เป็นเพราะคุณแม่จ้าวที่เป็นแม่สามีคนนี้ไม่ใช่คนที่จะเอาเปรียบลูกสะใภ้

ต่อให้ตอนแรกฐานะทางบ้านจะไม่ดีจริง ๆ แต่อาหารการกินภายในบ้านก็ประเคนมาให้เธอ ได้รับประทานไข่ไก่หนึ่งฟองแบบวันต่อวัน ไม่ต้องพูดถึงการดูแลแบบนี้เลย

ต้องทราบก่อนว่าฐานะในตอนนั้นเมื่อยี่สิบปีก่อน การได้รับประทานไข่ไก่หนึ่งฟองแบบวันต่อวันเป็นการดูแลแบบไหนกันล่ะ?

นอกจากไข่แล้วยังได้กินปลาด้วย ถึงตอนนี้หล่อนยังจำช่วงเวลาเหล่านั้นที่น้องสามีคนเล็กมักจะนำของกินกลับมาจากด้านนอกได้อยู่เลย

บางครั้งก็เป็นปลาตัวใหญ่ บางครั้งก็เป็นไก่ป่าอะไรพวกนั้น ไก่ป่ามีจำนวนน้อยมาก แต่หล่อนก็จำได้ว่าตอนที่หล่อนตั้งครรภ์ หล่อนเคยได้ซดน้ำแกงไก่ป่าสองครั้ง

แน่นอนว่านี่เป็นอาหารที่ทั้งครอบครัวรับประทานร่วมกัน แต่หล่อนได้ปริมาณเยอะที่สุด

ซึ่งสะใภ้คนอื่น ๆ ตอนที่ตั้งครรภ์ก็ไม่ได้ถูกปรนนิบัติแบบนี้เลย

แต่เมื่อเทียบกับการดูแลเมื่อน้องสะใภ้หกตั้งครรภ์ในตอนนี้ พูดได้แค่เพียงว่าเทียบของก็ต้องโยนของทิ้ง เทียบคนก็ต้องตายไปข้างหนึ่ง

กลับมาพูดถึงเย่ฉูฉู่ หลังจากเธอเก็บดอกไม้เสร็จ เวลาก็ผ่านไปหนึ่งชั่วโมงแล้ว

เย่ฉูฉู่กลับมาบ้านและใช้น้ำสะอาดทำความสะอาดกลีบดอกไม้ จากนั้นก็นำถ้วยมาใส่ไว้แล้วบดให้ละเอียด เธอทำกระบวนการเหล่านี้อย่างช้า ๆ

ระหว่างนั้นก็ทำกับข้าวด้วย เมื่ออาหารสำหรับหนึ่งคนทำเสร็จแล้ว เธอก็กินและนอน หลังจากลุกขึ้นมาก็ทำงานต่อ โดยคิดว่างานนี้น่าจะทำเสร็จภายใน 4-5 วัน

เมื่อนอนไปตอนเที่ยงแล้วก็ไม่อยากลุกตื่นขึ้นมา เธอจึงนอนขี้เกียจอยู่อย่างนั้น มองเมฆขาวท้องฟ้าสีครามที่อยู่ด้านนอกหน้าต่าง จู่ ๆ ก็นึกถึงบ้านใหม่ขึ้นมา

เป็นเพราะวัสดุก่อสร้างที่วางเกลื่อนกลาดรกรุงรังทั้งยังไม่ได้ทำความสะอาด จ้าวเหวินทาวจึงบอกเธอว่าอย่าเพิ่งไปที่นั่น หากล้มหน้าคะมำคงแย่แน่ เธอจึงทำได้เพียงแค่มองจากไกล ๆ ภายในบ้านไม่รู้ว่าเป็นอย่างไรบ้าง ตอนนี้เธอทำได้แค่นอนมองหน้าต่าง คิดว่าด้านนอกหน้าต่างปลูกต้นไม้ไว้ก็คงดี ถ้าปลูกต้นแอปเปิ้ลก็สามารถมองดูดอกไม้และรับประทานผลของมันได้ด้วย ความหมายที่แฝงอยู่ก็ดี หมายถึงความปลอดภัยหายห่วง

เย่ฉูฉู่ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกได้ว่าไม่เลวเลย ในสมองของเธอมีแค่ต้นแอปเปิ้ลที่อยู่ด้านนอกหน้าต่างของบ้านใหม่ จากนั้นก็เห็นพี่สะใภ้สี่จ้าวยื่นหน้าเข้ามา ทำให้เย่ฉูฉู่ถึงกับตกใจ

