กู่ฉิงซานนั่งลงบนฟูก พยายามสุดกำลังที่จะควบรวมฐานวรยุทธ์ของเขา

หลังจากที่ข้ามผ่านโทษทัณฑ์ ขอบเขตวรยุทธ์ก็จะยกระดับขึ้น

นี่คือกระบวนการอันยอดเยี่ยมของผู้ฝึกยุทธ์

พลังวิญญาณพวยพุ่งอย่างรวดเร็ว ดั่งคลื่นที่บ้าคลั่ง มันผุดออกมาตามแขนขา และส่วนต่างๆ ของร่างกายอย่างต่อเนื่อง หน้าที่ของกู่ฉิงซานก็คือ ต้องหาวิธีที่จะทำให้พลังวิญญาณที่ปะทุออกมาสงบลง กลับไปมีเสถียรภาพดังเดิม มิฉะนั้น มันอาจส่งผลกระทบต่อเส้นลมปราณได้

เขาเหนี่ยวนำกระแสพลังวิญญาณที่เอ่อล้น ค่อยๆชักนำมันเข้าสู่ตันเถียน ก่อให้เกิดเป็นกระแสหมุนวน พลังวิญญาณที่พลุ่งพล่านค่อยๆ ถดถอยลงอย่างช้าๆ

นี่เป็นกระบวนการละเอียดอ่อน ซึ่งสามารถลดความเสียหายต่อร่างกายที่เกิดจากพลังวิญญาณอันรุนแรงได้

หนึ่งวันหนึ่งคืนผ่านพ้นไป

ในที่สุดกู่ฉิงซานก็ลืมตาตื่น

ตอนนี้ เขากลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ในขอบเขตพันวิบัติขั้นปลายแล้ว!

และเนื่องจากเขามิใช่แค่ผู้ฝึกยุทธ์ที่ฝึกฝนทักษะดาบ แต่ยังรวมไปถึงทักษะของนักสู้ ยิงธนู กระบี่ ฯลฯ ด้วยเหตุนี้เอง ทุกสัดส่วนของร่างกายเขาที่เกี่ยวข้องกับทั้งหมดที่กล่าวมา มันจึงล้วนแข็งแกร่งขึ้น

นี่นับเป็นความสุขอันไม่คาดฝัน

ทันใดนั้นแสงบางอย่างก็แยงเข้ามาในสายตาของกู่ฉิงซาน

ตรงส่วนล่างของหน้าต่างเทพสงครามกำลังกะพริบไหว

คราวนี้เป็นในส่วนของ ‘สมญาเทพสงคราม’

กู่ฉิงซานแปลกใจ เขาอดไม่ได้ที่จะกดเปิดฟังก์ชันนี้

เห็นแค่เพียงบรรทัดแสงหิ่งห้อยผุดออกมาจากตัวเลือก ‘สมญาเทพสงคราม’

“คุณได้บรรลุเงื่อนไขขั้นต่ำสำหรับการเปิดใช้งานสมญาใหม่แล้ว”

“เนื่องจากคุณได้กลายเป็นนายพลชั้นเฉินเว่ยของโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ์ และสามารถยกระดับฐานวรยุทธ์มาได้ถึงขอบเขตพันวิบัติขั้นปลาย ดังนั้นสมญา นายพลชั้นโหยวจี ของคุณจึงได้รับการยกระดับ”

“ตอนนี้ คุณสามารถใช้สมญาใหม่ นายพลชั้นเฉินเว่ย ได้แล้ว”

“สมญา นายพลชั้นเฉินเว่ยครอบคลุมไปถึงสมญานายพลชั้นโหยวจีและก่อนหน้า”

“อธิบาย นี่คือยศทหารชั้นสูงสุดของกองทัพพันธมิตรเผ่ามนุษย์”

“หากสวมใส่สมญานี้ จะได้รับสกิลพิเศษ โจมตีฉับไว เพิ่มขึ้น 20 %”

กู่ฉิงซานกวาดสายตาอ่านสมญาใหม่ด้วยความประหลาดใจ ใบหน้าของเขาค่อยๆ เผยรอยยิ้มแย้ม

สมญานายพลชั้นโหยวจี เดิมทีให้โบนัสการโจมตีเร็วแก่เขาสิบห้าเปอร์เซ็นต์แต่เฉินเว่ยกลับให้เขาโดยตรงถึงยี่สิบเปอร์เซ็นต์

ยี่สิบเปอร์เซ็นต์เชียวนะ!

