มู่เฉียนซีมองฮั่วอู๋จี๋ เจ้าสำนักเฟินเทียน “ข้าขอโทษ ข้าไม่รู้ว่าการแข่งขันระหว่างสำนักจะจัดขึ้นเร็วเช่นนี้”
ฮั่วอู๋จี๋ยิ้ม กล่าวว่า “มาได้เวลาพอดี”
เด็กหนุ่มที่เอ่ยปากเมื่อครู่กล่าวขึ้น “ท่านเจ้าสำนัก ข้ารู้ว่าผู้นำตระกูลมู่นั้นมีบุญคุณจากการช่วยชีวิตท่าน ทั้งนางยังมีพรสวรรค์ยอดเยี่ยม แต่ว่าท่านไม่อาจที่จะทำให้ข้าสูญเสียสิทธิ์ในการเข้าร่วมการแข่งขันใหญ่เพราะเหตุผลนั้นได้”
ฮั่วอู๋จี๋ “ผู้นำตระกูลมู่เหมาะสมกว่าเจ้า พาเจ้าไปเข้าชมการแข่งขันในครั้งนี้ถือเป็นการทดแทนให้แก่เจ้า เจ้าอย่าสร้างปัญหาให้ข้า”
ชายหนุ่มตรงหน้ากล่าวขึ้น “ข้าไม่ยอมรับ แม้ว่าผู้นำตระกูลมู่จะมีเงินมีอำนาจ แต่ข้าคิดว่าความแข็งแกร่งของข้ามิได้อ่อนแอไปกว่านางเป็นแน่”
มู่เฉียนซีสวนขึ้นว่า “ในเมื่อเจ้าไม่ยอมรับ เช่นนั้นข้าจะประลองกับเจ้าสักสองสามกระบวนท่า ให้เจ้าได้แพ้อย่างไร้ข้อข้องใจเป็นอย่างไรล่ะ ?”
“นั่นมัน เอ่อ…” ฮั่วอู๋จี๋มองมู่เฉียนซีอย่างเขินอาย
มู่เฉียนซีกล่าว “ประเดี๋ยวข้าจัดการเรื่องนี้เอง”
บริเวณโดยรอบนั้นมีที่ว่างอยู่ มู่เฉียนซีกล่าวขึ้น “ลงมือ!”
“เช่นนั้น เจ้าระวังตัวแล้วกัน” เขาเอ่ยปากออกมา ก่อนที่ร่างของเขาจะแยกออกเป็นร่างเงาสองร่างมุ่งมาทางมู่เฉียนซี
หากพูดถึงพรสวรรค์ เขาย่อมเป็นอันดับหนึ่งของสำนักเฟินเทียนอย่างแน่นอน แต่เขานั้นทำได้เพียงอยู่ในอันดับที่สิบในสำนัก เพราะอายุของเขายังน้อย ไม่อาจจะไปสู้กับเหล่าศิษย์พี่ของเขาได้
เดิมทีเขามีสิทธิ์ที่จะได้เข้าร่วมการแข่งขันใหญ่ระหว่างสำนัก แต่คาดไม่ถึงว่าจะมีมู่เฉียนซีโผล่ออกมากลางอากาศ ทำให้เขานั้นได้สูญเสียสิทธิ์ในการแข่งขันไปหมด
“ปรมาจารย์ภูตระดับสอง ไม่เลวเลย!” มู่เฉียนซีหัวเราะเบา ๆ เมื่อร่างกายของนางเริ่มขยับไปมา ฝีเท้าของนางนั้นนิ่มเบาเหมือนดั่งสายลม
“หัตถ์อัคคี!” เขาสะบัดมือที่มีเปลวเพลิงแดงฉานก่อนจะพุ่งร่างเข้าใส่มู่เฉียนซี
เขานั้นเป็นจอมภูตธาตุอัคคี ในตอนที่คนที่ชมดูการต่อสู้อยู่รู้สึกว่ามู่เฉียนซีกำลังจะโดนต่อยเข้าด้วยกำปั้นนั้น เงาร่างสีม่วงที่อยู่ตรงหน้าก็ได้อันตรธานหายไป
ภาพเงานั้นเป็นเพียงภาพลวงตา!
