บทที่ 90 ใช้อำนาจกดขี่

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

บทที่ 90 ใช้อำนาจกดขี่
เฟิ่งชิงเฉินครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ แต่นางก็คิดไม่ออกว่าจะทำอย่างไรในการหาหลักฐานให้ตนเองพ้นผิด
แม้ว่าวิธีการของอีกฝ่ายจะค่อนข้างหยาบ อีกทั้งหลักฐานพยานก็ไม่ละเอียดอ่อน แต่ก็ทำให้นางไม่อาจจะกล่าววาจาใดออกมาได้ เนื่องจาก ผู้เสียหายคือองค์หญิง
เรื่องเกี่ยวกับราชวงศ์ล้วนไม่เป็นเรื่องเล็ก และเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยขององค์หญิง ต่อให้ต้องฆ่าแพะรับบาปนับพันคนก็คงจะไม่ปล่อยวางผู้ใดไป
หลังจากคิดอยู่เนิ่นนานในที่สุดเฟิ่งชิงเฉินก็ทำได้เพียงกล่าวออกมาตามความจริงว่า “เสด็จอาเก้า ใต้เท้า องค์หญิงและชิงเฉินเปรียบเสมือนฟ้ากับดิน ชิงเฉินจะไม่รู้ได้อย่างไร กล้าหรือที่จะไปต่อสู้กับท้องฟ้าและลอบสังหารองค์หญิง ชิงเฉินกับองค์หญิงไม่มีความอาฆาตแค้นใดต่อกัน ชิงเฉินไม่มีเหตุผลใดที่จะฆ่าองค์หญิง”
“อีกอย่าง จวนเฟิ่งยากจนเพียงไรทุกคนล้วนรู้ดี จะเอาทองมากมายถึงหนึ่งพันตำลึงมาจากที่ใด”
“หากว่าการลอบสังหารครั้งนี้ชิงเฉินเป็นคนบงการ แล้วเหตุใดคันธนูนั้นท้ายที่สุดแล้วจึงยิงมาที่ข้า ทุกคนที่อยู่ในสถานการณ์นั้นล้วนเห็น ซุนซิ่วต้องการจะช่วยข้า จนกระทั่งปัจจุบันเป็นตายร้ายดีอย่างไรก็ไม่รู้”
“ท้ายที่สุด สถานที่แห่งนั้นคือเรือนแยกของพระราชวัง ไม่ใช่ปากประตูจวนเฟิ่งเสียหน่อย หากชิงเฉินมีอำนาจพอที่จะจัดให้คนเข้าไปในเรือนแยกแห่งนั้นละก็คงไม่ต้องดำเนินมาถึงวันนี้”
สายตาของนางมองไปทางองค์หญิงอันผิง ดูเหมือนต้องการจะเปิดโปง
ไม่ว่าเพราะเหตุใดที่เสด็จอาเก้าเข้ามาช่วยเหลือนางเอาไว้ในครั้งนี้ แต่เสด็จอาเก้าได้เดินทางมาแล้วจริงๆ นางไม่อยากจะพลาดโอกาสนี้อีก เสด็จอาเก้าเป็นเพียงคนเดียวที่สามารถพานางออกไปจากที่นี่ได้
หากประสบความสำเร็จนางจะสามารถเดินทางออกจากองครักษ์เสื้อโลหิตแห่งนี้ได้
แต่หากพ่ายแพ้ นางก็จะต้องอยู่ในที่แห่งนี้ตลอดไป และกลายเป็นเสี่ยวจื้อคนต่อไปที่ต้องตกนรกทั้งเป็น
เมื่อได้ยินเฟิ่งชิงเฉินเอ่ยแก้ตัวเช่นนั้น ลู่เส้าหลินก็พยักหน้าพูดว่า “ที่แม่นางเฟิ่งกล่าวมาก็มีเหตุมีผล”
ขณะที่ลู่เส้าหลินกล่าวอยู่นั้นก็ได้เหลือบตาไปมองดูตงหลิงจิ่ว พบว่าดวงตาของตงหลิงจิ่วคู่นั้นยังคงเย็นเยือกไม่มีความรู้สึกใด ลู่เส้าหลินไม่แน่ใจว่าตงหลิงจิ่วคิดอย่างไรอยู่ หลังจากที่เช็ดเหงื่อจนสิ้นแล้ว จึงได้ตะโกนไปทางเฉียนจิ้นว่า”เจ้าใจกล้ายิ่งนักเฉียนจิ้น กล้าดีอย่างไรใส่ร้ายเฟิ่งซิ่ว เจ้ายังไม่รีบยอมรับสารภาพมาอีกว่าผู้ใดกันแน่ที่เป็นผู้บงการ”
“ใต้เท้าขอรับ ข้าน้อยถูกบงการโดยเฟิ่งซิ่วจริงๆ ข้าน้อยมีพยาน ในตอนนั้นเฟิ่งซิ่วได้ให้มีดเล็กๆ รูปร่างประหลาดแก่ข้าน้อยมาเล่มหนึ่ง มีดเล่มนั้นเป็นพยานได้ถึงตัวตนของเฟิ่งซิ่ว” เฉียนจิ้นใช้ศีรษะโขกพื้นแล้วกล่าวถึงอีกเรื่องหนึ่งออกมา
มีด?
