บทที่ 91 ความสามารถ

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

บทที่ 091 ความสามารถ
ทรมานใครนะ?
คำถามนี้ลู่เส้าหลินก็ไม่รู้เช่นกัน เขาจึงเลิกคิดเสียเลยและทิ้งปัญหานี้ไว้ให้ลูกน้อง
เป็นหัวหน้ามีประโยชน์อะไร? ทั้งต้องรับความผิดและทำงานหนัก
“ทรมานผู้กระทำผิด” ลู่เส้าหลินสั่งการเจ้าหน้าที่อย่างน่าเกรงขาม ความน่าเกรงขามนั้นมากยิ่งกว่าเสด็จอาเก้าเสียอีก
เจ้าหน้าที่ก้าวเข้าไปมองซ้ายมองขวา หวังว่าลู่เส้าหลินจะบอกว่าจะให้ทรมานผู้ใด
ไฉนเลยจะรู้ว่าลู่เส้าหลินเอาแต่เดินไปเดินมาพร้อมมองฟ้า
ลู่เส้าหลินพึ่งพาไม่ได้เสียแล้ว เจ้าหน้าที่ทั้งสองหวังว่าสีหน้าของเสด็จอาเก้าและองค์หญิงอันผิงจะบ่งบอกอะไรได้บ้าง แต่พวกเขาก็ไม่กล้ามองหน้าเชื้อพระวงศ์โดยตรง จึงได้แต่…
พวกเขากัดฟันไปนำตัวเฟิ่งชิงเฉินมา เพราะในห้องนี้มีนักโทษอยู่เพียงผู้เดียวเท่านั้น
เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้ขัดขืนและไม่ได้มองตงหลิงจิ่วด้วย นางรู้ว่าเรื่องที่เหลือไม่ใช่เรื่องที่นางจะยื่นมือเข้าไปยุ่งได้
ตงหลิงจิ่วยกถ้วยชาขึ้นจิบน้อยๆ ในยาที่เจ้าหน้าที่กำลังจะมัดมือมัดเท้าของเฟิ่งชิงเฉิน ตงหลิงจิ่วก็พูดขึ้นอย่างเนิบนาบ “ใต้เท้าลู่ ข้าสงสัยนักว่าเจ้าเป็นถึงผู้บัญชาการใหญ่แห่งหน่วยองครักษ์เสื้อโลหิตได้อย่างไร”
“วิ้ง…”
ลู่เส้าหลินรู้สึกหนังศีรษะขมวดเกร็งราวกับนักโทษที่ถูกตัดสินประหารชีวิต เขาเนื้อตัวสั่นเทา “เสด็จ เสด็จอาเก้าโปรดใจเย็นลงก่อนพ่ะย่ะค่ะ”
น่าเสียดายที่ตงหลิงจิ่วไม่สนใจเขาเลย เขาดื่มชาอย่างสบายๆ ด้วยท่าทางเหมือนไม่ได้พูดอะไรออกมา เพียงแค่มาดื่มชาตามสบายเท่านั้น
หน้าผากของลู่เส้าหลินเต็มไปด้วยหยดเหงื่อ แต่เขาก็ไม่กล้าเช็ดออก เขาหันกลับมาดุเจ้าหน้าที่ “พวกเจ้าทำงานกันอย่างไร ข้าบอกให้นำนักโทษมาลงทัณฑ์ทรมาน เหตุใดจึงได้นำตัวแม่นางเฟิ่งมาได้ ยังไม่รีบไปพาตัวนักโทษเข้ามาอีก”
เมื่อเจ้าหน้าที่ทั้งสองได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าของพวกเขาก็สิ้นหวังซีดเผือดคิดจะร้องขอความเมตตา แต่กลับถูกดวงตาโหดเหี้ยมของลู่เส้าหลินทำให้นิ่งงันไป
เห็นได้ชัดว่าเจ้าหน้าที่สองคนนี้เป็นผู้ที่ลู่เส้าหลินนำมาใช้เป็นเกราะกำบัง
