ศิษย์ของสำนักซางอวี่ผู้หนึ่งกล่าวขึ้น “แม่นางผู้นี้ช่างโชคร้ายยิ่งนัก การประลองครั้งแรกก็ต้องมาเจอคู่ต่อสู้อย่างศิษย์พี่จื่อรุ่ยเสียแล้ว นางต้องพ่ายแพ้อย่างแน่นอน”
“ใช่แล้ว! การประลองครั้งนี้ไม่ต้องพะวงแม้แต่น้อย”
ทว่าพวกเขาคิดไม่ถึงเลยว่าการโจมตีของปรมาจารย์ภูตระดับสามนั้น มู่เฉียนซีสามารถหลบได้อย่างง่ายดาย
ทุกผู้คนผงะไปตาม ๆ กัน
“ปรมาจารย์ภูตระดับสอง สวรรค์โปรด! ข้าไม่ได้ตาฝาดไปใช่หรือไม่ ?”
“สาวน้อยผู้นี้ดู ๆ แล้วนางอายุประมาณสิบหกสิบเจ็ดเท่านั้น ใครเลยจะคิดว่านางมีพลังวิญญาณเป็นถึงปรมาจารย์ภูต”
หากลองถามผู้ฝึกตนที่มีรุ่นราวคราวเดียวกับนาง ต่อให้พยายามอย่างสุดชีวิตเพื่อฝึกฝน อย่างมากก็เป็นได้เพียงแค่ระดับจอมภูต
“เป็นปรมาจารย์ภูตที่อายุน้อยอย่างมาก!” ศิษย์พี่ใหญ่แห่งสำนักระดับหนึ่งอย่างสำนักอวิ๋นเยียนสุดแสนประหลาดใจ ต่อให้เป็นสำนักอวิ๋นเยียนของพวกเขา หญิงสาวที่มีพรสวรรค์เช่นนี้นับว่าหาได้ยากมาก นับประสาอะไรกับสำนักครึ่งระดับเช่นนี้
มุมปากฉื่อเอี้ยนยกขึ้นเล็กน้อยเป็นรอยยิ้ม “เดิมทีการมาที่เซี่ยโจวในครานี้ก็เพื่อพักผ่อนหย่อนใจ ไม่นึกเลยว่าจะได้เจอเหยื่อดี ๆ”
มู่เฉียนซีที่หลบหลีกการโจมตีของเฉิงจื่อรุ่ยในเวลานี้รู้สึกได้ถึงกลิ่นอายบางอย่างที่กำลังกักขังนางเอาไว้ เมื่อนางมองย้อนกลับไป เห็นศิษย์สำนักระดับหนึ่งผู้นั้นกำลังจ้องมองนาง สายตาราวกับจ้องมองเหยื่อก็มิปาน
การแสดงออกของมู่เฉียนซีเย็นชามากขึ้นเรื่อย ๆ จากนั้นภายในชั่วพริบตาเดียว นางก็ลงมือตอบโต้เฉิงจื่อรุ่ยอย่างไม่เกรงใจ
“มังกรวารีสะเทือนฟ้า!”
การปรากฏตัวของมังกรวารีตัวยาวใหญ่นั้นทำให้ทุกคนตกตะลึงพรึงเพริด
“จอมภูตพลังธาตุ นางเป็นจอมภูตพลังธาตุรึ ?”
“พรสวรรค์สูงส่งยิ่งนัก นางเป็นจอมภูตพลังธาตุ ยังไว้ชีวิตกันอยู่หรือไม่ ?!”