แย่แล้ว คงจะเป็นมีดผ่าตัดที่นางทำหายในครั้งก่อน
มิน่าเล่าถึงได้กล่าวว่าทั้งพยานหลักฐานพร้อมครบ ครบเสียจริงด้วย
เฟิ่งชิงเฉินหน้าถอดสี แววตาของนางเผยถึงความเศร้าโศกออกมา
แต่ในดวงตาขององค์หญิงอันผิงกลับเต็มไปด้วยความชื่นใจ
มองดูแล้ว มีเล่มเล็กนั้นเป็นของเฟิ่งชิงเฉินจริงๆ ตอนที่คนผู้นั้นนำมีดมาให้นางเดิมทีนางยังสงสัยอยู่บ้าง คาดไม่ถึงว่า……
เจ้าหน้าที่ยื่นมีดเล็กเล่มนั้นที่เฉียนจิ้นกล่าวออกมา
“เฟิ่งซิ่ว เจ้าดูสิว่าของสิ่งนี้เป็นของเจ้าหรือไม่” ลู่เส้าหลินกล่าวพลางขยิบตาให้นาง
เฟิ่งชิงเฉินฟังออกว่าจากน้ำเสียงของเขาว่าต้องการให้นางปฏิเสธ
ปฏิเสธหรือ ปฏิเสธได้อย่างไร มีดผ่าตัดเช่นนี้ทั้งเก้ารัฐอันยิ่งใหญ่ นอกจากนางแล้วไม่มีผู้ใดอีกที่มีมัน นางไม่อาจปฏิเสธได้เลย เพราะหากตรวจสอบขึ้นมาอย่างจริงจัง ท้ายที่สุดแล้วถ้าพบว่าเป็นของนางก็ยากที่จะหนีความผิด
ในขณะที่เฟิ่งชิงเฉินกำลังจะยอมรับนั้น ตงหลิงจิ่วก็ได้เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นว่า ใช่จงบอกว่าใช่ ถ้าไม่ใช่จงบอกว่าไม่ใช่ ผู้ใดที่โกหกข้ามักไม่มีจุดจบที่ดีนัก”
อย่าว่าแต่เดิมทีเฟิ่งชิงเฉินก็ไม่มีความตั้งใจจะปฏิเสธ บัดนี้ต่อให้นางมีความคิดนั้นก็คงจำเป็นจะต้องละทิ้งความคิดลง
เฟิ่งชิงเฉินพยักหน้ากล่าวว่า “ทูลเสด็จอาเก้าและใต้เท้า มีดเล่มนี้เป็นของเฟิ่งชิงเฉินจริงๆ แต่ไม่ใช่เพราะเฟิ่งชิงเฉินนำไปให้เฉียนจิ้น เหตุใดข้าจึงต้องนำมีดเช่นนี้ไปให้ผู้อื่นเล่า มีดเล็กเช่นนี้ไม่สามารถฆ่าใครได้ อีกอย่างหนึ่งหากว่าข้าต้องการจะฆ่าผู้ใด เหตุใดจึงบอกชื่อจริงออกไป อีกทั้งทิ้งหลักฐานมัดตัวเองเอาไว้ การทำเช่นนี้ไม่ได้เท่ากับว่าต้องการให้คนอื่นมาจับเอาหรือ”
“บางทีอาจเพราะเจ้ามันเจ้าเล่ห์ ต้องการที่จะทำให้คนอื่นสับสนและใช้โอกาสนี้สลัดความผิดให้พ้นตัว เฟิ่งชิงเฉิน เจ้าเฉลียวฉลาดเสมอ” องค์หญิงอันผิงพบว่าตงหลิงจิ่วไม่ได้กล่าวสิ่งใดเพื่อเข้าข้างเฟิ่งชิงเฉิน นางจึงพูดแทรกขึ้นมาประโยคหนึ่งต้องการดูปฏิกิริยาของตงหลิงจิ่ว
