ตอนที่ 272 รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง

ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ

ศิษย์ของสำนักซางอวี่ผู้หนึ่งกล่าวขึ้น “แม่นางผู้นี้ช่างโชคร้ายยิ่งนัก การประลองครั้งแรกก็ต้องมาเจอคู่ต่อสู้อย่างศิษย์พี่จื่อรุ่ยเสียแล้ว นางต้องพ่ายแพ้อย่างแน่นอน”

“ใช่แล้ว! การประลองครั้งนี้ไม่ต้องพะวงแม้แต่น้อย”

ทว่าพวกเขาคิดไม่ถึงเลยว่าการโจมตีของปรมาจารย์ภูตระดับสามนั้น มู่เฉียนซีสามารถหลบได้อย่างง่ายดาย

ทุกผู้คนผงะไปตาม ๆ กัน

“ปรมาจารย์ภูตระดับสอง สวรรค์โปรด! ข้าไม่ได้ตาฝาดไปใช่หรือไม่ ?”

“สาวน้อยผู้นี้ดู ๆ แล้วนางอายุประมาณสิบหกสิบเจ็ดเท่านั้น ใครเลยจะคิดว่านางมีพลังวิญญาณเป็นถึงปรมาจารย์ภูต”

หากลองถามผู้ฝึกตนที่มีรุ่นราวคราวเดียวกับนาง ต่อให้พยายามอย่างสุดชีวิตเพื่อฝึกฝน อย่างมากก็เป็นได้เพียงแค่ระดับจอมภูต

“เป็นปรมาจารย์ภูตที่อายุน้อยอย่างมาก!” ศิษย์พี่ใหญ่แห่งสำนักระดับหนึ่งอย่างสำนักอวิ๋นเยียนสุดแสนประหลาดใจ ต่อให้เป็นสำนักอวิ๋นเยียนของพวกเขา หญิงสาวที่มีพรสวรรค์เช่นนี้นับว่าหาได้ยากมาก นับประสาอะไรกับสำนักครึ่งระดับเช่นนี้

มุมปากฉื่อเอี้ยนยกขึ้นเล็กน้อยเป็นรอยยิ้ม “เดิมทีการมาที่เซี่ยโจวในครานี้ก็เพื่อพักผ่อนหย่อนใจ ไม่นึกเลยว่าจะได้เจอเหยื่อดี ๆ”

มู่เฉียนซีที่หลบหลีกการโจมตีของเฉิงจื่อรุ่ยในเวลานี้รู้สึกได้ถึงกลิ่นอายบางอย่างที่กำลังกักขังนางเอาไว้  เมื่อนางมองย้อนกลับไป  เห็นศิษย์สำนักระดับหนึ่งผู้นั้นกำลังจ้องมองนาง สายตาราวกับจ้องมองเหยื่อก็มิปาน

การแสดงออกของมู่เฉียนซีเย็นชามากขึ้นเรื่อย ๆ จากนั้นภายในชั่วพริบตาเดียว นางก็ลงมือตอบโต้เฉิงจื่อรุ่ยอย่างไม่เกรงใจ

“มังกรวารีสะเทือนฟ้า!”

การปรากฏตัวของมังกรวารีตัวยาวใหญ่นั้นทำให้ทุกคนตกตะลึงพรึงเพริด

“จอมภูตพลังธาตุ นางเป็นจอมภูตพลังธาตุรึ ?”

“พรสวรรค์สูงส่งยิ่งนัก นางเป็นจอมภูตพลังธาตุ ยังไว้ชีวิตกันอยู่หรือไม่ ?!”