แต่เดิม สกิลดาบของเขาก็เน้นคว้าชัยชนะอย่างรวดเร็วอยู่แล้ว และตอนนี้ความเร็วของมันกลับสามารถเพิ่มขึ้นได้อีกถึงยี่สิบเปอร์เซ็นต์นี่จะช่วยให้ความแข็งแกร่งของเขาเพิ่มพูนเป็นเท่าทวี!

เพราะการโจมตีเร็วขึ้นยี่สิบเปอร์เซ็นต์ที่ว่านี่มันไม่ใช่แค่ดาบ

แต่ยังรวมไปถึง นักสู้หวูเต๋า กระบี่ ธนู เพิ่มเสริมเข้าไปด้วยเช่นกัน

แค่คิดแทนศัตรูที่ต้องมาสู้กับเขา ก็รู้สึกหวาดกลัวแทนพวกมันไม่ได้แล้ว

กู่ฉิงซานทำการล็อกสมญาของเขาไว้ที่ ‘นายพลชั้นเฉินเว่ย’ คว้าเอาดาบเช่าหยินออกมา และเริ่มเคลื่อนกาย ใช้ออกด้วยเทคนิคดาบ

ดาวยาวโบกสะบัด

สาดประกายเย็นเยียบ

“เอ๊ะ?”

แต่แล้วคิ้วของกู่ฉิงซานก็ต้องขมวดลงโดยไม่คาดฝัน

แม้เขาจะค้นพบว่าความเร็วของตัวเองว่องไวขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แต่ในขณะเดียวกัน เขากลับรู้สึกตื่นตระหนกเล็กน้อยที่ไม่สามารถควบคุมดาบของตนได้

ความเร็วระดับนี้…เหมือนว่ามันจะมากเกินไปหน่อย

กู่ฉิงซานพิจารณาอย่างรอบคอบ และในที่สุดก็พยักหน้าตัดสินใจว่าปัญหาในข้อนี้ จะต้องเร่งแก้ไขมันทันที

ในฐานะที่เป็นผู้ฝึกดาบ แต่กลับไม่สามารถควบคุมดาบได้ นี่นับว่าเป็นสิ่งที่อันตรายยิ่ง

เขาผุดลุกขึ้น และเริ่มร่ายระบำดาบอย่างช้าๆ

เขาเริ่มใหม่ตั้งแต่การฝึกกระบวนท่าดาบขั้นพื้นฐานอย่างเป็นเรื่องเป็นราว ก่อนจะเริ่มผสานสกิลดาบเข้าด้วยกัน จนสามารถใช้งานมันได้อย่างไม่ติดขัด จากนั้นก็หันไปเริ่มทดสอบกับเทคนิคลับแห่งดาบอีกครั้ง และสุดท้ายเป็นค่ายกลดาบ

ตั้งแต่ต้นจนจบ กู่ฉิงซานได้ปรับเปลี่ยนมันเล็กน้อย เพื่อให้เหมาะสมกับความเร็วที่เพิ่มขึ้น

หลังจากฝึกฝนมากว่าสองชั่วยาม เขาก็สามารถไล่ตามความเร็วของ ‘นายพลชั้นเฉินเว่ย’ จนทันในที่สุด

จากนั้นจึงเก็บดาบเช่าหยิน และทิ้งตัวกลับไปนั่งพักบนฟูกอีกครั้ง

จนกระทั่งตอนนี้ เขาถึงได้มีเวลาทบทวน ได้คิดเกี่ยวกับโทษทัณฑ์ที่พึ่งเกิดขึ้นอย่างรอบคอบ

แต่ยิ่งคิดมากเท่าไหร่ กู่ฉิงซานก็ยิ่งงุนงงมากขึ้นเท่านั้น

แปลกจัง…

หายนะของโทษทัณฑ์ มันไม่สมควรที่จะจบลงอย่างง่ายดายเช่นนี้นี่นา?

อย่างเช่นในระหว่างกระบวนการข้ามผ่านโทษทัณฑ์เมื่อครู่ ที่เขาทำก็เพียงแค่โค่นกลุ่มคนที่ลอบโจมตีเขาอย่างกะทันหัน ครั้งเดียวเท่านั้นเอง

การโจมตีของพวกมันก็ถูกสกัดไว้โดยเกราะรบ ทำให้เขามิได้เป็นอันตรายใดๆ

แต่โทษทัณฑ์มันจะจบลงแค่นั้นจริงๆ น่ะหรือ?