“พี่สะใภ้สี่ ทำอะไรคะเนี่ย รู้ไหมว่าทำให้ฉันตกใจ?” เย่ฉูฉู่พูดอย่างไม่สบอารมณ์

พี่สะใภ้สี่จ้าวยิ้มอย่างเขินอาย “น้องสะใภ้หก เธอนอนอยู่เหรอ? ฉันก็แค่มาดูว่าเธออยู่บ้านหรือเปล่า ถ้าไม่อยู่บ้านก็จะได้กลับไป”

“เพิ่งตื่นค่ะ พี่สะใภ้สี่มีธุระอะไรคะ?” เย่ฉูฉู่ลุกขึ้นมานั่ง

พี่สะใภ้สี่ทำท่าทางสนิทสนม กล่าวว่า “ดูเธอพูดเข้าสิ ฉันมาหาเธอก็ดันมาถามว่ามีธุระอะไร ฉันมาหาเธอจะไปมีธุระอะไรล่ะ ก็มาคุยกับเธอนั่นแหละ”

เย่ฉูฉู่คิดในใจ ‘ครั้งที่แล้วยังคุยไม่พออีกเหรอ ครั้งนี้ยังจะมาคุยอีก?’

แต่เรื่องว่างมันก็ว่างอยู่หรอก ไม่ว่าจะคุยอะไรก็ช่วยให้หายเบื่อได้

“พี่สะใภ้สี่เข้ามาสิคะ” เย่ฉูฉู่กล่าวเชิญ

พี่สะใภ้สี่จ้าวกล่าว “ไม่เข้าไปดีกว่า ในบ้านอุดอู้หายใจไม่ออก ฉันนั่งคุยข้างนอกนี่แหละ”

เย่ฉูฉู่เองก็ไม่ได้อิดออด เธอพิงเข้ากับขอบหน้าต่างฟังหล่อนพูด

พี่สะใภ้สี่จ้าวนั่งลงบนตอไม้ จากนั้นก็ใช้มือข้างหนึ่งพยุงเอวของตัวเอง เอนตัวไปด้านหลังเล็กน้อย ท้องของหล่อนแก่กว่าฉูฉู่หนึ่งเดือน ดังนั้นท้องจึงใหญ่กว่านิดหน่อย เวลานั่งจึงนั่งได้ไม่สะดวกนัก

“น้องสะใภ้หก เธอไปดูบ้านใหม่ของพี่รองกับพี่สามหรือยัง?” พี่สะใภ้สี่จ้าวกล่าว

“ยังไม่ได้ไปค่ะ ขนาดบ้านของฉันเองก็ยังไม่เคยได้ไปดูเลย พี่สะใภ้สี่ไปดูมาแล้วเหรอคะ?” เย่ฉูฉู่เอ่ยถาม

บ้านใหม่ของพี่รองจ้าวและพี่สามจ้าวหลังหนึ่งอยู่ตรงทางเข้าตะวันตกของหมู่บ้าน ส่วนอีกหลังอยู่ทางเหนือสุดของหมู่บ้าน อยู่ค่อนข้างไกลทั้งคู่ เย่ฉูฉู่จึงไม่ได้ไป

“ฉันไปมาแล้ว” พี่สะใภ้สี่จ้าวพยักหน้า น้ำเสียงของหล่อนแอบแฝงความมอิจฉาเล็กน้อย “บ้านใหม่ก็ดีอยู่นะ พอเข้าไปก็กว้างขวางและสว่างมากเลย ฉันบอกแบบไม่ปิดบังเธอนะ หลังจากไปแล้ว พอฉันกลับมาที่ห้องเล็ก ๆ นั่นของฉัน ฉันอยู่ไม่ชินเลย ยิ่งอยู่ก็ยิ่งอุดอู้ ฉันยังไม่มีบ้านใหม่ ต่อให้อุดอู้ก็ยังต้องอยู่ แต่เธอไม่เหมือนฉัน บ้านใหม่ก็สร้างแล้ว ทำไมยังไม่ย้ายไปอยู่อีกล่ะ?”

“ยังเก็บกวาดไม่เสร็จค่ะ ผ่านไปอีกสักหน่อยค่อยย้ายเข้าไปก็ยังไม่สาย” เย่ฉูฉู่กล่าว “อีกอย่าง ฉันคิดว่าอยู่ที่นี่ก็ดีมากเหมือนกัน”

เย่ฉูฉู่พูดไปพลางก็มองห้องเล็ก ๆ ของตัวเอง เธอรู้สึกว่าบ้านหลังเล็กนี้ดีมากจริง ๆ

“น้องสะใภ้หกเธอช่างตลกจริง ๆ นะ ถ้าเธอคิดว่าดีมาก ยังต้องออกไปสร้างบ้านอีกเหรอ?” พี่สะใภ้สี่จ้าวกล่าวอย่างไม่เชื่อหู

ถ้าจ้าวเหวินเทาอยู่ต้องพูดเสริมมาอีกหนึ่งประโยคแน่นอน ‘เกี่ยวอะไรกับเธอไม่ทราบ!’