“ขอรับๆๆ ข้าน้อยโง่เขลายิ่งนัก โปรดยกโทษให้ข้าน้อยด้วย” ทั้งสองกล่าวขอโทษอย่างรวดเร็ว ภายใต้สายตาที่หมดความอดทนของลู่เส้าหลิน พวกเขาปล่อยเฟิ่งชิงเฉินลงอย่างระมัดระวังพร้อมทั้งกล่าวขอโทษครั้งแล้วครั้งเล่า
เฟิ่งชิงเฉินส่ายหัวเล็กน้อยและไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา
นับตั้งแต่เวลาที่เสด็จอาเก้าปรากฏตัวขึ้น นางก็รู้ว่าวันนี้นางจะปลอดภัย เมื่อได้ยินการปกป้องโดยตรงของเขา ในใจก็ราวกับมีกระแสน้ำอุ่นไหลอยู่ในหัวใจของนาง
นางลอบมองตงหลิงจิ่ว แต่กลับพบว่าเขาไม่ได้มองนางเลย ในใจนางรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แต่ก็ทำได้เพียงก้มศีรษะเพื่อซ่อนความขมขื่นในดวงตาไว้เท่านั้น
ต่อหน้าตงหลิงจิ่ว นางมีความรู้สึกต่ำต้อยอยู่ลึกๆ
เขาช่างสมบูรณ์ยิ่งนัก สมบูรณ์แบบจนนางไม่อาจเอื้อมถึง
เรื่องราวต่างๆ ดำเนินไปอย่างแตกต่างจากสิ่งที่องค์หญิงอันผิงจินตนาการไว้โดยสิ้นเชิง องค์หญิงอันผิงโกรธมากจนทำเล็บของตนเองหัก แต่นางกลับไม่กล้าแสดงอะไรออกมาบนใบหน้าของนาง
เมื่อเห็นเฟิ่งชิงเฉินยืนอยู่ที่นั่นโดยไม่คุกเข่า องค์หญิงอันผิงโกรธมากแต่ไม่มีที่ระบายจึงได้พูดกับเฟิ่งชิงเฉินว่า “เฟิ่งชิงเฉิน ใครบอกให้เจ้ายืน ยังไม่รีบคุกเข่าอีก”
เฟิ่งชิงเฉินกลอกตาโดยไม่โต้เถียง เมื่อนางกำลังจะคุกเข่าลง ตงหลิงจิ่วก็ยกมือขึ้น “ช่างเถอะ ยืนให้ใต้เท้าลู่ไต่สวนก็แล้วกัน”
ในตอนนี้ นักโทษเฉียนจิ้นถูกนำตัวมาแล้ว
เขารู้ชะตากรรมของตัวเองอยู่แล้ว แม้ว่าเขาจะหวาดกลัว แต่เขาก็ไม่กล้าร้องออกมา เพียงแต่ตัวของเขายืนอยู่ในท่าทางประหลาดราวกับว่าเขากำลังหวาดกลัวทัณฑ์ทรมาน
คิดไปแล้วก็ใช่ ใต้หล้านี้ใครบ้างเล่าที่จะไม่หวาดกลัวทัณฑ์ทรมานของหน่วยองครักษ์เสื้อโลหิต
“เสด็จอาเก้า ท่านเห็นว่าใช้เครื่องทรมานชนิดใดเป็นอย่างแรกดีหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
ใครจะรู้ว่าตงหลิงจิ่วจะไม่ไว้หน้าเขาเอาเสียเลย เขาตอบอย่างเย็นชาว่า “นี่ก็ต้องถามข้าด้วยงั้นหรือ? เจ้าเป็นผู้บัญชาการอย่างไรของเจ้ากัน?”
ลู่เส้าหลินมีสีหน้าเจ็บปวดและแอบบ่นในใจว่า “นี่มิใช่ว่าข้ากลัวว่าท่านจะไม่พอใจหรืออย่างไร?”