เมื่อกล่าวจบหน้าก็มองไปทางข้างหน้าแล้วคารวะตงหลิงจิ่วกล่าวว่า “เสด็จอาเพคะ อันผิงขออภัยที่ไร้มารยาท”
“อืม!” ตงหลิงจิ่วตอบรับเพียงเบาๆ และไม่ได้ตำหนินาง
องค์หญิงอันผิงใบหน้ายิ้มแย้มคารวะและถอยหลังจากมา
ลู่เส้าหลินปวดหัวเหลือเกิน องค์หญิงอันผิงกำลังข่มขู่เขา
ช่างลำบากใจยิ่งนัก ไม่รู้จะทำอย่างไรและไม่อาจละทิ้งหน้าที่นี้ได้
ลู่เส้าหลินจึงทำได้เพียงเดินหน้าเอ่ยถามเฉียนจิ้นต่อไปว่าได้พบหน้ากับเฟิ่งชิงเฉินเมื่อไหร่ ที่ใด และสนทนากันเรื่องใดบ้าง อีกทั้งเข้าไปในเรือนแยกของพระราชวังได้อย่างไร
เฉียนจิ้นตอบได้ทุกคำถามอย่างไม่มีขาดตกบกพร่อง เฟิ่งชิงเฉินเข้าใจดีว่าอีกฝ่ายหนึ่งต้องการจะใส่ร้ายตน แต่เฉียนจิ้นกลับกล่าวได้อย่างมีเหตุมีผลนอกจากที่นางจะเอ่ยคัดค้านด้วยวาจาแล้ว นางก็ไม่มีหลักฐานอื่นใดอีกเลย
หลังจากการสืบสวนสอบสวน หลักฐานทุกอย่างล้วนส่งผลเสียต่อรูปคดีของเฟิ่งชิงเฉิน เซียนจิ้นกัดเฟิ่งชิงเฉินเอาไว้ไม่ปล่อย ส่วนตงหลิงจิ่วก็ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดออกมาตั้งแต่ต้นจนจบ ดูเหมือนเขาจะไม่เข้ามาขัดขวางการสืบคดีของใต้เท้าลู่จริงๆ
หลังจากเวลาผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมง สิ่งใดที่ควรถามก็ถามจนหมดสิ้น ลู่เส้าหลินจึงได้นามคำให้การของทั้งสองฝ่ายยื่นไปตรงหน้าตงหลิงจิ่ว
ลู่เส้าหลินจึงทำได้เพียงเดินหน้าเอ่ยถามเฉียนจิ้นต่อไปว่าได้พบหน้ากับเฟิ่งชิงเฉินเมื่อไหร่ ที่ใด และสนทนากันเรื่องใดบ้าง อีกทั้งเข้าไปในเรือนแยกของพระราชวังได้อย่างไร
“เชิญเสด็จอาเก้าอ่านดูพ่ะย่ะค่ะ”
เฉียนจิ้นให้คำยืนกรานว่าเฟิ่งชิงเฉินคือผู้ที่จ้างวานให้เขาลอบสังหารองค์หญิง อีกทั้งมีหลักฐานเป็นมีดผ่าตัดกับทองจำนวนหนึ่งพันตำลึง
เฟิ่งชิงเฉินไม่ยอมรับ แต่ก็ไม่สามารถหาหลักฐานใดมายืนยันตนเองได้
คดีนี้ไม่อาจตัดสินได้อย่างยุติธรรม
ตงหลิงจิ่วไม่ได้อ่านคำให้การตรงหน้า เขาเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย “ใต้เท้าลู่ องครักษ์เสื้อโลหิตสืบสวนสอบสวนเช่นนี้หรือ?”