ฉื่อเอี้ยนมุมปากกระตุก นั่นทำให้เขาสนใจในตัวนางมากยิ่งขึ้น “อา… จอมภูตพลังธาตุวารี”
— ปัง! —
เฉิงจื่อรุ่ยถูกพลังจากมังกรวารีโจมตีจนร่นตัวถอยหลังนับสิบก้าว ดวงตาของเขาจ้องเขม็งไปที่หญิงสาวงดงามราวภาพวาดตรงหน้าพลางกล่าวว่า “ดูเหมือนว่าข้าจะประเมินเจ้าต่ำไปเสียแล้ว”
“แต่อย่างไรก็ตาม พลังของข้าสูงกว่าเจ้า เจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า” เฉิงจื่อรุ่ยพุ่งเข้าหามู่เฉียนซีราวกับสายฟ้าฟาด
กระบี่ยาวถูกชักออกมาจากฝักโดยเฉิงจื่อรุ่ย เงาแสงของกระบี่นั้นรวดเร็วยากที่จะหลบหลีกความแหลมคมของมันได้
มู่เฉียนซีใช้วิชาตัวเบาหลบหลีกอย่างรวดเร็ว และคมกระบี่ของเขานั้นมิอาจทำร้ายนางได้เลยแม้แต่น้อย
จากนั้นนางตะโกนออกมาอย่างเย็นชา “บุปผาหลั่งสายฝน!”
“วารีสะท้านสวรรค์!”
ในช่วงการหลบหลีกคมกระบี่นั้น นางตอบโต้กลับด้วยพลังธาตุวารีสองกระบวนท่า ทำให้เฉิงจื่อรุ่ยไม่อาจหลบหลีกได้ทัน
— ปัง! —
ร่างของเขากระเด็นลอยออกไปและตกลงบนพื้นอย่างรุนแรง ในเวลานี้เองผู้ตัดสินการประลองก็ได้ประกาศขึ้นมา “มู่เฉียนซีแห่งสำนักเฟินเทียนเป็นผู้ชนะ!”
มู่เฉียนซีได้รับชัยชนะในการประลองรอบแรกของนางได้อย่างง่ายดาย ต่อมาก็เป็นการประลองรอบที่สอง
“มู่เฉียนซีแห่งสำนักเฟินเทียน พบกับ ฉาวหลินแห่งสำนักซานชิง!”
ฉาวหลินเป็นปรมาจารย์ภูตระดับสาม แต่ร่างกายของเขานั้นทั้งกำยำทั้งสูงผิดปกติ ราวกับสัตว์ร้ายในร่างมนุษย์ก็มิปาน
เขาตะโกนเสียงดังกังวาน “แม่นาง ข้ายอมรับว่าพรสวรรค์ของเจ้าโดดเด่นนัก แต่ข้ามิได้ใจดีเหมือนเจ้าขยะไร้ประโยชน์อย่างสำนักซางอวี่ผู้นั้น เจ้าควรรู้เอาไว้”
มู่เฉียนซีมีหรือจะเกรงกลัว นางแค่นเสียงเย็นชา “จะเป็นอย่างไรนั้นต้องสู้เท่านั้นถึงจะรู้ มาสิ…”
— ฉัวะ! —
ฉาวหลินยกมือขึ้นชักกระบี่เล่มใหญ่ออกมาจากฝัก แกว่งกระบี่ม้วนวน ก่อเกิดลมที่รุนแรงพุ่งเข้าใส่มู่เฉียนซี
เมื่อเผชิญหน้ากับการโจมตีที่รุนแรงเช่นนี้ พลังที่แตกต่างกันถึงหนึ่งระดับ นางควรหลบหลีกการโจมตีนี้ ทว่ามู่เฉียนซีกลับไม่ได้หลบหลีกแต่อย่างใด ทั้งยังพุ่งเข้าไปหาฉาวหลินอย่างมิกลัวเกรง
ทุกผู้คนตะลึงลาน “นาง… นางบ้าไปแล้ว เหตุใดถึงไม่หลบ ?”
“รนหาที่ตายชัด ๆ!”
ในขณะที่สายลมนั้นกำกลังจะกระทบกับร่างมู่เฉียนซี ทันใดนั้นนางยกมือขึ้น ตะโกนด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาว่า “โล่วิญญาณวารี!”
พลังโล่วิญญาณวารีนั้นได้สกัดกั้นการโจมตีที่อันตรายนั้นออกไป มู่เฉียนซีเคลื่อนไหวไปด้านข้าง พุ่งเข้าหาฉาวหลินและเตะเขาทันที!