เย่ฉูฉู่และจ้าวเหวินเทานอนอยู่บนเตียงเดียวกัน จะต่างกันสักเท่าไรเชียว แต่เย่ฉูฉู่กล่าวด้วยวาจาค่อนข้างสุภาพ “พี่สะใภ้สี่ มีคนพูดว่าคนเราเดินขึ้นที่สูง ส่วนน้ำไหลลงต่ำ เหวินเทาบอกว่าบ้านเล็กเขาก็เลยอยากสร้างบ้านใหม่ ฉันยังจะขวางเขาได้เหรอคะ?”

พี่สะใภ้สี่จ้าวบุ้ยปาก นี่เริ่มอวดแล้วสินะ

แต่หล่อนก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ อันที่จริงหล่อนเองก็อยากจะอวดเหมือนกัน แต่กลับไม่มีอะไรให้อวด สามีคนนั้นของหล่อนไม่มีอนาคต พวกพี่ชายน้องชายก็สร้างบ้านใหม่กันหมดเหลือแค่เขาคนเดียวที่ยังไม่สร้าง และเขาก็ไม่มีความคิดนี้แม้แต่น้อยด้วย

พอทิ้งตัวลงบนเตียงก็นอนเลย เป็นคนที่น่าเบื่อจริง ๆ ไม่มีความคิดที่จะทำเพื่อลูกชายแม้แต่น้อย

“น้องสะใภ้หกไปอยู่ไหนมา? ตอนนี้เมล็ดพันธุ์ขายไม่ดีแล้วนะ อุปกรณ์การเกษตรก็ไม่ได้มีความต้องการแล้วด้วย ผักใบเขียวเหล่านั้นยิ่งไม่ต้องพูด แต่ฉันเห็นเขาก็ยังขับรถออกไปข้างนอกได้ทั้งวัน เขากำลังค้าขายอะไรอยู่?” พี่สะใภ้สี่จ้าวถาม

“ฉันเองก็ไม่ได้ถามเขาเหมือนกัน ไม่รู้ว่าไปทำอะไร ก่อนที่จะออกจากบ้านเขาก็บอกว่าวันนี้จะไม่กลับบ้านน่ะค่ะ” เย่ฉูฉู่กล่าว

“วันนี้ไม่กลับบ้านอีกแล้ว?” พี่สะใภ้สี่จ้าวเบิกตาโตทันที

“ค่ะ” เย่ฉูฉู่เพิกเฉยต่อสายตาอยากรู้อยากเห็นนั้นของหล่อน ขณะกล่าวด้วยใบหน้าเรียบเฉย

จ้าวเหวินเทาที่ภรรยากำลังเป็นกังวลในตอนนี้กำลังยืนอยู่ในห้างสรรพสินค้าที่ใหญ่ที่สุดภายในเมือง เขากวาดตามองไปรอบ ๆ ด้วยความสนใจคล้ายกับคุณยายหลิวที่มาเดินอุทยานต้ากวน

พนักงานขายสองสามคนที่ยืนอยู่ด้านหลังเคาน์เตอร์เห็นก็แสดงสายตาดูถูกที่มีพวกบ้านนอกโผล่ออกมาอีกคน

อย่าบอกว่าคนในเมืองเคยขอความช่วยเหลือจากคนในหมู่บ้านเพราะเคยกินข้าวไม่อิ่ม แต่ความรู้สึกเหนือกว่าของคนในเมืองกลับยังคงมีอยู่เสมอ ทั้งยังดูถูกคนที่อยู่ชนบท เพราะรู้สึกว่าเป็นคนจน ไม่เคยเห็นโลกกว้างมาก่อน

“ร้านพวกคุณมีบุหรี่ยี่ห้อต้าเฉียนเหมินขายไหมครับ?” จ้าวเหวินเทาเดินมาถามด้านหน้าเคาน์เตอร์

