ภาคที่ 2 บทที่ 71 คู่ต่อสู้อันน่าสะพรึงกลัว

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 71 คู่ต่อสู้อันน่าสะพรึงกลัว

เมื่อเห็นว่าเป็นหญิงสาวคนหนึ่งซูเฉินก็ประหลาดใจนัก

ด้วยเพราะในสายตาเขา มีแต่คนชั่วร้ายเจ้าเล่ห์เพทุบายเท่านั้นที่จะสามารถคิดวางแผนการลวงเหยื่อให้ติดกับแล้วเปลี่ยนเป้าหมายภายหลังเช่นนี้ออกมาได้

เมื่อเห็นว่าคนที่ปรากฏขึ้นดูไม่เข้ากับวิธีที่ลงมือเท่าไหร่ เขาก็ชะงักไปในพลัน

เป็นจังหวะสั้น ๆ ที่ทำให้เขาเคลื่อนที่ช้าลง

ปกติแล้วเขาชะงักไปเท่านี้ไม่นับเป็นอะไร เพราะเด็กหนุ่มไม่ได้เตะโดนก้อนกรวดหรือส่งเสียงใดออกมา

แต่หญิงสาวก็ยังจับสัมผัสเขาได้

นางหันมาแล้วตะโกนถามทันที “ใคร ?”

ไม่มีเวลาให้เสียอีกต่อไปแล้ว

คำตอบของซูเฉินมีเพียงลูกไฟที่พุ่งใส่นาง

เขาไม่ได้คิดอยากสังหารคน ดังนั้นซูเฉินจึงไม่ได้ใช้เหยี่ยวเพลิงรุนแรงออกไป และหากไม่ทันตั้งตัว เพียงลูกไฟเท่านี้ก็สามารถเอาชนะคนส่วนมากได้แล้ว

หากแต่หญิงสาวตรงหน้าเขาไม่ใช่ ‘คนส่วนมาก’

ทันทีที่ลูกไฟปรากฏออกมา นางก็ขยับกาย

เงาร่างนางพลันหายวับไปราวกับภูตผี หลบลูกไฟได้ในพริบตา

ลูกไฟพุ่งเข้าใส่ภาพเงาร่างของหญิงสาวที่ยังคงหลงเหลือไว้จากการเคลื่อนกายอันรวดเร็ว ปะทะเข้ากับกำแพงหินที่อยู่ไม่ไกล ส่งเพลิงสายหนึ่งขึ้นไปในอากาศ

นางหลบการโจมตีโดยตรงของลูกไฟได้ แต่ไม่อาจหลบคลื่นพลังเพลิงของมันพ้น ทำให้หญิงสาวเปล่งเสียงร้อง ถูกพลังซัดจนกระเด็นไป

ซูเฉินตวัดดาบอัสนีบาตออกไป

ฆ่าคนยามเจ็บนั้นไม่ใช่เพียงคำกล่าวว่างเปล่าประโยคหนึ่ง ในเมื่อเขาลงมือไปแล้วย่อมไร้เหตุผลให้แสดงเมตตา อีกทั้งอีกฝ่ายยังตอกกลับได้รวดเร็วว่องไวเช่นนี้

น่าอัศจรรย์ใจนัก !

แม้ร่างนางจะลอยอยู่กลางอากาศ แต่หญิงสาวก็ยังตอบรับว่องไว

นางเหวี่ยงแขนไปด้านหลัง ใช้กายฟาดเข้ากับดาบอัสนีบาต แรงปะทะส่งร่างนางให้ถอยกลับไป พยายามสร้างระยะห่างระหว่างตนกับคู่ต่อสู้ให้มากขึ้น

เพียงแต่ซูเฉินนั้นเชี่ยวชาญการลอบโจมตีคนมาก

ได้อย่างไรน่ะหรือ ? เป็นเพราะเขาเตรียมการทุกอย่างไว้พร้อมสรรพ ไม่เหมือนกับนางที่ทำได้เพียงตอบกลับฉับพลัน

ซูเฉินรีบใช้นัยน์ตาวิญญาณหลังจากซัดดาบอัสนีบาตออกไปทันที

วิชาโบราณอาร์คาน่ามีประโยชน์ตรงที่มีจังหวะให้เตรียมรูปแบบพลังต้นกำเนิดไว้ก่อนจะใช้วิชาไปพร้อมกันได้ แม้จะสามารถปล่อยออกไปได้ทีละอย่าง แต่เวลาที่ใช้ระหว่างการใช้วิชานั้นสั้นกว่ามาก แต่ก็ไม่อาจเปิดใช้รูปแบบพลังต้นกำเนิดเร็วเกินไป อีกทั้งมันความสามารถในการคงอยู่ของมันนั้นไม่มาก กัดกินพลังต้นกำเนิดอยู่อย่างต่อเนื่อง ดังนั้นประโยชน์เช่นนี้จึงสามารถนำมาใช้ได้ในสถานการณ์แบบนี้เท่านั้น