ฉื่อเอี้ยนมุมปากกระตุก นั่นทำให้เขาสนใจในตัวนางมากยิ่งขึ้น “อา… จอมภูตพลังธาตุวารี”

— ปัง! —

เฉิงจื่อรุ่ยถูกพลังจากมังกรวารีโจมตีจนร่นตัวถอยหลังนับสิบก้าว  ดวงตาของเขาจ้องเขม็งไปที่หญิงสาวงดงามราวภาพวาดตรงหน้าพลางกล่าวว่า “ดูเหมือนว่าข้าจะประเมินเจ้าต่ำไปเสียแล้ว”

“แต่อย่างไรก็ตาม พลังของข้าสูงกว่าเจ้า เจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า” เฉิงจื่อรุ่ยพุ่งเข้าหามู่เฉียนซีราวกับสายฟ้าฟาด

กระบี่ยาวถูกชักออกมาจากฝักโดยเฉิงจื่อรุ่ย เงาแสงของกระบี่นั้นรวดเร็วยากที่จะหลบหลีกความแหลมคมของมันได้

มู่เฉียนซีใช้วิชาตัวเบาหลบหลีกอย่างรวดเร็ว และคมกระบี่ของเขานั้นมิอาจทำร้ายนางได้เลยแม้แต่น้อย

จากนั้นนางตะโกนออกมาอย่างเย็นชา “บุปผาหลั่งสายฝน!”

“วารีสะท้านสวรรค์!”

ในช่วงการหลบหลีกคมกระบี่นั้น นางตอบโต้กลับด้วยพลังธาตุวารีสองกระบวนท่า ทำให้เฉิงจื่อรุ่ยไม่อาจหลบหลีกได้ทัน

— ปัง! —

ร่างของเขากระเด็นลอยออกไปและตกลงบนพื้นอย่างรุนแรง  ในเวลานี้เองผู้ตัดสินการประลองก็ได้ประกาศขึ้นมา “มู่เฉียนซีแห่งสำนักเฟินเทียนเป็นผู้ชนะ!”

มู่เฉียนซีได้รับชัยชนะในการประลองรอบแรกของนางได้อย่างง่ายดาย  ต่อมาก็เป็นการประลองรอบที่สอง

“มู่เฉียนซีแห่งสำนักเฟินเทียน พบกับ ฉาวหลินแห่งสำนักซานชิง!”

ฉาวหลินเป็นปรมาจารย์ภูตระดับสาม แต่ร่างกายของเขานั้นทั้งกำยำทั้งสูงผิดปกติ ราวกับสัตว์ร้ายในร่างมนุษย์ก็มิปาน

เขาตะโกนเสียงดังกังวาน “แม่นาง ข้ายอมรับว่าพรสวรรค์ของเจ้าโดดเด่นนัก แต่ข้ามิได้ใจดีเหมือนเจ้าขยะไร้ประโยชน์อย่างสำนักซางอวี่ผู้นั้น เจ้าควรรู้เอาไว้”

มู่เฉียนซีมีหรือจะเกรงกลัว นางแค่นเสียงเย็นชา “จะเป็นอย่างไรนั้นต้องสู้เท่านั้นถึงจะรู้ มาสิ…”

— ฉัวะ! —

ฉาวหลินยกมือขึ้นชักกระบี่เล่มใหญ่ออกมาจากฝัก  แกว่งกระบี่ม้วนวน  ก่อเกิดลมที่รุนแรงพุ่งเข้าใส่มู่เฉียนซี

เมื่อเผชิญหน้ากับการโจมตีที่รุนแรงเช่นนี้ พลังที่แตกต่างกันถึงหนึ่งระดับ นางควรหลบหลีกการโจมตีนี้ ทว่ามู่เฉียนซีกลับไม่ได้หลบหลีกแต่อย่างใด ทั้งยังพุ่งเข้าไปหาฉาวหลินอย่างมิกลัวเกรง

ทุกผู้คนตะลึงลาน “นาง… นางบ้าไปแล้ว เหตุใดถึงไม่หลบ ?”

“รนหาที่ตายชัด ๆ!”

ในขณะที่สายลมนั้นกำกลังจะกระทบกับร่างมู่เฉียนซี ทันใดนั้นนางยกมือขึ้น  ตะโกนด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาว่า “โล่วิญญาณวารี!”

พลังโล่วิญญาณวารีนั้นได้สกัดกั้นการโจมตีที่อันตรายนั้นออกไป มู่เฉียนซีเคลื่อนไหวไปด้านข้าง พุ่งเข้าหาฉาวหลินและเตะเขาทันที!

