— ตูม! —
การโจมตีของซูเชิ้งทำลายเกราะป้องกันของมู่เฉียนซีได้
มู่เฉียนซีหลบหลีกการไล่ล่าของกระบี่อย่างรวดเร็ว ทว่ากระบี่เล่มนั้นกลับไล่ตามนางอย่างสุดชีวิต
ซูเชิ้งรู้ว่าความเร็วของมู่เฉียนซีมีขีดจำกัด ตราบใดที่ตามนางทัน เขาก็สามารถเอาชนะนางได้ และในขณะเดียวกันนั้น กระบี่สนิมปรากฏขึ้นกลางอากาศสกัดกั้นกระบี่เล่มนั้นของซูเชิ้งเอาไว้
— ปัง! —
เกิดเสียงดังสนั่นลั่นพสุธา พื้นเวทีการประลองใต้เท้าของทั้งสองปริแตกไปในทันใด
แทบทุกผู้คนผงะไปชั่วขณะ มองไปบนเวทีการประลอง เห็นหญิงสาวในชุดม่วง ในมือนางถือกระบี่ที่เต็มไปด้วยคราบสนิมกำลังจะหัก ช่างให้ความรู้สึกที่ไม่เหมือนใครดีแท้!
กระบี่ของนางนั้นดูทรุดโทรมยิ่งนัก มีเพียงปลายกระบี่เท่านั้นที่ส่องแสงสีแดงเข้ม ส่วนอื่นของกระบี่ดูชำรุดทรุดโทรมทั้งหมด
ซูเชิ้งยิ้ม กล่าวว่า “ศิษย์น้อง หากสำนักเฟินเทียนของเจ้าไม่มีกระบี่ดี ๆ ใช้ ศิษย์พี่อย่างข้าให้เจ้ายืมใช้ก่อนก็ได้ เจ้าจะได้ไม่ต้องเอากระบี่ซอมซ่อนี้มาต่อสู้กับข้าอย่างไรเล่า”
ฉื่อเอี้ยนแห่งสำนักอวิ๋นเยียนเห็นกระบี่ซอมซ่อของนางก็ขมวดคิ้วเป็นปม กระบี่วิเศษถึงจะคู่ควรกับหญิงงาม มิใช่กระบี่สนิมซอมซ่อเช่นนี้
ดูเหมือนว่าหลังจากจบการประลองครานี้ เขาจะต้องเตรียมดาบวิญญาณระดับสูงให้นางสักเล่มแล้ว
มู่เฉียนซีกล่าวอย่างเย็นชา “ไม่จำเป็น ข้าว่ากระบี่เล่มนี้เหมาะกับข้าเป็นที่สุด”
กล่าวจบร่างสีม่วงพลันกะพริบ มือข้างหนึ่งของนางร่ายเพลงกระบี่กวัดแกว่งไปมา จากนั้นกระบี่มังกรเพลิงก็โจมตีคู่ต่อสู้ในทันที
— ปัง! —
พลังระหว่างสายฟ้าและเปลวเพลิง ทั้งสองได้ต่อสู้ปะทะกันอีกครั้งอีกครา จากนั้นเมื่อปลายกระบี่มังกรเพลิงขยับ มันก็ได้เฉือนเข้าหากระบี่ยาวของคู่ต่อสู้ ฉากที่น่าทึ่งพลันปรากฏขึ้น
เมื่อกระบี่มังกรเพลิงสัมผัสกับกระบี่ยาวของซูเชิ้ง ดูเหมือนว่ากระบี่ยาวของซูเชิ้งนั้นอ่อนนุ่มเสียยิ่งกว่าเต้าหู้ มันหักลงในที่สุด…
— เกร๊ง! —
กระบี่ยาวของซูเชิ้งหักสองท่อน และกระบี่มังกรเพลิงของมู่เฉียนซีก็เคลื่อนไหวตรงเข้าหาเขา ไม่คิดจะให้เขาได้พักแม้แต่น้อย
— ฉึก! —
กระบี่มังกรเพลิงจมเข้าที่ไหล่ซ้ายของซูเชิ้ง โลหิตสีแดงสดไหลออกมา หากกระบี่มังกรเพลิงเอียงเอนเพียงเล็กน้อย มีหวังคงปักทะลุหัวใจของเขาเป็นแน่แท้
ซูเชิ้งกล่าวด้วยใบหน้าซีดเผือด “ข้าแพ้แล้ว…”
เจ้าสำนักชางเยี่ยรู้สึกอึดอัดใจระคนฉงนสงสัย จึงกล่าวถามขึ้นว่า “คุณชายฉื่อ คุณชายพอจะรู้หรือไม่ว่ากระบี่ในมือมู่เฉียนซีเล่มนั้นเป็นกระบี่ระดับใด ? กระบี่ของศิษย์ข้านั้นเป็นอาวุธวิญญาณระดับห้า เหตุใดถึงหักอย่างง่ายดายเช่นนี้เล่า ?”