ทุกครั้งที่นางโจมตี นางเน้นไปที่จุดลมปราณที่อ่อนแอของเขา
“โจมตีในระยะประชิด สาวน้อยตัวเล็ก ๆ อย่างนางกล้าโจมตีฉาวหลินในระยะประชิดเลยเชียวรึ ? นางต้องรู้สิว่าความแข็งแกร่งทางกายภายของฉาวหลินนั้นไม่ใช่สิ่งที่หญิงตัวเล็ก ๆ จะเอาชนะได้”
“ใช่ข้าเห็นด้วย ได้ยินมาว่าฉาวหลินผู้นี้เคยฝึกฝนการขัดเกลาร่างกายมาก่อน” หลายคนกล่าวสำทับ
— ปัง! —
ทันใดนั้นเอง เกิดสิ่งที่ทำให้ผู้คนตกใจเป็นอย่างมากนั่นก็คือ หลังจากที่ร่างสีม่วงเคลื่อนไหวออกห่างจากฉาวหลิน ร่างของฉาวหลินก็ล้มลงเพราะขาทั้งสองข้างของเขานั้นไม่มั่นคงอีกต่อไป
ไม่ว่าร่างกายจะแข็งแกร่งมากเพียงใด หากโจมตีโดนจุดลมปราณที่อ่อนแอที่สุดก็ไม่มีทางที่จะป้องกันเอาไว้ได้
พวกเขาเห็นว่าฉาวหลินผู้แข็งแกร่งผู้นั้นเหงื่อออกทั่วทั้งร่างด้วยเพราะความเจ็บปวด พวกเขาตกใจ รีบกล่าวว่า “เป็นไปไม่ได้! หญิงตัวเล็ก ๆ อายุน้อยเพียงนั้นทรงพลังมากเช่นนี้เชียวหรือ ?!”
“แข็งแกร่งเกินไปแล้ว!”
ฉาวหลินลุกขึ้นอย่างเขินอาย เร่งมือโจมตีมู่เฉียนซีอีกครั้ง กระบี่เล่มใหญ่หมุนไปในอากาศกลายเป็นวังวน
แต่อย่างไรก็ตาม เขาที่โดนมู่เฉียนซีโจมตีไป เวลานี้นั้นพลังของเขาหาใช่จะแข็งแกร่งเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว มู่เฉียนซีไม่รอช้า จู่โจมทันที “ผนึกมังกรวารี!”
“บุปผาหลั่งสายฝน!”
“วารีสะท้านสวรรค์!”
การโจมตีด้วยพลังธาตุเช่นนี้ แต่ละกระบวนท่านางไม่กลัวว่าจะสูญเสียพลังวิญญาณแม้แต่น้อย
เมื่อทุกผู้คนเห็นเช่นนี้ต่างก็ไร้คำกล่าวใด ๆ แล้ว ได้แต่ตัดพ้อ “อา… การโจมตีด้วยพลังธาตุเช่นนี้ทำให้นางใช้พลังวิญญาณไปมาก สาวน้อยผู้นี้ฝึกเคล็ดวิชาใดมากันแน่ ?”
— ตูม! ตูม! ตูม! —
ผู้ที่เคราะห์ร้ายที่สุดแน่นอนว่าคือฉาวหลิน เขาต้องรับการโจมตีหลายกระบวนท่าอย่างต่อเนื่องของมู่เฉียนซีที่โจมตีไม่หยุดยั้ง เขารู้สึกเจ็บปวดไปทั่วทั้งกายใจ และเขาไม่สามารถพยุงร่างกายของตัวเองเอาไว้ได้ ร่างของเขาจึงกระเด็นลอยออกไป
— ปัง! —
เขากลายเป็นอีกคนหนึ่งที่ถูกมู่เฉียนซีโจมตีจนกระเด็นออกไปจากเวทีประลอง ผู้ตัดสินการประลองก็ได้ประกาศขึ้นอีกครั้งว่า “มู่เฉียนซีแห่งสำนักเฟินเทียนเป็นผู้ชนะ!”