ทุกครั้งที่นางโจมตี นางเน้นไปที่จุดลมปราณที่อ่อนแอของเขา

“โจมตีในระยะประชิด สาวน้อยตัวเล็ก ๆ อย่างนางกล้าโจมตีฉาวหลินในระยะประชิดเลยเชียวรึ ?  นางต้องรู้สิว่าความแข็งแกร่งทางกายภายของฉาวหลินนั้นไม่ใช่สิ่งที่หญิงตัวเล็ก ๆ จะเอาชนะได้”

“ใช่ข้าเห็นด้วย ได้ยินมาว่าฉาวหลินผู้นี้เคยฝึกฝนการขัดเกลาร่างกายมาก่อน” หลายคนกล่าวสำทับ

— ปัง! —

ทันใดนั้นเอง เกิดสิ่งที่ทำให้ผู้คนตกใจเป็นอย่างมากนั่นก็คือ หลังจากที่ร่างสีม่วงเคลื่อนไหวออกห่างจากฉาวหลิน ร่างของฉาวหลินก็ล้มลงเพราะขาทั้งสองข้างของเขานั้นไม่มั่นคงอีกต่อไป

ไม่ว่าร่างกายจะแข็งแกร่งมากเพียงใด หากโจมตีโดนจุดลมปราณที่อ่อนแอที่สุดก็ไม่มีทางที่จะป้องกันเอาไว้ได้

พวกเขาเห็นว่าฉาวหลินผู้แข็งแกร่งผู้นั้นเหงื่อออกทั่วทั้งร่างด้วยเพราะความเจ็บปวด พวกเขาตกใจ รีบกล่าวว่า “เป็นไปไม่ได้! หญิงตัวเล็ก ๆ อายุน้อยเพียงนั้นทรงพลังมากเช่นนี้เชียวหรือ ?!”

“แข็งแกร่งเกินไปแล้ว!”

ฉาวหลินลุกขึ้นอย่างเขินอาย เร่งมือโจมตีมู่เฉียนซีอีกครั้ง กระบี่เล่มใหญ่หมุนไปในอากาศกลายเป็นวังวน

แต่อย่างไรก็ตาม เขาที่โดนมู่เฉียนซีโจมตีไป  เวลานี้นั้นพลังของเขาหาใช่จะแข็งแกร่งเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว มู่เฉียนซีไม่รอช้า จู่โจมทันที “ผนึกมังกรวารี!”

“บุปผาหลั่งสายฝน!”

“วารีสะท้านสวรรค์!”

การโจมตีด้วยพลังธาตุเช่นนี้ แต่ละกระบวนท่านางไม่กลัวว่าจะสูญเสียพลังวิญญาณแม้แต่น้อย

เมื่อทุกผู้คนเห็นเช่นนี้ต่างก็ไร้คำกล่าวใด ๆ แล้ว ได้แต่ตัดพ้อ “อา… การโจมตีด้วยพลังธาตุเช่นนี้ทำให้นางใช้พลังวิญญาณไปมาก สาวน้อยผู้นี้ฝึกเคล็ดวิชาใดมากันแน่ ?”

— ตูม!  ตูม!  ตูม! —

ผู้ที่เคราะห์ร้ายที่สุดแน่นอนว่าคือฉาวหลิน เขาต้องรับการโจมตีหลายกระบวนท่าอย่างต่อเนื่องของมู่เฉียนซีที่โจมตีไม่หยุดยั้ง  เขารู้สึกเจ็บปวดไปทั่วทั้งกายใจ และเขาไม่สามารถพยุงร่างกายของตัวเองเอาไว้ได้ ร่างของเขาจึงกระเด็นลอยออกไป

— ปัง! —

เขากลายเป็นอีกคนหนึ่งที่ถูกมู่เฉียนซีโจมตีจนกระเด็นออกไปจากเวทีประลอง  ผู้ตัดสินการประลองก็ได้ประกาศขึ้นอีกครั้งว่า “มู่เฉียนซีแห่งสำนักเฟินเทียนเป็นผู้ชนะ!”