หรือว่าเขาได้ไปพบเจอกับหายนะที่ร้ายแรงยิ่งกว่ามาก่อนแล้ว แต่ไม่ทันจะรู้ตัว?

ไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะทวนซ้ำถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในหัวใจของเขา

หลังจากกลั่นกรองทุกประเภทของสถานการณ์ กู่ฉิงซานก็สามารถเข้าใกล้คำตอบของปัญหานี้ได้ในที่สุด

“ที่ติดใจที่สุดคงไม่พ้นต้นไม้ต้นนั้น มันจะต้องมีอะไรบางอย่างที่ผิดปกติอย่างแน่นอน…” เขางึมงำกับตัวเอง

แต่ในตอนที่พบเจอกับต้นไม้ใหญ่ เขาก็ปลดปล่อยจิตสัมผัสเทวะ ทำการสำรวจบริเวณโดยรอบ รวมไปถึงใต้ทะเลทรายแล้วนี่นา

ซึ่งน่าเสียดาย ที่จิตสัมผัสเทวะกลับไม่พบอะไรเลย

หากโทษทัณฑ์ที่เขาจะได้เผชิญ จริงๆ แล้วมิใช่กลุ่มฝูงชนที่ลอบโจมตี แต่เป็นต้นไม้ต้นนั้นละก็…เขาคงจะตายไปแล้ว เพราะอีกฝ่ายย่อมต้องแข็งแกร่งเกินกว่าจะจินตนาการได้

มิฉะนั้น จิตสัมผัสเทวะของเขาก็คงไม่ถูกบดบังจนไม่อาจตรวจพบได้ถึงสิ่งใดแบบนี้หรอก

บ้าจริง…

ที่แท้เรื่องราวมันเป็นอย่างไรกันแน่นะ?

ย้อนนึกไปถึงแมงป่องน้อยสีดำที่เขาเห็นหลังจากได้สติกลับมาจากพักฟื้น กู่ฉิงซานเองก็เหมือนจะเริ่มเข้าใจขึ้นเล็กน้อย

เขาครุ่นคิด สักพักก็จดจำบางสิ่งขึ้นได้

กู่ฉิงซานตบลงในถุงสัมภาระ และกวาดจิตสัมผัสเทวะเข้าไปสำรวจมัน

และพบว่ากิ่งไม้ที่ได้รับจากต้นไม้ใหญ่ยังคงถูกเก็บเอาไว้เป็นอย่างดี

ตลอดทั้งกิ่งก้านเป็นสีดำขลับ

ช่วงเวลานี้เอง กู่ฉิงซานเริ่มเพิ่มความระมัดระวังขึ้นเล็กน้อย และเตรียมที่จะใช้ออกด้วยวิชาลับเข้าใส่กิ่งไม้ที่อยู่ในถุงสัมภาระ

แต่ตอนนี้

กลับบังเกิดเสียงร้องเตือนขึ้นในจิตใจ ส่งผลให้เขาหยุดความคิดนี้ไป ไม่กล้าที่จะแตะมันอย่างกะทันหัน

กู่ฉิงซานขยับมือของจากถุงสัมภาระ ถอนหายใจอย่างเงียบๆ

เขาตัดสินใจอย่างรวดเร็ว

แม้เขาจะไม่รู้ว่าทำไมอีกฝ่ายถึงได้ปล่อยเขาไป แต่คราวนี้นับว่าตนโชคดีมากจริงๆ ที่สามารถรอดชีวิตมาได้

เขาคงต้องระมัดระวังให้มากกว่านี้ในอนาคต จะต้องไม่ประมาทอีกต่อไป

สำหรับกิ่งไม้นี้ สุดท้ายเดี๋ยวมันก็จะเป็นตัวเฉลยถึงความจริงทั้งหมดเอง

เพราะตามความทรงจำของวังเฉิง ในตลาดมืดน่ะมีองค์กรพิเศษบางแห่งที่รับหน้าที่เป็นผู้รับผิดชอบในการประเมินราคาสมบัติที่หายากอยู่

เมื่อถึงเวลานั้น เขาก็จะนำกิ่งไม้ออกไปให้ทำการตรวจสอบ แล้วสุดท้ายคำตอบทุกอย่างก็จะถูกเฉลยออกมาเอง

