โจวซานรู้ว่าวันนี้เป็นวันทดสอบวันสุดท้าย
เขาอยู่รอมาตลอดจนถึงเที่ยง ซึ่งทางฝั่งห้องปฏิบัติการยังไม่ติดต่อมา
เขาจึงรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย
พอตอนนี้เห็นสายจากคณบดีเจียง เขาก็รีบรับสายทันที “ฉินหร่านน่าจะผ่านการทดลองระดับCแล้วใช่ไหม?”
“ผ่านแล้วครับ” คณบดีเจียงที่อยู่ปลายสายพูดด้วยเสียงลอยๆ “ยังมีเรื่องที่ผมต้องแจ้งให้ท่านทราบ”
โจวซานถอนหายใจด้วยความโล่งอก น้ำเสียงผ่อนคลายขึ้น “คุณว่ามา”
คณบดีเจียงชะงักไปสักพัก “อธิการบดีโจว ตอนนี้ท่านกำลังนั่งหรือยืนอยู่ครับ?”
“ยืนอยู่ ทำไมเหรอ?” โจวซานยิ้ม น้ำเสียงหนาทุ้ม
“งั้นท่านไปหาที่นั่งสักที่ดีกว่า” คณบดีเจียงพูดต่อ
โจวซานไม่เข้าใจ แต่ตอนนี้เป็นเพราะเขากำลังดีใจจึงไม่ได้ถามหาเหตุผล เขานั่งลงบนเก้าอี้อีกด้านหนึ่ง จากนั้นก็หัวเราะเบาๆ แล้วถามว่า “นั่งเรียบร้อยแล้ว มีอะไร?”
“อ้อ ก็ไม่มีอะไรหรอกครับ” คณบดีเจียงที่อยู่ทางด้านห้องปฏิบัติการทางฟิสิกส์ก็เพิ่งได้สติกลับมา เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉยมาก “ก็แค่อยากจะบอกท่านหน่อยน่ะ ปีนี้คะแนนรวมของมหาวิทยาลัยเมืองหลวงของเราเอาชนะมหาวิทยาลัยAได้แล้วครับ ได้รับการจัดสรรเงินทุนและวัสดุอุปกรณ์การทดลองมากกว่าสองเท่า”
**
“คะแนนการประเมินก็ออกมาเรียบร้อยแล้ว ห้องปฏิบัติการจะจัดทีมปฏิบัติการให้กับพวกเธอ” คณบดีเจียงได้รวบรวมกลุ่มคนที่สอบเข้าห้องปฏิบัติการปีนี้ได้พร้อมกับพูดคุยกับพวกเขาเกี่ยวกับห้องปฏิบัติการ “ทั้งหมดเป็นการจับฉลาก เป็นไปได้น้อยมากที่พวกเธอจะถูกจัดอยู่ด้วยกัน ยังมีแฟ้มอีกชุดหนึ่งที่จะระดมกำลังพนักงานทำการบันทึก ต้องใช้เวลาอีกพอสมควรกว่าจะได้เข้าห้องปฏิบัติการ”
คณบดีเจียงพูดจบก็มองมาทางฉินหร่าน
อดยิ้มไม่ได้
ตลอดสองวันที่ผ่านมาเป็นเซอร์ไพรส์ที่เกิดขึ้นติดๆ กัน
หลังจากจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เขาก็อยากจะเชิญทุกคนไปทานข้าว
ฉินหร่านดึงผ้าพันคอและชี้ไปทางเฉิงเจวี้ยนกับเฉิงเวินหรู หาเหตุผลปฏิเสธคำเชิญของคณบดีเจียง
คณบดีเจียงมองไปทางที่เธอชี้ก็เห็นแววตาที่เยือกเย็นของเฉิงเจวี้ยน เขารีบละสายตาทันทีและตามฉินหร่านเข้าไปทักทายด้วยกัน จากนั้นก็พานักศึกษาคนอื่นๆ ไปทานข้าว
หลังจากคิดคะแนนการ์ดทดลองแล้วก็ไม่จำเป็นต้องส่งคืนกลับไปที่ห้องทดลอง สามารถนำกลับมาเก็บไว้เป็นรางวัลได้