เขาวิ่งขายของบ่อย ๆ จะไม่ให้มีบุหรี่สักสองสามมวนอยู่ในกระเป๋าได้อย่างไรกัน บุหรี่ยี่ห้อต้าเฉียนเหมินเป็นยี่ห้อที่คนแก่ที่ยืนเฝ้าหน้าประตูสถานีส่งเสริมเทคโนโลยีการเกษตรชอบมากที่สุด เขาจึงใช้ประโยชน์จากการเดินทางมาที่ในเมืองเพื่อซื้อกลับไปสักหนึ่งซอง ลุงคนนั้นต้องดีใจแน่นอน

พนักงานคนนั้นไม่มองแม้แต่จ้าวเหวินเทา ทั้งยังเช็ดปากคล้ายกับจิ้งจอกกินไก่ที่ยังเช็ดคราบเลือดไม่สะอาด จากนั้นก็หันไปคุยกับเพื่อนร่วมงานต่อ

จ้าวเหวินเทาจึงพูดอีกรอบ พนักงานคนนั้นก็ยังคงไม่สนใจ จ้าวเหวินเทาจึงเคาะเคาน์เตอร์แรง ๆ

“ทำอะไรเนี่ย!” พนักงานขายของคนนั้นหันกลับมามองอย่างเหลืออด

จ้าวเหวินเทามองใบหน้าเหมือนพอกด้วยแป้งนั้นของหล่อน ทั้งยังพูดด้วยท่าทางดูถูก “เอาต้าเฉียนเหมินมาให้ผมหนึ่งแถว!”

พนักงานขายคนนั้นเชิดคางขึ้น จมูกชี้ขึ้นฟ้าพลางกล่าว “บุหรี่นั่นราคาแพงนะยะ!”

ความหมายชัดเจนเป็นอย่างมาก นายมีปัญญาซื้อเหรอ ไอ้บ้านนอก!

จ้าวเหวินเทามองออกตั้งแต่แรกแล้ว อีกฝ่ายดูถูกเขา เขาจึงไม่ได้พูดอะไร แต่ใช้การกระทำเพื่อโต้ตอบหล่อน

แปะ!

ธนบัตรใบใหม่เอี่ยมหนึ่งใบถูกตบลงบนเคาน์เตอร์!

พนักงานขายถึงกับชะงักไปครู่หนึ่ง จึงกวาดตามองเขาพลางกล่าว “พี่ชายรอสักครู่นะคะ เดี๋ยวฉันจะไปหยิบมาให้” พูดจบหล่อนก็นำต้าเฉียนเหมินมาวางไว้ตรงหน้าจ้าวเหวินเทา ถามอีกครั้งว่า “ยังอยากได้อย่างอื่นอีกไหมคะ?”

ภายในใจของจ้าวเหวินเทาคิดอะไรอยู่ไม่รู้ เขาไม่ได้แสดงออกทางสีหน้า เพราะไม่ได้ติดใจกับความผิดของคนอื่น เขาเข้ามาก็เพื่อหาช่องทาง การทำงานต่างหากล่ะถึงเป็นเรื่องสำคัญ

ดังนั้นเมื่อเห็นท่าทางที่ดีขึ้นนิดหน่อยของพนักงานขายแล้ว เขาจึงมองไปที่ไข่ไก่ ผลไม้และผักนานาชนิดที่กองอยู่ตรงมุมหนึ่ง “พวกเธอขายของพื้นเมืองด้วย?”

พนักงานขายหันไปมองครู่หนึ่ง สายตาที่มองมาที่เขาดูตรวจสอบมากยิ่งขึ้น ก่อนจะพยักหน้ากล่าว “ใช่ มีทั้งซื้อแล้วก็ขาย พี่ชายอยากซื้อหรือขายล่ะคะ?”

จ้าวเหวินเทามองหล่อน “ของพื้นเมืองทางบ้านฉันไม่ได้แย่ไปกว่าของเหล่านี้ของพวกเธอหรอก แถมยังมีเยอะด้วย พวกเธออยากได้หรือเปล่า ถ้าอยากได้ ครั้งหน้าฉันจะขนมาให้พวกเธอหนึ่งคันรถ” ระหว่างที่พูดแบบนี้ เขาก็ถือโอกาสทักทายแขกที่อยู่เคาน์เตอร์ข้าง ๆ ด้วย นอกจากนี้ยังยัดเหรียญให้พนักงานขายคนนี้อีกห้าเหมา

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

ปล่อยให้พวกอิจฉามันอกแตกตายไปเองค่ะ ไม่ต้องไปต่อล้อต่อเถียงอะไรหรอก

เหวินเทานายมันแน่มาก ดูถูกว่าบ้านนอกเหรอ ปาเงินใส่ซะเลย

ไหหม่า(海馬)