ในตอนนี้นั้น ฉื่อเอี้ยนรู้สึกงงงวยไม่แพ้กัน “ข้าก็ดูไม่ออกเช่นกันว่ากระบี่สนิมนั่นเป็นอาวุธวิญญาณระดับใดกันแน่ แต่กระบี่สนิมนั่นดูแปลกประหลาดไปสักหน่อย”
ฉื่อเอี้ยนมองไปที่ร่างร่างนั้น เห็นได้ชัดว่าเขาสนใจมู่เฉียนซีมากขึ้นเรื่อย ๆ
ผู้ตัดสินการประลองประกาศขึ้นว่า “มู่เฉียนซีแห่งสำนักเฟินเทียนเป็นผู้ชนะ!”
การประลองของกลุ่มสามจบเร็วที่สุด ส่วนกลุ่มอื่น ๆ นั้นก็เริ่มมีผลออกมาในทีละรอบประลอง
สำนักเฟินเทียน นอกจากกลุ่มของมู่เฉียนซีที่ได้รับชัยชนะแล้ว กลุ่มอื่น ๆ ต่างพ่ายแพ้กันไปหมด ฮั่วอู๋จี๋ก็ดูเหมือนจะจนปัญญาเช่นกัน หากผู้นำตระกูลมู่ไม่มาเข้าร่วมประลองในครานี้ด้วย มีหวังสำนักเฟินเทียนต้องพ่ายแพ้ตั้งแต่รอบแรก คงจะไม่อาจมาถึงรอบชิงได้ ส่วนสามอันดับแรกนั้นก็ไม่ต้องเอ่ยถึงเลย
การประลองรอบแบ่งกลุ่มได้จบสิ้นลงในวันแรก ในวันพรุ่งจะดำเนินการประลองในรอบถัดไป
ฮั่วอู๋จี๋กล่าวขึ้น “ผู้นำตระกูลมู่ การประลองรอบต่อไปขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว ศิษย์สำนักเฟินเทียนของพวกเราพ่ายแพ้กันไปทั้งหมด เจ้าช่างเก่งกาจนัก”
เหล่าบรรดาศิษย์ของสำนักเฟินเทียนต่างก้มหน้าลงด้วยความอับอาย เดิมทีพวกเขาสงสัยในความสามารถและความแข็งแกร่งของสตรีผู้นำตระกูลมู่ คิดว่านางจะเป็นตัวถ่วงให้กับสำนักเฟินเทียน ทว่าช่างน่าอับอายเสียจริง ผู้ที่เป็นตัวถ่วงให้สำนักนั้นกลับเป็นพวกเขาเอง
เมื่อการประลองจบลง มู่เฉียนซีและพวกก็กลับไปพักผ่อนที่จวนรับรอง
ยามอาทิตย์อัสดงตกคล้อยมาเยือน สาวใช้ผู้หนึ่งก้าวเข้ามา กล่าวขึ้นว่า “แม่นางมู่ คุณชายฉื่อจากสำนักอวิ๋นเยียนขอพบแม่นางเจ้าค่ะ”
ดวงตาของสาวใช้ผู้นั้นฉายแววอิจฉาริษยาเล็กน้อย สตรีผู้นำตระกูลมู่ผู้นี้ สามารถทำให้คุณชายฉื่อจากสำนักระดับหนึ่งอย่างสำนักอวิ๋นเยียนสะดุดตาได้ อนาคตของแม่นางผู้นี้ไปไกลเป็นแน่
แสงประกายเย็นวาบผ่านดวงตาของมู่เฉียนซี นางกล่าวด้วยเสียงแผ่วเบา “พาข้าไปพบเขา”
เมื่อนางเดินมาถึงห้องโถง ก็ได้เห็นชายหนุ่มในชุดขาวกำลังนั่งดื่มชาอยู่ด้วยท่วงท่าสง่างดงาม ทุกการเคลื่อนไหวของคุณชายผู้สูงศักดิ์ กอปรกับรูปลักษณ์ที่ไม่ธรรมดาของเขา และฐานะของสำนักอวิ๋นเยียน ไม่รู้ว่าหญิงสาวกี่คนที่โดนเขาหลอกให้หลงใหล
มู่เฉียนซีกล่าวถาม “คุณชายฉื่ออยากพบข้า ไม่ทราบว่ามีเรื่องอันใดรึ ?”