ฉินหร่านถือการ์ดทั้งหกใบเดินไปหาเฉิงเจวี้ยน
เฉิงเวินหรูมองเธอ พูดอะไรไม่ออก เงียบไปนานกว่าจะพูดขึ้นมาว่า “หร่านหร่าน เธอนี่…”
เธอไม่รู้จะใช้คำไหนมาอธิบาย
“ไปเถอะ กลับไปกินข้าวกันก่อน” เฉิงเจวี้ยนลุกขึ้น แววตาดูเกียจคร้าน
เฉิงเวินหรูได้สติก็มองไปที่การ์ดทั้งหกใบที่อยู่ในมือฉินหร่าน ดวงตาแวววาว “หร่านหร่าน เอาการ์ดSมาให้พี่จับหน่อย”
ฉินหร่านยื่นการ์ดSให้เธออย่างไม่ใส่ใจ
เฉิงเวินหรูถือมาเล่นไว้ในมือสักพักก่อนจะคืนให้ฉินหร่าน เวลานี้เพิ่งนึกถึงเรื่องฉินหร่านขึ้นมาได้ เธอยิ้มก่อนเอ่ยว่า “มิน่าล่ะ ไม่เห็นเธอโผล่หัวมาตั้งเดือนนึง ที่แท้ก็ยุ่งอยู่กับการประเมินนี่เอง”
พูดถึงเรื่องนี้เฉิงเวินหรูก็ถอนหายใจ
รู้แล้วว่าทำไมฉินหร่านเข้าร่วมประเมินแบบสบายใจ แล้วยังประสบความสำเร็จและคว้าที่หนึ่งมาได้ ทำการทดลองได้ครบถ้วนทั้งหกระดับอีก…
ขณะที่ฉินหร่านเดินตามหลังทั้งสอง โทรศัพท์ในกระเป๋าก็ดังขึ้น
เธอหยิบออกมาดูก็พบว่าเป็นฉินฮั่นชิว
“หร่านหร่าน พ่อซื้อของขวัญมาให้ลูกด้วย ตอนนี้ลูกอยู่ที่ไหน? พ่อจะเอาของขวัญไปให้” เสียงฉินฮั่นชิวที่อยู่ปลายสายเสียงดังกังวาน ฟังดูก็รู้แล้วว่าตื่นเต้น
ฉินหร่านดึงผ้าพันคอ คิดได้สักพักก็ไม่ได้ทำให้ฉินฮั่นชิวเสียความตั้งใจ
ทั้งสองนัดเจอกันที่ถนนคนเดินของมหาวิทยาลัยเมืองหลวง
**
ข่าวที่ฉินหร่านประสบความสำเร็จในการสอบเข้าห้องปฏิบัติการทางฟิสิกส์ได้แพร่กระจายทางบอร์ดของมหาวิทยาลัยเมืองหลวง
และในเวลาเดียวกัน
หอพักของฉินอวี่
เธอกำลังนอนอยู่บนเตียงปัดดูบอร์ดของมหาวิทยาลัย วันนี้บอร์ดของมหาวิทยาลัยเมืองหลวงเต็มไปด้วยชื่อฉินหร่าน
ฉินหร่านสอบเข้าห้องปฏิบัติการทางฟิสิกส์ได้แล้ว…
ในกระทู้ทุกแห่งหนล้วนเป็นข่าวของเธอ
ฉินอวี่เรียนอยู่ภาควิชาศิลปะ ตอนแรกเธอไม่รู้ว่าสี่ภาควิชาใหญ่คืออะไร แต่พออยู่มหาวิทยาลัยไปนานๆ ก็ถึงได้รู้ว่าสี่ภาควิชาใหญ่ต่างจากภาควิชาทั่วไป…
เธอปิดหน้าบอร์ดของมหาวิทยาลัยเมืองหลวง พยายามข่มความริษยาที่ทะลักออกมารวมไปถึงความเสียใจที่มีอยู่น้อยนิด
กดโทรศัพท์แนบอก
หลังจากนั้นไม่นาน
จู่ๆ ก็นึกอะไรขึ้นมาได้ เธอเม้มริมฝีปาก เปิดวีแชทหารูปโปรไฟล์เสิ่นอวี่เหวิน จ้องไปที่กล่องแชทที่เคยคุยกับเธอ อ่านอยู่นานในที่สุดก็อดไม่ได้ที่จะพิมพ์ออกมาหนึ่งข้อความ——
(เมื่อก่อนที่เธอเคยบอกว่าเพลงนั้นที่ฉันเล่นไวโอลินเหมือนของเหยียนซีมาก เธอยังจำได้ไหม?)