เอาล่ะ มันถึงเวลาออกเดินทางแล้ว

กู่ฉิงซานเก็บฟูก หยิบเม็ดยาวิญญาณออกมา โยนเข้าปาก

เขาเคลื่อนกายวูบไหวอีกครั้ง ทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า

ยิ่งนาน พายุทะเลทรายก็เริ่มลดน้อยลง

ในที่สุด กู่ฉิงซานก็สามารถบินมาถึงเขตเบื้องบนที่ไร้ซึ่งพายุทราย

ตามสามัญสำนึก ลมในที่สูง สมควรจะรุนแรงยิ่งกว่า แต่โลกใบนี้ช่างแปลกนัก ยิ่งสูง ลมกลับยิ่งน้อย

กู่ฉิงซานมองไกลออกไป

เห็นแค่เพียงโลกทั้งใบถูกปกคลุมไปด้วยทรายและฝุ่นควัน ลากยาวไปสุดเส้นขอบข้า

ที่นี่ นอกจากลมและทรายแล้ว มันก็ไม่มีอย่างอื่นอีกเลย

ถึงบางครั้ง จะปรากฏสถานที่ที่สามารถหลบเลี่ยงพายุทรายได้ก็ตามที แต่มันก็ใช้หลบเลี่ยงได้ไม่นาน เพราะสุดท้ายก็จะถูกพายุทรายกลบฝังลงไปอยู่ดี

นั่นหมายความว่า มีบางสิ่งบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่ในทราย จึงก่อให้เกิดผลดังกล่าวนี้ขึ้น

กู่ฉิงซานมองไปยังทิศทางที่กำหนด เขาเปลี่ยนเป็นกระแสแสง ตัดผ่านท้องฟ้าไป

ห้าวันต่อมา

ในที่สุดกู่ฉิงซานก็สามารถมาถึงที่หมายของเขา

เขามาปรากฏตัวขึ้นนอกเมืองเล็กๆแห่งหนึ่ง

ปัจจุบัน เมืองเล็กๆ แห่งนี้คือทางเข้าสู่ตลาดมืด ซึ่งเจ้าหน้าที่ในด่าน มีหน้าที่ตรวจสอบและจัดการสิ่งของที่มีคุณสมบัติสามารถเข้ามาภายในเมือง และตรงไปสู่ตลาดมืดได้

ขณะที่องค์กรที่ทรงประสิทธิภาพมากที่สุด ในโลกเก้าร้อยล้านชั้น หรือตัวตนที่มีชื่อเสียงย่อมสามารถเข้าสู่ตลาดมืดได้เลยโดยตรง

แต่หากเป็นคนธรรมดาๆ หากต้องการจะเข้าไป เขาก็ต้องได้รับการตรวจสอบเล็กๆ น้อยๆ หน้าเมืองเสียก่อน

กู่ฉิงซานลังเลเพียงเสี้ยวนาที และตัดสินใจที่จะไม่เปิดเผยตัวตนของเขาในฐานะสมาชิกของสมาคมกำปั้นเหล็ก

เพราะอย่างไรซะ แบรี่กับเสี่ยวเหมียวก็ยังอยู่ในโลกของเขา และเนื่องจากเกิดการเปลี่ยนแปลงของกฎเกณฑ์ขึ้น ส่งผลให้พวกเขาออกมาไม่ได้สักพัก

ส่วนตัวตนทรงอำนาจระดับจ้าววงการคนอื่นๆที่ตนรู้จัก พวกเขาได้รับบาดเจ็บสาหัสจากสงคราม และยังถูกคุ้มครองรักษาเอาไว้โดยผลึกน้ำแข็ง กระจัดกระจายไปในดินแดนชิงอำนาจแต่ละแห่ง

สรุปง่ายๆ ว่าไม่มีใครสามารถช่วยเหลือกู่ฉิงซานได้ หากเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น

ดังนั้น มันจึงไม่เป็นการฉลาดเลยหากกู่ฉิงซานเลือกที่จะเปิดเผยตัวตนในเวลานี้

เขาถอนหายใจ ก้าวฉับๆ ตรงมาที่ทางเข้า

ตรงจุดนี้ มีผู้คนจำนวนมากยืนรอต่อแถวเพื่อเข้าเมืองอยู่

พวกเขากระจายตัวเป็นกลุ่มอย่างเป็นระเบียบ

ผู้คนอ่อนโยน สุภาพ ทักทายกันและกัน

นี่ไม่ใช่เพราะว่าทุกคนกำลังอารมณ์ดีอยู่หรอกนะ

แต่เป็นเพราะบนท้องถนนสองฟากฝั่ง มันเต็มไปด้วยหัวสิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วน ที่ถูกวางซ้อนๆเรียงกันหนาแน่น ก่อกำเนิดเป็นกำแพงที่ทั้งสูงใหญ่และหนา อยู่ต่างหาก