ท่ามกลางประโยคเมื่อครู่เผยถึงความไม่พอใจขึ้น
“พ่ะ พ่ะย่ะค่ะ”
แน่นอนว่าไม่ใช่ การสืบคดีขององครักษ์เสื้อโลหิตหากว่าอ่อนโยนเช่นนี้ก็คงไม่เรียกว่าองครักษ์เสื้อโลหิตเป็นแน่ เพียงแต่ลู่เส้าหลินไม่รู้แน่ชัดถึงความต้องการของตงหลิงจิ่วจึงไม่กล้ากล่าวสิ่งใดออกมา
“ข้าไม่รู้เลยเสียจริงว่าวิธีการในการสืบคดีขององครักษ์เสื้อโลหิตจะอ่อนโยนถึงเพียงนี้ ตามปกติแล้วหากองครักษ์เสื้อโลหิตสืบสวนคดีเช่นนี้ แล้วเครื่องลงโทษเหล่านั้นจะตั้งไว้ให้ผู้คนตกใจเล่นหรือ?” ตงหลิงจิ่วชี้ไปยังบนแท่นลงโทษอุปกรณ์ทั้งห้าบุปผาแปดสำนัก ยังคงมีกลิ่นคาวเลือดและดูเยือกเย็น
“ตุ้บ……” ลู่เส้าหลินสูดลมหายใจเข้า คุกเข่าลงไปเพราะขาอ่อน “เสด็จอาเก้า โปรดอภัยด้วย กระหม่อมผิดไปแล้ว”
“ใต้เท้าลู่ ตามปกติแล้วท่านพิจารณาคดีอย่างไร ในวันนี้ก็ควรทำตามนั้น อย่าได้เป็นเพราะข้าอยู่ที่แห่งนี้ด้วยจึงได้ผิดต่อกฎขององครักษ์เสื้อโลหิต หากว่าฝ่าบาทรู้เข้าคงจะโทษข้า” เสด็จอาเก้ากล่าวออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ
ประโยคที่ดูเป็นธรรมชาติเช่นนี้กลับทำให้ลู่เส้าหลินเหงื่อท่วมกาย
เสด็จอาเก้ากำลังตักเตือนเขาว่าองครักษ์เสื้อโลหิตทำงานให้แก่ฮ่องเต้ ไม่ใช่ฮองเฮา
ฟู่…… ที่จริงแล้วลู่เส้าหลินก็เข้าใจเหตุผลนี้ดี แต่อีกฝ่ายหนึ่งคือภรรยาหลวงของเจ้านาย เป็นแม่ของแผ่นดิน อีกอย่างคดีนี้ทั้งหลักฐานและพยานดูไม่ส่งผลดีต่อเฟิ่งชิงเฉินนัก จะให้เขาพลิกคดีได้อย่างไรเล่า
ในใจของลู่เส้าหลินยากแค้นเหลือเกิน ในการที่เสด็จอาเก้าปรากฏตัวขึ้นเช่นนี้ ลู่เส้าหลินได้แต่ทำสีหน้าขมขื่นแล้วทูลว่า “กระหม่อมเข้าใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะทำการสืบสวนสอบสวนคดีใหม่ เพียงแต่ว่า…… การสืบคดีขององครักษ์เสื้อโลหิตนั้นเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือด เกรงว่าจะทำให้เสด็จอาเก้าและองค์หญิงอันผิงต้องตกใจ”
เขากำลังป้องกันตนเองอยู่ แน่นอนว่าลู่เส้าหลินต้องการจะให้ทั้งสองคนเดินทางจากไป เช่นนั้นเขาก็จะได้ทำการได้สะดวกขึ้น
“ไม่เป็นไร ในวันนี้ข้าอยากจะเห็นเหลือเกินว่าวิธีอันนองเลือดขององครักษ์เสื้อโลหิตเป็นเช่นไร อย่าให้ข้าต้องผิดหวังเล่า”
องค์หญิงอันผิงครุ่นคิดแล้วหัวเราะว่า “หากมีเสด็จอาเก้าอยู่ที่นี่ อันผิงก็ไม่กลัว”
เมื่อกล่าวจบนางก็เดินไปข้างหน้าเพื่อกระชับระยะห่างระหว่างตนและตงหลิงจิ่ว นางใช้โอกาสนี้ในการบอกกับลู่เส้าหลินว่านางคือหลานสาวของเสด็จอาเก้า ต่อให้เสด็จอาเก้าจะช่วยผู้ใด ก็ควรที่จะช่วยหลานสาวเช่นนาง
“พ่ะย่ะค่ะ” ลู่เส้าหลินลุกขึ้นยืนด้วยท่าทางสั่นเทา ในใจขมขื่นยิ่งนัก ขมขื่นรองจากเรื่องที่เขาทำไม่ได้
เมื่อมองดูเฟิ่งชิงเฉินและเฉียนจิ้นที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้าเสด็จอาเก้า ลู่เส้าหลินก็ทำสีหน้าบิดเบี้ยว เขาไม่รู้ว่าควรจะจับใครมาลงโทษดี?