“ผนึกมังกรวารี!” มู่เฉียนซีตะโกน
มังกรวารีตัวยาวปรากฏขึ้น พลังอำนาจนั้นมากเกินต้าน! เมื่อต้องเผชิญหน้ากับการโจมตีอย่างฉับพลัน ชายหนุ่มผู้นั้นไม่สามารถหลบหลีกได้อีกต่อไป ร่างของเขาถูกมังกรวารีโจมตีอย่างดุดันจนกระเด็นลอยออกไป
เจ้าสำนักเฟินเทียนมองอย่างตกตะลึงอึ้งงัน มู่เฉียนซีผู้ที่ทำให้ศิษย์ของเขาพ่ายแพ้ไปเป็นเพียงปรมาจารย์ภูตระดับสองเท่านั้น!
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับลูกศิษย์ที่มีพลังภูตธาตุเช่นเดียวกันกับนาง เพียงแต่นางธาตุวารี และเขายังระดับขั้นสูงกว่านางหนึ่งขั้น นางก็ยังสามารถเอาชนะได้ได้อย่างสบาย ๆ
นางนั้นช่างเป็นสตรีวิปริตผิดมนุษย์ทั่วไปเสียจริง!
ฮั่วอู๋จี๋กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ไม่ดีนัก “เมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าหายข้องใจแล้วหรือไม่ ? การวางแผนจัดการของข้านั้นผิดหรือไม่ ? เจ้านี่มันดื้อรั้น อย่างไรเสียก็ไม่ยอม หาเรื่องเจ็บตัวแท้ ๆ”
ชายหนุ่มผู้นั้นใบหน้าแดงคล้ำก่ำเลือด ปานจะต้องแทรกแผ่นดินหนี เขากล่าวกับมู่เฉียนซีว่า “ขอโทษด้วยผู้นำตระกูลมู่ เจ้าแข็งแกร่งมากจริง ๆ”
มู่เฉียนซีกล่าวขึ้น “เจ้าสำนัก ขอเวลาข้าอีกสักหน่อย ข้าจะไปจัดการเรื่องบางอย่าง แล้วข้าจะรีบไปทันที”
ฮั่วอู๋จี๋ยิ้มก่อนจะกล่าว “ผู้นำตระกูลมู่ไปทำธุระเถิด”
หลังจากที่มู่เฉียนซีกลับไปที่จวน นางก็ได้จัดการเรื่องหลายเรื่องอย่างรวดเร็วระคนดุดัน หลังจากที่นางได้ร่ำลามู่อวู่ซวงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงได้ไปเข้าร่วมการแข่งขันครั้งใหญ่โดยไปกับคนของสำนักเฟินเทียน
การแข่งขันครั้งใหญ่ในรอบนี้จัดขึ้นที่สำนักชางเยี่ยในแคว้นชวน สำนักที่มีคุณสมบัติในการร่วมการแข่งขันครั้งนี้มีทั้งหมดเจ็ดสำนักด้วยกันนั่นก็คือ สำนักเฟินเทียน สำนักชางเยี่ย สำนักซางอวี่ สำนักซวนปิง สำนักเชิ้งเทียน สำนักซานชิง และสำนักสุ่ยอวิ๋น
หลังจากเดินทางมาถึงสำนักชางเยี่ยแล้ว เหล่าลูกศิษย์ของสำนักชางเยี่ยก็ได้ออกมาทำการต้อนรับและจัดการเรื่องที่พักให้พวกเขาโดยได้พักในจวนจวนหนึ่งในสำนักชางเยี่ย
ผลการแข่งขันในทุกครั้งของสำนักเฟินเทียนล้วนแต่ค่อนข้างแย่ ฉะนั้นแล้วหัวหน้าสำนักชางเยี่ยจึงไม่ได้ต้อนรับพวกเขาอย่างดีหรืออบอุ่นมากนัก
