่งก้าวเท้าออกมาจากทางเดินถ้ำ เป็นหญิงสาวคนหนึ่งในชุดขาวไร้รอยเปรอะใด ผมสีดำขลับของนางคลอไหล่ ริมฝีปากสีชมพูน่ามองยิ่งเน้นให้ผิวดูขาวจัดกว่าเดิม