เสิ่นอวี่เหวินเป็นติ่งดาราที่บ้าคลั่ง
ถือว่าเป็นคนนอกรีตในตระกูลเสิ่น เธอไม่เคยสนเรื่องฉินอวี่กับหนิงฉิงมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว สนใจแค่ไอดอลของตัวเอง เรื่องไวโอลินที่เกิดเรื่องราวใหญ่โต เสิ่นอวี่เหวินก็ไม่ได้สนใจ
คราวที่แล้วตอนที่เสิ่นอวี่เหวินคุยเรื่องเหยียนซี ฉินอวี่ก็เคยสังเกตแต่ก็พบเพียงเพลงดาร์คๆ ไม่กี่เพลงเท่านั้น
แค่เหมือนกันที่สไตล์เพลง ในส่วนของการเรียบเรียงเพลงยังหาจุดที่ทับซ้อนกันไม่ได้
เสิ่นอวี่เหวินไม่ใช่คนที่มีเซนส์ทางด้านดนตรี การที่จำได้ถึงขนาดนี้ อย่างน้อยๆ ก็ต้องมีส่วนที่คล้ายกันบ้าง
ฉินอวี่ส่งไปนานมากแล้วแต่เสิ่นอวี่เหวินก็ยังไม่ตอบกลับ
เธอเม้มริมฝีปาก คลิกไปที่กลุ่มโรงเรียนส่งๆ เรื่องที่คุยกันล้วนเป็นเรื่องฉินหร่าน
ฉินอวี่ลุกขึ้นจากเตียงอย่างหงุดหงิด
ถือกระเป๋าเป้ไปที่ถนนคนเดิน
วันนี้เป็นวันอาทิตย์ จึงมีคนเดินถนนจำนวนไม่น้อย โทรศัพท์ฉินอวี่ในกระเป๋าดังขึ้น เธอเหลือบมองก็พบว่าเสิ่นอวี่เหวินตอบเธอแล้ว เสิ่นอวี่เหวินไม่ได้พูดอะไร แค่ส่งลิงก์ให้เฉยๆ
เดิมทีเธอไม่ได้สนิทกับเสิ่นอวี่เหวินอยู่แล้ว ดังนั้นการที่เสิ่นอวี่เหวินเย็นชาขนาดนี้ ฉินอวี่จึงไม่ได้ใส่ใจ ถึงขนาดตอบกลับไปแค่ประโยคเดียวว่า “ขอบคุณ”
หลังจากตอบข้อความเสร็จแล้ว ฉินอวี่ก็หยิบหูฟังออกจากกระเป๋า ขณะที่สวมหูฟังก็เปิดลิงก์ไปด้วย
สายตามองไปข้างหน้าไปตามอารมณ์
บริเวณปากทางข้างหน้ามีแผ่นหลังที่คุ้นเคยปรากฏอยู่
ฉินอวี่ชะงักเท้า เธอจ้องมองไปยังร่างที่ดูแปลกตาเป็นพิเศษด้วยชุดสูทและรองเท้าหนังที่อยู่ข้างหน้า
อีกฝ่ายรูปร่างสูงใหญ่ ผิวแทน หน้าตาหล่อเหลา แต่ไม่มีมาด
ไม่ว่าจะเปลี่ยนไปมากขนาดไหน ฉินอวี่ก็จำได้
นั่นคือฉินฮั่นชิวที่เธอบังเอิญเจอตอนเปิดเทอมมาแล้วครั้งหนึ่ง
ฉินอวี่ไม่ได้สนใจกับการพบกันครั้งนั้น เดิมทีเธอยังคิดอยู่เลยว่าเขาคงกลับไปที่เมืองเล็กๆ นั่นแล้ว แต่ใครจะรู้ว่าที่แท้แล้วเขายังอยู่ที่เมืองหลวง
สายตาเธอย้ายมามองถุงช้อปปิ้งในมือฉินฮั่นชิว เธอจำได้ว่ามันเป็นจิวเวลรี่แบรนด์ดังที่มีอยู่ไม่กี่แบรนด์ แม้ตอนที่ฉินอวี่มีฐานะสูงส่งในตระกูลหลิน แต่การที่จะซื้อแบรนด์ดังๆ เหล่านี้ก็ใช่ว่าจะซื้อได้
ฉินฮั่นชิวมีของเหล่านี้อยู่ในมือได้อย่างไร?