กำแพงที่ถูกสร้างขึ้นโดยหัวสิ่งมีชีวิต ลากยาวมาตั้งแต่ทะเลทรายที่อยู่ไกลออกไป มาจนถึงสองข้างของประตูเมืองทางเข้านี้

หัวนับพันคนเหล่านี้ ล้วนมาจากผู้คนที่ไม่คิดปฏิบัติตามกฎของตลาดมืด

ภายใต้สภาพแวดล้อม และการจับจ้องของหัวมนุษย์นับไม่ถ้วน ผู้คนที่คิดหมายจะเข้าเมืองจึงต้องเรียนรู้กฎของที่นี่โดยเร็วที่สุด

หากคุณต้องการจะเข้าสู่ตลาดมืด คุณจะต้องยอมรับกฎสองข้อดังต่อไปนี้…

ไม่อนุญาตให้ลัดคิว

ไม่อนุญาตให้ส่งเสียงดัง

นอกเหนือไปจากนั้น อีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ฝูงชนยังคงเงียบ นั่นก็เพราะ มีอยู่หลายคนเลยที่กำลังต่อคิว ขณะเดียวกันก็ก้มหน้าอ่านหนังสืออยู่

ทุกคนต่างก้มหัวลง อ่านเนื้อหาในหนังสืออย่างสงบและตั้งใจ

กู่ฉิงซานบังเกิดข้อสงสัย เขาสังเกตอย่างรอบคอบ และพบว่าหนังสือบางเล่มกำลังกะพริบไหวเป็นครั้งคราว

ดูเหมือนว่าพวกหนังสือ มันกำลังคอยไล่สอบถามบรรดาผู้กำลังต่อคิวเข้าแถว ว่าต้องการที่จะล่วงรู้เรื่องราวเกี่ยวกับตลาดมืดแห่งนี้หรือไม่ ในระหว่างที่กำลังเฝ้ารอ

นั่นก็เพราะมันว่าง

และอีกอย่างเจ้าของตลาดมืดเองก็ยังรู้สึกว่า หากให้ผู้คนได้เรียนรู้เกี่ยวกับตลาดมืดซะก่อน มันก็คงจะเป็นเรื่องที่ดี

กู่ฉิงซานมองดูหนังสือเหล่านั้น อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ

ช่างเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย วังเฉิงไม่รู้หนังสือ ทำให้ตลอดทุกครั้งที่เข้ามายังตลาดมืด วังเฉิงจึงไม่เคยจะอ่านมันเลย

มิฉะนั้นกู่ฉิงซานที่ได้ความทรงจำของวังเฉิงมา ก็คงจะเข้าใจเกี่ยวกับตลาดมืดได้มากกว่านี้

ในตอนนั้นเอง หนังสือปกเขียวเล่มหนึ่งก็บินมาอยู่เหนือหัวเขา เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “คุณท่าน ต้องการรับบริการหรือไม่?”

“โอ้ ก็เอาสิ แต่ฉันสงสัยจังว่าคุณสามารถทำอะไรได้บ้าง” กู่ฉิงซานเอ่ยถามอย่างสุภาพ

“กระผมคือหนังสือที่ได้บันทึกเรื่องราวของโลกใบนี้ทั้งก่อนและหลังการล่มสลายในครั้งที่ห้า หากท่านสนใจ สามารถเริ่มเปิดอ่านกระผมได้เลยในทันที”

“ฉันสนใจ ขอบคุณมาก”

“ด้วยความยินดี มาเริ่มกันเลย”

หนังสือค่อยๆ ตกลงมาอยู่ในมือของกู่ฉิงซานอย่างช้าๆ หน้าแรกของมันเปิดออกเองโดยอัตโนมัติ

ด้วยเหตุนี้เอง ระหว่างที่กำลังต่อแถว กู่ฉิงซานจึงได้มีโอกาสได้ล่วงรู้ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นของการล่มสลายทั้งห้าครั้งของโลกใบนี้

………………………………….