เขาเปิดใช้นัยน์ตาวิญญาณ ร่างของหญิงสาวพลันแข็งค้างอยู่กลางอากาศ

จากนั้นซูเฉินก็ซัดดาบอัสนีบาตออกไปอีกครั้ง

เขาไม่คิดสังหารนาง ดังนั้นจึงใช้เพียงดาบอัสนีบาตเท่านั้น

ดาบซัดเข้าใส่ศัตรู หญิงสาวส่งเสียงร้องแหลม หากแต่เมื่อร่างกระทบพื้นก็ได้สติขึ้นมา

เมื่อร่างนางกระทบพื้น ซูเฉินก็พุ่งออกจากที่ซ่อน โจมตีด้วยดาบอัสนีบาตสองครั้งติด เขาวางแผนการโจมตีของตนมาเป็นอย่างดี ทำให้นางบาดเจ็บ จากนั้นสกัดกั้นความสามารถในการโจมตีของนางโดยไม่ต้องปลิดชีพนาง

การคำนวณของเขาแม่นยำยิ่ง เว้นเสียแต่เรื่องหนึ่ง

การโต้กลับของหญิงสาว

หญิงสาวเงยหน้าขึ้นจ้องตาซูเฉิน นัยน์ตานางมีแสงสว่างวาดผ่านจาง ๆ

สติของซูเฉินพลันถูกเขย่า

บัดซบ คู่ต่อสู้ของเขามีทักษะต้นกำเนิดประเภทโจมตีจิต !

อีกทั้งการตอบสนองของนางยังน่าชังนัก

หากเป็นคนอื่นคงใช้จังหวะนี้จัดการกับดาบอัสนีบาตที่ถูกซัดออกไปสองครา

แต่นางไม่ทำ

นางไม่คิดหลบดาบอัสนีบาตทั้งสองสาย อีกทั้งยังเลือกเข้าปะทะกับมัน และด้วยพยายามต้านทานแรงปะทะ จึงทำให้แขนของนางวาดออกเป็นเส้นโค้งแสง

โชคดีที่ซูเฉินเปิดใช้ผู้พิทักษ์แห่งเม็กก่อนทำการโจมตี แต่ถึงกระนั้นการโจมตีของนางก็ยังปะทะร่างเขาจนลอยละลิ่ว พลังทำลายล้างทะลุผ่านผู้พิทักษ์แห่งเม็กสองชั้น ชี้ให้เห็นว่าการโจมตีครั้งนี้ของนางรุนแรงไม่น้อย

แน่นอนว่าหญิงสาวก็ไม่ได้ดีไปกว่าเขานัก ถูกดาบอัสนีบาตเข้าไปถึงสองครั้งทำให้นางบาดเจ็บเช่นกัน แต่สำคัญคือตอนนี้นางกำลังได้เปรียบ ยามนางส่งซูเฉินกระเด็นลอยไปนางก็หยิบของชิ้นหนึ่งโยนออกไปด้วย

ถ้ำอันมืดมิดพลันมีแสงสว่างวาบขึ้นราวกับเป็นตอนกลางวัน แสงจ้านี้แผ่กระจายไปทั่วถ้ำ

เดิมทีซูเฉินคิดว่ามันคงเป็นอาวุธโจมตีสักอย่างที่มีพลังรุนแรงเป็นแน่ แต่กลับพบว่าเป็นเพียงหินแสงจันทร์ก้อนหนึ่งเท่านั้น

นางใช้หินแสงจันทร์ส่องสว่างในถ้ำไปเพื่ออะไร ?

ซูเฉินไม่เข้าใจ

หากแต่เขาไม่มีเวลาคิดเรื่องนั้น หญิงสาวแกร่งเกินกว่าที่เขาคาดคิดไว้นัก พริบตาที่เขาหลุดออกจากการโจมตีจิตของนางได้ ซูเฉินก็ปล่อยระเบิดเพลิงปักษาที่ตระเตรียมไว้นานแล้วออกมา

ฟ้าว !

ระเบิดเพลิงปักษาฉบับปรับปรุงขนาดยักษ์ส่งเสียงกรีดร้องออกมาก่อนพุ่งออกไป

ซูเฉินเริ่มลงมือเต็มกำลัง

พริบตาที่ระเบิดเพลิงปักษาปรากฏขึ้น นัยน์ตาหญิงสาวก็เผยแววตะลึง นางเอ่ยขึ้นเสียงเย็น “เป็นเจ้า !”

ยามนางเอ่ยคำเหล่านั้น ก็เหินร่างขึ้น ก่อนที่ร่างของนางจะเริ่มกลืนไปกับแสงจันทร์สว่างจ้าก่อนจะหายวับไป ราวกับกลายเป็นแสงจันทร์

ระเบิดเพลิงปักษาซัดผ่านแสงจันทร์ไปไม่โดนสิ่งใด

“เป็นเจ้า !”

