บทที่ 392 ยื่นมือเข้าช่วย

ท่านเทพกลับมาเป็นคุณพ่อ[神尊归来当奶爸]

บทที่ 392 ยื่นมือเข้าช่วย

บทที่ 392 ยื่นมือเข้าช่วย

เสียงถอนหายใจดังขึ้นท่ามกลางความมืด ความขมขื่นในใจของหลี่หรงดูน่าสงสารอย่างมาก

อวี้ฮ่าวหรานสัมผัสได้ถึงความรู้สึกบางอย่าง แต่เขาไม่แน่ใจว่ามันคือความรู้สึกอะไร

หลี่เม่ยคือภรรยาของเขา เธอคือคนที่สำคัญที่สุด ในที่สุดความเงียบงันก็เข้าปกคลุมบ้านทั้งหลัง

เช้าวันต่อมา อวี้ฮ่าวหรานได้พาถวนถวนไปที่โรงเรียนสอนเปียโนอีกครั้ง

แม้โรงเรียนจะปิดเทอม แต่หลิวว่านฉิงและครูสอนเปียโนคนอื่น ๆ ก็ยังคงมาทำงานตามปกติ

หน้าประตูทางเข้าโรงเรียน อวี้ฮ่าวหรานสังเกตเห็นร่างของบุคคลหนึ่ง แต่น่าเสียดายที่เธอกำลังพูดคุยกับคนอื่นอยู่

ชายคนนั้นยืนพิงรถสปอร์ต ดูเหมือนว่าเขาจะไม่สบอารมณ์สักเท่าไหร่

ด้วยประสาทสัมผัสที่ฉับไว อวี้ฮ่าวหรานจึงได้ยินบทสนทนาของทั้งสองแม้จะอยู่ไกลก็ตาม

“อย่ารบกวนฉันอีกเลยค่ะ ฉันไม่ได้คิดอะไรกับคุณจริง ๆ”

“ฉันไม่สนว่าเธอจะชอบฉันไหม ฉันอยากให้เธอตกลงเป็นแฟนกับฉันเดี๋ยวนี้! หลิวว่านฉิง! ฉันบอกเธอแล้วใช่ไหมว่าอย่าทำให้ฉันโกรธ!”

“แต่คุณบังคับฉันไม่ได้หรอก! อย่าลืมว่าบ้านเมืองมีขื่อมีแป!”

“ฮ่า ๆ ไร้เดียงสาชะมัด! อย่าลืมนะว่าแม่ของเธอยังนอนอยู่ที่โรงพยาบาล!”

หลังจากพูดจบ อวี้ฮ่าวหรานที่ยืนอยู่ในระยะไกลก็สังเกตเห็นว่าอีกฝ่ายมีสีหน้าพึงพอใจ

“อยากรู้ไหมว่าทำไมคุณป้าถึงต้องนอนโรงพยาบาล? มันไม่ใช่แค่ล้มหมดสติหรอก”

“เสิ่นเฉียง! ไอ้สารเลว!”

หลิวว่านฉิงโกรธจัด

“ฮ่า ๆ! สารเลวแล้วยังไง? ที่ฉันขอให้เธอตอบตกลง ไม่ได้หมายความว่าฉันชอบเธอ คิด ๆ ดูแล้วเธอมีอะไรเทียบเท่าฉันบ้างล่ะ?”

ชายหนุ่มที่ชื่อเสิ่นเฉียงโน้มตัวเข้าใกล้เธอ ก่อนพูดเยาะเย้ยด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ

เมื่อเห็นแบบนั้น อวี้ฮ่าวหรานก็เข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้นทันที

“พ่อจ๋า อาจารย์หลิวกำลังถูกคนนิสัยไม่ดีรังแก เราไปช่วยอาจารย์กันเถอะค่ะ”

ถวนถวนพูดอย่างกังวลใจ

“อืม!”

อวี้ฮ่าวหรานพยักหน้าตอบแล้วเหยียบคันเร่ง ไม่นานรถสปอร์ตสีเหลืองสดสะดุดตาก็จอดอยู่ข้างทั้งสองคน

เมื่อเทียบกับรถสปอร์ตราคาหลายล้านคันนี้แล้ว รถสปอร์ตสีเงินดูราคาถูกกว่าไม่น้อย

“ปัง!”

อวี้ฮ่าวหรานปิดประตูรถและเดินไปหยุดอยู่ข้าง ๆ ทั้งสองคนภายใต้สายตาสงสัยของลูกผู้ดีมีเงิน

“แก! กลับไปซะ!”