ฉินอวี่เรียก “พ่อ” อยู่ในลำคอ ยังไม่ทันได้เอ่ยออกมา ก็เห็นฉินฮั่นชิวยื่นของให้เด็กสาวคนหนึ่งด้วยรอยยิ้มปลื้มปริ่ม
เห็นได้ชัดว่าคนที่พันผ้าพันคอรับถุงช้อปปิ้งมาอย่างเฉยเมย เผยให้เห็นแค่ใบหน้าที่บอบบางเพียงครึ่งเดียว
ทันทีที่ฉินอวี่มองไปก็สั่นสะท้านตั้งแต่หัวใจยันปลายนิ้ว——
เด็กสาวคนนั้นก็คือฉินหร่าน!
ฉินอวี่แทบคลั่ง ทำไมฉินฮั่นชิวมีจิวเวลรี่แพงๆ นั่น? และยังมอบให้ฉินหร่าน?
ส่วนฉินหร่านก็ไม่มีเสื้อผ้าชิ้นไหนที่ไม่ใช่ของแพงตั้งแต่หัวจรดเท้า
เกิดอะไรขึ้นกับสองคนนี้?
ฉินอวี่ยังไม่ทันได้คิดอะไรมากก็มีรถสีดำคันหนึ่งมาจอด ทางฝั่งคนขับมีชายวัยกลางคนลงจากรถ เปิดประตูหลังแล้วเชิญฉินฮั่นชิวเข้าไปด้วยความเคารพ…
รถคอยๆ ขับเข้าเส้นทางจราจร
“หร่านหร่าน…เธอกำลังมองอะไรอยู่?” เฉิงเวินหรูที่อยู่อีกด้านเดินเข้ามา เธอยื่นชานมร้อนให้ฉินหร่าน
ฉินหร่านละสายตากลับ ยื่นมือรับชานมมาจากเฉิงเวินหรู ยกมุมปากอย่างเอื่อยเฉื่อย “ไม่มีอะไรค่ะ ดูผิดไป”
ทั้งสองเดินทางกลับไปกินข้าวที่ถิงหลาน
วันนี้คนเยอะมากเพราะเป็นวันหยุด
รถของเฉิงเจวี้ยนจอดไว้ที่มหาวิทยาลัย ไม่ได้ขับออกมา เขาหาที่จอดรถเพื่อเตรียมให้เฉิงมู่ขับกลับตอนที่คนยังน้อยๆ
**
ทางด้านนี้ ฉินอวี่เดินกระสับกระส่ายกลับไปถึงอพาร์ตเมนต์เล็กๆ ของเธอกับหนิงฉิง
“อวี่เอ๋อร์ เป็นอะไรไป?” ในช่วงหกเดือนที่ผ่านมา ชีวิตหนิงฉิงไม่ได้ราบรื่นเหมือนตอนที่อยู่อวิ๋นเฉิง เธอไม่รู้ว่าตัวเองรู้สึกอย่างไรเมื่อนึกถึงฉินหร่าน
บนใบหน้ายังมีริ้วรอยขึ้นมาเล็กน้อย ดูแก่กว่าปีที่แล้ว
ทว่าความงามของสาวมีอายุก็ยังหลงเหลืออยู่
ฉินอวี่มองหนิงฉิงพลางเม้มริมฝีปาก “วันนี้หนูเจอพ่อ…”
“พ่อลูกอยู่อวิ๋นเฉิงไม่ใช่เหรอ?” หนิงฉิงวางแก้วลง เธอถามด้วยความลังเล การที่หลินฉีมาเมืองหลวงก็ไม่เห็นจำเป็นต้องปิดบังพวกเธอ
“อีกคนนึง” ฉินอวี่ลดเสียงลง หลุบตาลงเพื่อปกปิดแววตา
นั่นก็คือฉินฮั่นชิว
เมื่อคิดได้ว่าเป็นเขา หนิงฉิงก็ไม่ค่อยใส่ใจมาก “เจอก็เจอสิ ไม่เห็นแปลกตรงไหน เมืองหลวงก็ออกจะใหญ่ซะขนาดนี้”
เมื่อฉินอวี่เห็นท่าทีของเธอก็บีบโทรศัพท์แน่น เธอพูดออกไปตรงๆ “แม่ หนูเห็นเขามีคนขับรถมารับด้วย ดูเคารพเขามาก และยังถือจิวเวลรี่ราคาแพงๆ อีกด้วย หนูเห็นเขามอบให้พี่ เขาเอาเงินมากมายขนาดนั้นมาจากไหน?”