มู่เฉียนซีชนะการประลองสองรอบติดกัน ฮั่วอู๋จี๋มองไปที่มู่เฉียนซีด้วยรอยยิ้มพลันคิด ‘สิ่งที่ทำให้พวกเจ้าตะลึงไปมากกว่านี้อยู่ในช่วงหลังต่างหากเล่า!’
เขารู้ว่ากระบี่และอาวุธวิญญาณวิเศษของนางยังไม่ได้เอาออกมาใช้ นี่เป็นเพียงการทดสอบเล็ก ๆ น้อย ๆ สำหรับคนเหล่านี้
กลุ่มที่สาม เวลานี้เหลือเพียงสามคนแล้ว…
ในรอบถัดไป โชคดีที่มู่เฉียนซีได้เข้ารอบ ณ ตอนนี้เหลือผู้ท้าประลองเพียงสองคน หนึ่งในนั้นเป็นปรมาจารย์ภูตระดับสี่ ส่วนอีกคนเป็นปรมาจารย์ภูตระดับสาม
ไม่ใช่ทุกคนที่จะก้าวกระโดดในการต่อสู้ได้อย่างง่ายดาย ดังนั้นปรมาจารย์ภูตระดับสามจำต้องพ่ายแพ้แก่ระดับสี่ไปอย่างไม่ต้องสงสัย
การประลองรอบที่สามกำลังจะเปิดฉาก รอบนี้อาจจะเป็นการประลองรอบสุดท้ายแล้วก็เป็นได้
“มู่เฉียนซีแห่งสำนักเฟินเทียน พบกับ ซูเชิ้งแห่งสำนักชางเยี่ย”
เจ้าสำนักชางเยี่ยเห็นศิษย์สำนักตนเองขึ้นเวทีประลอง รอยยิ้มของเขาปรากฏขึ้นที่มุมปาก เขามีความมั่นใจเป็นอย่างมากว่าซูเชิ้งจะเป็นผู้ชนะ
แม้เขาจะยอมรับว่าความแข็งแกร่งของมู่เฉียนซีนั้นน่าทึ่งนัก นางเป็นจอมภูตพลังธาตุแต่สามารถต่อสู้ได้อย่างก้าวกระโดดเช่นนี้ แต่ถึงอย่างไร พลังห่างกันหนึ่งระดับยังนับว่าอาจจะพอมีลุ้น ทว่าห่างกันถึงสองระดับนั้น นางไม่สามารถเอาชนะได้แน่
ฉื่อเอี้ยนแห่งสำนักอวิ๋นเยียนก็รู้สึกเช่นนั้นเช่นเดียวกัน มู่เฉียนซีไม่มีทางชนะได้ในรอบที่สามนี้ เขาคิดในใจ ‘ถึงเวลาที่แม่นางผู้นี้จะต้องลิ้มรสความพ่ายแพ้แล้ว ข้าจะเป็นคนไปปลอบใจนางเอง และหากว่าแม่นางผู้นี้สามารถรักษาพรสวรรค์นี้ได้จริง เกรงว่าความสำเร็จในอนาคตจะไม่น้อยหน้าไปกว่าคุณหนูใหญ่อวิ๋นเฟิง’
ผู้ตัดสินประกาศขึ้นว่า “เริ่มการประลอง!”
มู่เฉียนซีทำได้ดีมากในสองรอบแรก แน่นอนว่าซูเชิ้งไม่ประมาทคู่ต่อสู้ผู้นี้แน่นอน
กระบี่ยาวถูกซูเชิ้งชักออกมาจากฝัก อากาศได้พัดกระโชกไปอย่างรุนแรง เขาตะโกนอย่างเย็นชา “หมื่นมังกรสังหาร!”
มู่เฉียนซีตอบสนองอย่างว่องไว “โล่วิญญาณวารี! ”
พลังธาตุวารีหลอมรวมตัวเข้าหากัน มู่เฉียนซีนางโบกมือ พลันมีโล่วารีสีฟ้าขวางหน้านางเอาไว้
.