หลังจากรู้เรื่องราวทั้งหมดแล้ว อวี้ฮ่าวหรานจึงพูดหยาบคายกับคนรวยรุ่นสอง*[1]

“แกเป็นใคร? อย่ามาแส่เรื่องของคนอื่น!”

เสิ่นเฉียวคนรวยรุ่นสองรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เพราะเขารู้ว่ารถสปอร์ตของอีกฝ่ายมีราคาแพงกว่าของตัวเองมาก

“ฮึ่ม ฉันขอพูดตรง ๆ เลยนะ! ถ้าแกยังไม่ไสหัวไปก็อย่าหาว่าฉันไม่ทำเกินเหตุล่ะ!”

อวี้ฮ่าวหรานแค่นเสียงเย็นชาและจงใจไม่ตอบคำถามของอีกฝ่าย แต่กลับยกเท้าขึ้นถีบคนรวยรุ่นสองจนกระเด็นออกไป

“ว้าย!”

หลิวว่านฉิงตกใจเล็กน้อยเมื่อเห็นอย่างนั้น

“แก…”

เธอมองคนรวยรุ่นสองกระเด็นออกไปด้วยสายตาไม่เชื่อ

“ไม่เป็นไรแล้วครับ เขาจะไม่มากวนใจคุณอีกต่อไป!”

อวี้ฮ่าวหรานพูดด้วยท่าทีผ่อนคลาย หลิวว่านฉิงตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะรวบรวมสติกลับมาได้

“ขอบคุณค่ะ…ขอบคุณมาก ๆ ค่ะ!”

เธอคงเจ็บปวดจากการข่มขู่มามาก ขณะเดียวกัน เสิ่นเฉียวก็ยันกายลุกขึ้นพร้อมสบถคำหยาบคาย

“แกกล้าดียังไง? รู้ไหมว่าฉันเป็นใคร?”

ต่อให้เป็นคนใจเย็น แต่ใครจะควบคุมตัวเองได้ถ้าถูกคนแปลกหน้าถีบเข้าอย่างจังแบบนี้!

เมื่อเห็นอย่างนั้น อวี้ฮ่าวหรานก็มีสีหน้าเย็นชาเล็กน้อย เขาคิดว่าอีกฝ่ายจะยอมรามือง่าย ๆ แต่คิดไม่ถึงว่าจะดื้อรั้นขนาดนี้

เขาจึงโต้กลับด้วยน้ำเสียงหนักแน่นทันที “ฉันรู้แค่ว่าถ้าแกยังกล้ามาเหยียบที่นี่อีก แกไม่ตายดีแน่!”

“ไอ้เวร! รอก่อนเถอะ!”

เสิ่นเฉียงคนรวยรุ่นสองรูปร่างผอมบางตกตะลึงเมื่อได้ยินแบบนั้น แต่หลังจากที่สบถด่าคำหยาบคายออกไป เขาก็ไม่กล้าก้าวขึ้นไปข้างหน้าอีก

“พ่อของฉันคือผู้บริหารบริษัทอสังหาริมทรัพย์จื่อจิน แค่เขาใช้เงินฟาด แกก็ชะตาขาดแล้ว!”

“โอ้?”

อวี้ฮ่าวหรานหูผึ่งทันทีที่ได้ยินชื่อของบริษัทอสังหาริมทรัพย์จื่อจิน!

“แกพูดว่าบริษัทอสังหาริมทรัพย์จื่อจิน?”

“ใช่สิ! กลัวงั้นเหรอ? ฮึ! มันสายไปแล้วโว้ย!”

เสิ่นเฉียงคิดว่าอีกฝ่ายหวาดกลัวจึงแค่นเสียงอย่างภาคภูมิใจ

“น่าสนใจ ตั้งแต่กัวหย่งซินเข้ามาบริหาร ฉันก็ลืมชื่อบริษัทนี้ไปเลย แกไสหัวไปได้แล้ว”

อวี้ฮ่าวหรานพูดอย่างสบาย ๆ ตั้งแต่กัวหย่งซินทำหน้าที่ผู้บริหาร เขาก็ลืมชื่อเสียงของบริษัทนี้ไปจริง ๆ

การปั่นหัวของอีกฝ่ายถือว่าเป็นกลยุทธ์ที่ดี

“แก! ฝากไว้ก่อนเถอะ!”