“มิเช่นนั้น? ใช้แส้โบยก่อนดีหรือไม่?” ลู่เส้าหลินไม่กล้าตัดสินใจและเอ่ยถามอีกครั้ง
“อืม” ตงหลิงจิ่วตอบ
องค์หญิงอันผิงยืนอยู่ด้านหลัง ใบหน้าของนางบิดเบี้ยวด้วยความโกรธ
นางคิดไม่ถึงว่าเสด็จอาเก้าจะปกป้องเฟิ่งชิงเฉินอย่างออกนอกหน้าเช่นนี้
นี่มันช่าง…
น่าโมโหเสียจริง
แต่นางไม่สามารถทำอะไรได้เลย ศักดิ์และฐานะของเขาล้วนอยู่เหนือนาง นางไม่อาจแข็งขืนกับเขาได้
องค์หญิงอันผิงทำได้เพียงบิดผ้าเช็ดหน้าด้วยความโกรธเกรี้ยวและจ้องไปที่ลู่เส้าหลินอย่างดุดันเพื่อบอกให้เขาทำตัวฉลาดขึ้นหน่อย อย่าได้ลืมเรื่องที่ฮองเฮาสั่งเขาด้วยตนเอง
ลู่เส้าหลินก้มศีรษะลงอย่างเงียบเชียบเพื่อหลีกเลี่ยงสายตาขององค์หญิงอันผิงและหยิบแส้ขึ้นฟาดไปที่เฉียนจิ้น
“เพี๊ยะ เพี๊ยะ…”
แส้ฟาดลงไปแต่ละที ไม่มีการฉีกขาดของผิวหนัง ไม่มีเลือดไหลออกมา แต่เฉียนจิ้นที่เป็นชายร่างใหญ่กลับกรีดร้องออกมาอย่างโหยหวน
“โอ๊ย…”
“โอ๊ย…”
นี่คือความลึกลับของการเฆี่ยนด้วยแส้ หากฟาดจนเลือดตกยางออกจะไม่เจ็บมากนัก แต่หากฟาดให้เป็นรอยแดงต่างหากจึงจะเรียกว่าความเจ็บปวด
การลงแส้ก็มีเคล็ดลับเช่นกัน หากฟาดจนเนื้อในผิวหนังแตกละเอียด ความเจ็บปวดสาหัสนั้นแทบจะทำให้ผู้คนอยากตาย
หลังจากลงแส้สิบครั้งติดต่อกัน ลู่เส้าหลินก็หอบหายใจเล็กน้อย
“ใต้เท้า ข้าสารภาพ ข้าสารภาพแล้ว เป็นเฟิ่งซิ่ว เฟิงซิ่วสั่งให้ข้าลอบสังหารองค์หญิง” เฉียนจิ้นน้ำมูกน้ำตานองหน้า ท่าทางน่าอนาถใจ
“เฆี่ยนต่อไป” ตงหลิงจิ่วสั่ง
“พ่ะย่ะค่ะ” ลู่เส้าหลินสูดหายใจและฟาดต่อไป ในระหว่างนั้นเสียงกรีดร้องโหยหวนไม่มีที่สิ้นสุด เฟิ่งชิงเฉินเบือนหน้าหนีอย่างไม่อาจทนดูได้
“เฟิ่งชิงเฉิน จงดูเสีย”
เฟิ่งชิงเฉินรีบหันหัวกลับมาอย่างรวดเร็ว แต่ก็พบว่าเขาไม่ได้มองนางเลย แต่นางก็ยังคงปฏิบัติตามคำสั่งของเขาและจ้องมองภาพตรงหน้า
ผ่านไปอีกสิบแส้ ลู่เส้าหลินมีเหงื่อออกเต็มศีรษะ เฉียนจิ้นก็ยังคงยืนยันว่าเป็นเฟิ่งชิงเฉิน
ลู่เส้าหลินคร้านจะสนใจเขาและกำลังจะไปเอาเหล็กร้อนมาใช้ทรมานเขา
ข้าสารภาพ ข้าสารภาพแล้ว ใต้เท้า ข้าขอสารภาพ” เฉียนจิ้นไม่มีส่วนใดบนร่างกายที่เขาไม่รู้สึกเจ็บปวด เขาพูดพร้อมทั้งสูดน้ำมูกน้ำตา