มุมปากฉื่อเอี้ยนเผยให้เห็นถึงรอยยิ้มอ่อนโยน “วันนี้ข้าได้เห็นความสามารถของแม่นางมู่ ความสามารถของแม่นางนั้นไม่เลวเลย ข้าชื่นชอบเจ้ามาก บนเวทีประลองข้าเห็นว่าแม่นางได้สูญเสียพลังวิญญาณไปไม่น้อย จึงถือโอกาสนี้เอายาเพิ่มพลังวิญญาณมามอบให้แก่แม่นาง”
ฉื่อเอี้ยนเป็นชายหนุ่มที่เกี้ยวพาราสีหญิงสาวได้ยอดเยี่ยมมาก เขาไม่ได้บอกจุดประสงค์การมาหานางตรง ๆ ทว่าบอกเป็นนัย ๆ ถึงความใส่ใจโดยการนำเอายาวิญญาณมาให้นาง
เขาหยิบยาออกมาขวดหนึ่ง “นี่เป็นยาหุยหลิง ยาฟื้นฟูพลังวิญญาณระดับสอง”
ในเซี่ยโจวมีนักหลอมยาค่อนข้างน้อย ยาระดับสองในเซี่ยโจวนั้น นับว่าเป็นยาวิญญาณที่มีค่าอย่างมากแล้ว
ฉื่อเอี้ยนมอบยาระดับนี้ให้แก่นาง เขามีความมั่นใจมากว่านางจะชอบและมีความรู้สึกซาบซึ้งใจต่อน้ำใจที่เขามอบให้ ทว่าเขาไม่รู้เลยว่าสำหรับมู่เฉียนซีแล้ว ยาระดับสองนี้ไม่ต่างอะไรกับของเหลือใช้ของนางเลย นางมียาระดับสูงและดีกว่ายาหุยหลิงนี้อยู่มากล้นเหลือคณานับ
ยานี้ต่อให้มอบให้กับลูกน้องของนางให้กินเล่นเป็นขนมขบเคี้ยว ก็เกรงว่าพวกเขาจะยังไม่ชอบสักเท่าไหร่เลย
ดังนั้นมู่เฉียนซีจึงตอบปฏิเสธไป “ข้าขอขอบคุณคุณชายฉื่อที่มีน้ำใจ แต่ว่าวันนี้ข้าสูญเสียพลังวิญญาณไปไม่มากเท่าไหร่นัก ดังนั้นไม่จำเป็นต้องใช้ยาหุยหลิงอันล้ำค่านี้”
ฉื่อเอี้ยน “แม่นางมู่อย่าได้เกรงใจไปเลย นี่เป็นเพียงยาระดับสองเท่านั้นเอง ข้าเป็นศิษย์ของสำนักระดับหนึ่งอย่างสำนักอวิ๋นเยียน ยาระดับสองเช่นนี้ข้ามิขาดแคลน”
ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นศิษย์แห่งสำนักอวิ๋นเยียน ทว่าเขาก็ไม่ได้รับยาระดับสองเช่นนี้มามากนัก แต่เพื่อเอาใจหญิงสาว ก็จำต้องใจใหญ่เอาไว้ก่อน
รูปลักษณ์งดงาม ทั้งยังใจใหญ่เช่นนี้ เป็นไปไม่ได้เด็ดขาดที่หญิงสาวจะไม่หลงใหลเหลียวแลเขา!