หากแต่คำว่า ‘เป็นเจ้า’ ครั้งที่ 2 นั้นออกจากปากซูเฉิน

ท่าเมื่อครู่ของหญิงสาวนั้นเหมือนกับที่เขาเคยเห็นตอนเยี่ยเม่ยถูกนักฆ่าลอบโจมตี

คนทั้งคู่ต่างรู้ตัวตนของอีกฝ่ายพร้อม ๆ กัน

“เช่นนั้นเจ้าก็คือเศษเดนของอารามนิรันดร์นั่น !” หญิงสาวชุดขาวเริ่มแผ่ไอสังหารหนาแน่นออกมา

ร่างของนางปรากฏขึ้นอีกครั้ง จากนั้นพุ่งง้างมือเข้ามาทางเขา ปรากฏภาพกรงเล็บคมที่หมายจะเฉือนโจมตีศีรษะซูเฉิน พุ่งลงมาพร้อมกับพลังรุนแรง

ซูเฉินรู้ว่าสถานการณ์เริ่มไม่ดีเสียแล้ว

เขารีบล่าถอย

ถอยอย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ !

ในเวลาเดียวกันนั้น ระเบิดเหยี่ยวเพลิงก็ถูกซัดออกไป

เหยี่ยวเพลิงปะทะเข้ากับกรงเล็บทลายหยก กรงเล็บของหญิงสาวก็สามารถทำลายเหยี่ยวเพลิงลงได้ แต่มันก็ส่งผลให้เปลวเพลิงรุนแรงแผ่ไปยังฝ่ามือ

หากทว่าฝ่ามือของหญิงสาวพลันเลือนหายไป จึงทำให้เปลวเพลิงก้อนนั้นปัดผ่านนางไป โจมตีไม่ถูกตัวแม้แต่น้อย จากนั้นกรงเล็บหยกของนางก็แปรเปลี่ยนเป็นท่านิ้ว ส่งริ้วแสงจันทร์โต้กลับมา

ซูเฉินเข้าใจแล้วว่าเหตุใดนางจึงใช้หินแสงจันทร์

ไม่เพียงหญิงสาวสามารถใช้แสงจันทร์เพื่อบดบังตน นางยังใช้มันโจมตีได้ด้วย

เด็กหนุ่มไม่รู้ว่าการโจมตีของนางรุนแรงเพียงไหน และเขาก็ไม่อยากรู้ด้วย

ท่าดัชนีจันทราของนางกำลังพุ่งมาจวนจะถูกตัวเขา เงาร่างของซูเฉินก็พลันเลือนหายไป

วิชาหอคอยพิสุทธิ์เคลื่อนกาย !

พริบตาต่อมา เขาก็ปรากฏอยู่หลังหญิงสาว

คลื่นกระสุนพลังต้นกำเนิดซัดปะทะร่างนาง

ดูท่าวิชาจันทราเร้นกายของนางสามารถใช้ติดต่อกันได้หลายครั้ง ดังนั้นเมื่อถูกสาดกระสุนพลังต้นกำเนิดเข้าใส่ ร่างนางก็เลือนหายไปอีกครา

คลื่นกระสุนพลังต้นกำเนิดระลอกหนึ่งพุ่งเข้าใส่นาง หากแต่โจมตีไม่โดนนางแม้สักเล็กน้อย

หญิงสาวปรากฏตัวขึ้นจากแสงจันทร์แล้วเงื้อกรงเล็บเข้าใส่ซูเฉิน

ซูเฉินใช้ก้าวย่างหมอกอสรพิษกระโดดถอย อีกทั้งยังใช้ตาข่ายลมพิสุทธิ์

ตาข่ายลมพิสุทธิ์เฉือนร่างนาง บนแขนนางเห็นได้ชัดว่ามีรอยแผล หากแต่นางไม่ใส่ใจ ทำเพียงชี้นิ้วใส่ ครั้งนี้ดัชนีจันทราถูกส่งมาทางซูเฉินถึง 5 ระลอก

ผู้พิทักษ์แห่งเม็กไม่อาจต้านการโจมตีได้อีกต่อไป เกราะของซูเฉินแตกกระจายออก ท่านิ้วนั่นซัดเข้าที่อกและแขนซ้ายอย่างจัง

หากแต่ในพริบตานั้น คลื่นพลังเพลิงลูกหนึ่งก็ปะทุขึ้นที่เบื้องหลังหญิงสาว

เปลวเพลิงลูกนี้ปะทุขึ้นรวดเร็วเกินกว่านางจะไหวตัวทัน หญิงสาวชุดขาวไม่อาจปัดป้องได้ ถูกพลังปะทะ ส่งร่างกระเด็นลอยมาทางซูเฉิน

ครั้งนี้นางไม่อาจใช้จันทราเร้นกายได้แล้ว

ดังนั้นเด็กหนุ่มจึงไม่รอช้า พุ่งเข้ามาซัดฝ่ามือหนึ่งลงบนอกนาง ขัดการไหลเวียนของพลังต้นกำเนิดในร่าง ทำให้หญิงสาวทรุดลงในอ้อมแขนซูเฉินทันที

เมื่อสับมือเข้าที่หลังศีรษะนางอีกครา หญิงสาวก็ตาเหลือกแล้วสลบไป