“ดี ใครบงการให้เจ้าลอบสังหารองค์หญิง” ลู่เส้าหลินถือเหล็กร้อนแกว่งไปมาอยู่ด้านหน้าของเฉียนจิ้นด้วยท่าทางข่มขู่
หากเฉียนจิ้นยังพูดไม่ดีก็จะต้องเจ็บปวดจากการถูกเหล็กร้อนนาบและขูดเนื้อออก
เฉียนจิ้นตัวสั่นเทาเล็กน้อย ดวงตาของเขาฉายประกายเศร้าหมอง เขาหลับตาลงและตอบว่า “แม่นางเฟิ่ง เป็นแม่นางเฟิ่ง”
“เจ้าเด็กนี่ สุราคารวะไม่ดื่ม พาลดื่มสุราจับกรอกงั้นหรือ ได้… หากไม่ให้เจ้าโดนดีเสียบ้าง เจ้าคงยังไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ”
หากลู่เส้าหลินยังไม่เข้าใจความหมายของตงหลิงจิ่วอีก ตำแหน่งผู้บัญชาการสูงสุดแห่งหน่วยองครักษ์เสื้อโลหิตก็คงปลิวไปจากเขาแน่
แต่ในเวลานี้เอง ตงหลิงจิ่วก็พูดขึ้นมาอีกครั้ง “เอาล่ะ ใต้เท้าลู่ แม้ว่าหน่วยองครักษ์เสื้อโลหิตจะใส่ใจกับการทรมานในการจัดการคดี แต่ก็ไม่ควรจะให้นักโทษสารภาพผิดไปส่งๆ เพราะทนโดนทรมานไม่ไหว หากนักโทษฆ่าตัวตายเสียเล่า? ไป… ตัดลิ้นเสียก่อน เดี๋ยวเขาจะกัดลิ้นฆ่าตัวตาย”
อุ๊บ… ครึ่งประโยคแรกก็ยังดูเป็นมนุษย์อยู่ แต่ทำไมครึ่งหลังถึงได้ประหลาดถึงเพียงนั้น?
ตัดลิ้นงั้นหรือ?
เฟิ่งชิงเฉินกลืนน้ำลายอย่างแรงและลอบมองไปที่ตงหลิงจิ่วอีกครั้ง
นางไม่รู้ว่าควรจะดีใจหรือเสียใจ
ดีใจที่เขาทำเพื่อนางโดยไม่ลดละความพยายาม ส่วนที่เป็นทุกข์นั้น… ความโหดร้ายของยุคนี้ช่างเลวร้ายเสียจริง
ชีวิตมนุษย์ไร้ค่ายิ่งนัก
“พ่ะย่ะค่ะ” ลู่เส้าหลินกลับไม่รู้สึกอะไรเลย การตัดลิ้นเป็นเรื่องปกติมากในหน่วยองครักษ์เสื้อโลหิต
เจ้าหน้าที่สองคนก้าวไปข้างหน้า ง้างปากของเฉียนจิ้นให้เปิดออกและหยิบกรรไกรเหล็กขึ้นสนิมออกมา
ปีศาจ… เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกคลื่นไส้อยู่ครู่หนึ่ง นางอยากจะหลับตาลง แต่ตงหลิงจิ่วราวกับจะรู้ทัน ก่อนที่นางจะหลับตาลงเขาก็เอ่ยว่า “เฟิ่งชิงเฉิน ลืมตาขึ้นแล้วมองดู”
“เพคะ” เฟิ่งชิงเฉินรับคำ นางระงับอาการคลื่นไส้และลืมตาขึ้นมอง
นางเข้าใจดีว่าไม่ใช่ว่าเขาต้องการทรมานนาง แต่เขาต้องการให้นางเข้าใจกฎของโลกนี้และมองเห็นวิถีทางของผู้มีอำนาจให้ชัด
นี่ดีสำหรับตัวนางเอง