มู่เฉียนซีชนะการประลองสองรอบติดกัน ฮั่วอู๋จี๋มองไปที่มู่เฉียนซีด้วยรอยยิ้มพลันคิด ‘สิ่งที่ทำให้พวกเจ้าตะลึงไปมากกว่านี้อยู่ในช่วงหลังต่างหากเล่า!’

เขารู้ว่ากระบี่และอาวุธวิญญาณวิเศษของนางยังไม่ได้เอาออกมาใช้ นี่เป็นเพียงการทดสอบเล็ก ๆ น้อย ๆ สำหรับคนเหล่านี้

กลุ่มที่สาม เวลานี้เหลือเพียงสามคนแล้ว…

ในรอบถัดไป โชคดีที่มู่เฉียนซีได้เข้ารอบ  ณ ตอนนี้เหลือผู้ท้าประลองเพียงสองคน หนึ่งในนั้นเป็นปรมาจารย์ภูตระดับสี่ ส่วนอีกคนเป็นปรมาจารย์ภูตระดับสาม

ไม่ใช่ทุกคนที่จะก้าวกระโดดในการต่อสู้ได้อย่างง่ายดาย ดังนั้นปรมาจารย์ภูตระดับสามจำต้องพ่ายแพ้แก่ระดับสี่ไปอย่างไม่ต้องสงสัย

การประลองรอบที่สามกำลังจะเปิดฉาก รอบนี้อาจจะเป็นการประลองรอบสุดท้ายแล้วก็เป็นได้

“มู่เฉียนซีแห่งสำนักเฟินเทียน พบกับ ซูเชิ้งแห่งสำนักชางเยี่ย”

เจ้าสำนักชางเยี่ยเห็นศิษย์สำนักตนเองขึ้นเวทีประลอง รอยยิ้มของเขาปรากฏขึ้นที่มุมปาก เขามีความมั่นใจเป็นอย่างมากว่าซูเชิ้งจะเป็นผู้ชนะ

แม้เขาจะยอมรับว่าความแข็งแกร่งของมู่เฉียนซีนั้นน่าทึ่งนัก นางเป็นจอมภูตพลังธาตุแต่สามารถต่อสู้ได้อย่างก้าวกระโดดเช่นนี้  แต่ถึงอย่างไร พลังห่างกันหนึ่งระดับยังนับว่าอาจจะพอมีลุ้น ทว่าห่างกันถึงสองระดับนั้น นางไม่สามารถเอาชนะได้แน่

ฉื่อเอี้ยนแห่งสำนักอวิ๋นเยียนก็รู้สึกเช่นนั้นเช่นเดียวกัน มู่เฉียนซีไม่มีทางชนะได้ในรอบที่สามนี้ เขาคิดในใจ ‘ถึงเวลาที่แม่นางผู้นี้จะต้องลิ้มรสความพ่ายแพ้แล้ว ข้าจะเป็นคนไปปลอบใจนางเอง และหากว่าแม่นางผู้นี้สามารถรักษาพรสวรรค์นี้ได้จริง เกรงว่าความสำเร็จในอนาคตจะไม่น้อยหน้าไปกว่าคุณหนูใหญ่อวิ๋นเฟิง’

ผู้ตัดสินประกาศขึ้นว่า “เริ่มการประลอง!”

มู่เฉียนซีทำได้ดีมากในสองรอบแรก แน่นอนว่าซูเชิ้งไม่ประมาทคู่ต่อสู้ผู้นี้แน่นอน

กระบี่ยาวถูกซูเชิ้งชักออกมาจากฝัก อากาศได้พัดกระโชกไปอย่างรุนแรง เขาตะโกนอย่างเย็นชา “หมื่นมังกรสังหาร!”

มู่เฉียนซีตอบสนองอย่างว่องไว “โล่วิญญาณวารี! ”

พลังธาตุวารีหลอมรวมตัวเข้าหากัน มู่เฉียนซีนางโบกมือ พลันมีโล่วารีสีฟ้าขวางหน้านางเอาไว้

.