เมื่อเสิ่นเฉียวเห็นว่าอีกฝ่ายไม่กลัวคำขู่ เขาจึงหัวเสียว่าเดิม จากนั้นจึงหันหลังกลับแล้วขับรถออกไปด้วยความฉุนเฉียว

หลังจากรถสปอร์ตสีเงินแล่นออกไป อวี้ฮ่าวหรานก็หันไปมองหลิวว่านฉิง

“คุณเจ็บตรงไหนไหมครับ”

“ฉันไม่เป็นไร ขอบคุณมากค่ะ… ไม่อย่างนั้นฉันคงไม่รู้ว่าต้องทำยังไงแล้ว” หลิวว่านฉิงพูดขอบคุณอีกครั้ง

“ผมได้ยินมาว่าคุณแม่ของคุณป่วยเหรอครับ? คุณช่วยพาผมไปเยี่ยมท่านหน่อยได้ไหม?”

“หืม?”

เห็นได้ชัดว่าหลิวว่านฉิงไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะถามเรื่องนี้ เธอจึงอึ้งไปเล็กน้อย

“ผมพอรู้เรื่องการแพทย์นิดหน่อยน่ะ อาจจะช่วยเหลือได้บ้าง”

อวี้ฮ่าวหรานอธิบายเพื่อเพิ่มความเชื่อมั่นให้อีกฝ่าย

“จริงเหรอคะ? เอ่อ… ดีจังเลยค่ะ”

หลิวว่านฉิงรู้สึกว่าตัวเองได้รับเชือกฟางเส้นสุดท้ายของชีวิต ใบหน้าของเธอจึงเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข

“งั้นขึ้นรถแล้วบอกทางผมเลยครับ”

อวี้ฮ่าวหรานไม่พูดพร่ำทำเพลงขับรถออกไปทันที

เมื่อมาถึงโรงพยาบาลขนาดเล็กที่ตั้งอยู่ในชานเมือง เขาก็ต้องประหลาดใจทันที

“เอ่อ… ทำไมคุณถึงเลือกโรงพยาบาลนี้เหรอครับ?”

เมื่อลงจากรถ เขาจึงมองสำรวจสภาพแวดล้อมรอบข้างของโรงพยาบาล แล้วพบว่าที่นี่ไม่ถูกสุขอนามัยแม้แต่น้อย

หลิวว่านฉิงตกตะลึง จากนั้นรู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย

“ฉัน… ฉันไม่รู้จะทำยังไง เพราะที่นี่คือโรงพยาบาลที่มีค่าใช้จ่ายถูกที่สุดที่ฉันหาได้”

เธอตอบอย่างจนปัญญา

“ฉันเพิ่งเรียนจบปีนี้และยังไม่มีงานทำน่ะค่ะ ฉันจึงต้องสอนเปียโนก่อนเลยมีรายได้ไม่มาก”

อวี้ฮ่าวหรานเข้าใจสถานการณ์ของเธอทันที เขาเกือบลืมไปว่าในโลกมนุษย์ เงินคือสิ่งที่ขับเคลื่อนทุกอย่าง

“ไม่เป็นไรครับ ผมจะรับผิดชอบค่ารักษาให้เอง วันนี้ย้ายคุณแม่ของคุณไปโรงพยาบาลที่ดีที่สุดในเมืองก็แล้วกัน”

“หา?”

หลิวว่านฉิงนิ่งอึ้งไปชั่วครู่

“ไม่ต้องห่วงครับ ผมไม่ได้หวังสิ่งตอบแทน”

อวี้ฮ่าวหรานกล่าวเสริมเพื่อให้อีกฝ่ายสบายใจ

“ว่าแต่… คุณช่วยฉันทำไมเหรอคะ?”

หลิวว่านฉิงรู้สึกปลาบปลื้มกับความมีน้ำใจของผู้ชายคนนี้

“เพราะว่าคุณสอนถวนถวนเล่นเปียโนจนชนะได้อันดับหนึ่งยังไงล่ะครับ”

“แค่นี้เหรอคะ?”

หลิวว่านฉิงสับสนเล็กน้อยหลังจากฟังคำอธิบายของอีกฝ่าย

“นี่คือสิ่งที่ผมต้องตอบแทนคุณ ผมจ่ายค่ารักษาทั้งหมดแล้วครับ คุณไม่ต้องจ่ายอีก”

แม้จะต้องการเงินจำนวนมากเพื่อใช้ในการผ่าตัดของแม่ แต่หลิวว่านฉิงก็เกรงใจเกินกว่าจะรับความเมตตานี้ไว้

“ฮ่า ๆ คุณไม่รู้หรอกครับว่าคุณสำคัญกับถวนถวนแค่ไหน ยังไงซะผมก็ยืนยันที่จะช่วยคุณ”

[1] คนรวยรุ่นสอง เป็นคำเสียดสีพวกลูกคนรวยที่เกิดมาบนกองเงินกองทอง