แต่การเสแสร้งแกล้งทำเป็นใจดีต่อหน้ามู่เฉียนซีเช่นนี้ ฉื่อเอี้ยนไม่ได้รู้ตนเองเลยว่าเขาทำผิดวิธีเสียแล้ว
มู่เฉียนซี “คุณชายฉื่อ ข้าไม่ต้องการยานี้จริง ๆ หากคุณชายไม่มีอะไรแล้ว ข้าขอตัวกลับไปฝึกฝนเตรียมการประลองก่อนจะดีกว่า”
ใบหน้าของฉื่อเอี้ยนพลันแข็งทื่อไป ช่างน่าฉงนเสียจริง อุบายร้อยเล่มเกวียนของเขานั้นจะใช้กับหญิงสาวศิษย์สำนักเล็ก ๆ นี้ไม่ได้เลยเชียวหรือ ?
หญิงสาวผู้นี้เจตนาทำเช่นนี้เพื่อต้องการจะควบคุมเขา ต้องเป็นเช่นนั้นแน่!
ฉื่อเอี้ยนยิ้มพลางกล่าวขึ้น “เช่นนั้นวันนี้ข้าคงรบกวนแม่นางมู่แล้ว แม่นางมู่ไปเตรียมพร้อมการประลองเถอะ ข้าจะรอดูการประลองของแม่นางในวันพรุ่งนี้”
กล่าวจบฉื่อเอี้ยนก็เดินออกไปด้วยท่าทีสงบ มู่เฉียนซีมองตามไปด้านหลังของเขาด้วยสายตาเย็นชามิแปรเปลี่ยน
นางคิดในใจ ‘ทางที่ดีเจ้าอย่ามายุ่งกับข้าจะดีกว่า มิเช่นนั้นข้าจะไม่เกรงใจ ข้าอาจจะฆ่าเจ้าก็เป็นได้ แม้แต่กระดูกก็ไม่ให้กลับไปถึงสำนักอวิ๋นเยียน’
สำหรับศิษย์สำนักอวิ๋นเยียนนั้น มู่เฉียนซีไม่มีความรู้สึกดี ๆ ให้เลยแม้แต่น้อย
มู่เฉียนซีกลับไปฝึกฝนต่อ เมื่อครั้งที่อยู่ในทะเลทรายเมฆามืดครานั้น เพื่อที่จะจัดการกับคู่ต่อสู้ผู้แข็งแกร่งของหุบเขาหมอเทวดา จำต้องให้นางเพิ่มพลังความแข็งแกร่งเป็นถึงระดับจักรพรรดิ และทำให้พลังวิญญาณของนางลดลงหนึ่งขั้น ทว่าในตอนนี้ ถึงเวลาที่จะต้องฟื้นฟูพลังกลับมาให้เร็วที่สุดแล้ว
เหล่าอัจฉริยะของสำนักใหญ่ ๆ ในทางตกของเซี่ยโจวนั้น บางคนก็รับมือได้ยากนัก
ยามดึกสงัด
ในเวลานั้นเอง ร่างร่างหนึ่งใกล้เข้ามาในเรือนพักผ่อนของมู่เฉียนซี ชิงอิ่งผู้ที่คอยปกป้องนางอยู่ข้าง ๆ พลันรู้สึกได้ว่ามีใครเข้ามา เขาพุ่งเข้าไปโจมตีคนผู้นั้นอย่างไร้ความปรานี!
— ปัง! —
“อ๊าก!”
เสียงร้องดังลั่นขึ้น สร้างความตื่นตระหนกให้กับศิษย์และเจ้าสำนักเฟินเทียนเป็นอย่างมาก
.