…
วันต่อมาเป็นวันที่การแข่งขันเริ่มขึ้น
หัวหน้าของสำนักทั้งเจ็ดกับบรรดาลูกศิษย์มาถึงพร้อมกัน จากนั้นบนท้องฟ้าก็ได้ปรากฏให้เห็นนกกระยางสีขาวตัวใหญ่ตัวหนึ่ง และแล้วพลังวิญญาณจักรพรรดิแห่งภูตระดับสูงก็ได้แผ่ออกมา
หัวหน้าสำนักชางเยี่ยอึ้งไปเล็กน้อย เขากล่าวต้อนรับด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “นึกไม่ถึงเลยว่าแขกผู้สูงส่ง เจ้าสำนักอวิ๋นเยียนจะมาที่นี่ ขออภัยที่ทางข้าต้อนรับบกพร่อง ขออภัย…”
นกกระยางสีขาวตัวนั้นพัดให้เกิดลมหมุนอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงค่อย ๆ ร่อนลงบนพื้นอย่างช้า ๆ จากนั้นปรากฏบุรุษที่สวมชุดสีขาวหลายคนเดินออกมา พวกเขานั้นสง่าเป็นอย่างมาก ทำให้บรรดาศิษย์หญิง ล้วนแต่ไม่สามารถละสายตาออกห่างคนกลุ่มนั้นได้เลย
ผู้ที่เป็นศิษย์พี่ใหญ่กล่าวขึ้น “ข้าชื่อว่าฉื่อเอี้ยน เป็นตัวแทนของท่านผู้อาวุโสเจ้าสำนักอวิ๋นเยียน ได้ยินมาว่าทางภาคตะวันตกของทวีปเซี่ยโจวมีการจัดการแข่งขันใหญ่ระหว่างสำนักขึ้น จึงได้มาเข้าร่วมชม พวกเรานั้นมาโดยไม่ได้รับคำเชิญ พวกท่านเจ้าสำนักทั้งหลายคงไม่ขัดข้องกระมัง”
เจ้าสำนักของสำนักทั้งเจ็ดยิ้ม หนึ่งในนั้นกล่าวขึ้น “แน่นอนว่าไม่ขัดข้อง คุณชายฉื่อ เจ้าและเหล่าศิษย์น้องของเจ้ามาร่วมชมงาน นับว่าเป็นเกียรติของพวกเรา”
เจ้าสำนักชางเยี่ยถึงกับเชิญให้พวกเขานั้นมาเป็นผู้ตัดสินการแข่งขันในครั้งนี้ และฉื่อเอี้ยนเองมิได้ชักช้า ตอบตกลงที่จะเป็นผู้ตัดสินในการแข่งขันครั้งใหญ่ระหว่างสำนักครั้งนี้
แขกผู้สูงส่งที่มาอย่างกะทันหันนั้นได้ทำให้การแข่งขันชะลอช้าออกไปเล็กน้อย ต่อจากนี้ไปการแข่งขันใหญ่ระหว่างสำนักก็จะดำเนินการตามแผนเวลาเดิม
เจ้าสำนักชางเยี่ยกล่าวขึ้น “เวลานี้ข้าขอประกาศว่าการแข่งขันระหว่างสำนักใหญ่แห่งทวีปเซี่ยโจวของเรา เริ่มขึ้นแล้ว”
“ต่อไปนี้ข้าจะประกาศเรื่องของรางวัลในการแข่งขันใหญ่ครั้งนี้ สำนักที่ได้สามอันดับแรกในการแข่งขันครั้งนี้จะได้สิทธิ์ในการเข้าไปในแดนลึกลับแห่งภาคตะวันตก และสำหรับผู้ที่ได้สามอันดับแรกในการแข่งขัน จะมีรางวัลเฉพาะให้เพิ่มแยกต่างหาก” “ทั้งเจ็ดสำนักใหญ่จะส่งลูกศิษย์ของตนเข้าร่วมการแข่งขันสำนักละสิบคน ทั้งหมดจะแบ่งเป็นเจ็ดกลุ่มย่อย ในทุกกลุ่มย่อยนั้นจะมีสิบคน ผู้ที่ประสบความสำเร็จคือผู้ที่ได้ที่หนึ่งของกลุ่มนั้น โดยผู้นั้นจะมีสิทธิ์เข้าร่วมแข่งขันในการแข่งขันจัดอันดับขั้นสุดท้าย”
“ต่อไปนี้ขอเชิญศิษย์จากสำนักใหญ่แต่ละสำนัก เริ่มทำการจับสลากได้”
มู่เฉียนซีจับขึ้นมาหนึ่งสลาก นางนั้นจับได้สลากของกลุ่มที่สาม
ไม่นานนักมีประกาศลำดับรายชื่อในการเข้าแข่งขันออกมา
“กลุ่มที่สาม มู่เฉียนซีจากสำนักเฟินเทียน พบกับ เฉิงจื่อรุ่ยแห่งสำนักซางอวี่”
ตอนที่เงาร่างสีม่วงก้าวขึ้นบนเวทีประลองไปนั้น ก็ได้กลายเป็นที่สนใจของทั้งสนามประลอง
เมื่อฉื่อเอี้ยนแห่งสำนักนิกายระดับหนึ่ง—สำนักอวิ๋นเยียน ได้เห็นใบหน้างดงามไร้ที่ตินั้น ดวงตาของเขาฉายแววตกตะลึง
เขากล่าวขึ้น “เจ้าสำนักชางเยี่ย ไม่นึกเลยว่าสำนักในภาคตะวันตกแห่งเซี่ยโจวของพวกท่านจะมีหญิงสาวที่พิเศษเช่นนี้” เจ้าสำนักชางเยี่ยเองก็รู้สึกประหลาดใจเช่นกัน การแข่งขันในครั้งนี้ได้กำหนดไว้สำหรับผู้ที่มีอายุน้อยกว่าสามสิบปี สำนักเฟินเทียนไม่มีลูกศิษย์เก่ง ๆ แล้วหรืออย่างไร ? ถึงได้ส่งสาวน้อยที่อายุเพียงประมาณสิบห้าสิบหกปีมาประลอง
เจ้าสำนักชางเยี่ยกล่าวขึ้น “เด็กสาวชุดสีม่วงผู้นั้นเป็นศิษย์สำนักเฟินเทียน พรสวรรค์ของนางคงจะไม่เลว ทว่าอายุยังน้อยนัก เกรงว่ามิอาจที่จะเป็นคู่ต่อสู้ของเฉิงจื่อรุ่ยแห่งสำนักซางอวี่ได้ ได้ยินมาว่าเฉิงจื่อรุ่ยนั้นเป็นปรมาจารย์ภูตไปหลายปีแล้ว เขาเป็นอัจฉริยะแห่งสำนักซางอวี่”
มุมปากของฉื่อเอี้ยนเผยรอยยิ้ม “หอกดาบนั้นไร้หูตาที่จะปราณี ผู้งดงามเช่นนี้ไม่เหมาะสมที่จะเข้าร่วมการต่อสู้เลย หวังว่านางจะไม่โดนทำให้เสียของ”
เฉิงจื่อรุ่ยเดินไปที่เวทีขณะสายตาก็มองไปยังมู่เฉียนซี “สาวน้อย… เห็นได้ชัดว่าเจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า เช่นนั้นแล้วเจ้ารีบยอมแพ้เสียดีกว่า”
มุมปากมู่เฉียนซีโค้งขึ้นเล็กน้อย “เจ้ายังไม่ได้สู้กับข้า รู้ได้อย่างไรว่าข้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจ้า ?”
“เริ่มการแข่งขันได้”
เวลานี้กรรมการได้กล่าวประกาศขึ้น
“แม่นาง ในเมื่อเจ้าไม่ยอมแพ้ เช่นนั้นก็จงรับกระบวนท่าข้าสักกระบวนท่าเถอะ”
พลังของปรมาจารย์ภูตระดับสามแผ่ซ่านออกมา เฉิงจื่อรุ่ยเริ่มโจมตีมู่เฉียนซี
.