ฮั่วอู๋จี๋และพวกรีบวิ่งเข้ามา ได้เห็นคุณชายฉื่อกระอักเลือดคำโต
ฮั่วอู๋จี๋อึ้งไปเล็กน้อย “คุณชายฉื่อ เหตุใดถึงมาอยู่ที่นี่ได้ ?”
สีหน้าของฉื่อเอี้ยนแสดงออกถึงความกระอักกระอ่วน จากนั้นจึงกล่าวอย่างกรุ่นในอารมณ์โกรธ “เดิมทีข้าจะมาเยี่ยมแม่นางมู่ แต่กลับคิดไม่ถึงว่าจู่ ๆ ก็จะมีคนมาทําร้ายข้า เขา…”
ในที่สุดฉื่อเอี้ยนก็ได้เห็นใบหน้าของชิงอิ่งอย่างชัดเจน ใบหน้างดงามนั้น ทําให้เขารู้สึกด้อยกว่าเสมือนว่าตนกลายเป็นฝุ่นละออง
ให้ตายเถอะ! เหตุใดโลกนี้ถึงได้มีชายที่รูปงามมากเพียงนี้
ชิงอิ่งมองเขาอย่างเย็นชาแล้วกล่าวว่า “เฉียนกําลังฝึกบําเพ็ญตบะ ผู้ใดก็ไม่สามารถเข้าใกล้นางได้”
ฮั่วอู๋จี๋หัวเราะพลางกล่าวว่า “หึ ๆ เข้าใจผิดแล้ว นี่เป็นความเข้าใจผิด ผู้นี้คือองครักษ์ของสาวน้อยนางนั้น เขาคงคิดว่าคุณชายฉื่อเป็นคนร้ายจึงได้โจมตี ขอเจ้าโปรดอย่าติดใจไปเลย”
ผู้นี้คือศิษย์ของสํานักอวิ๋นเยียนแห่งสํานักนิกายระดับหนึ่ง ฮั่วอู๋จี๋ย่อมไม่กล้าล่วงเกิน
ใบหน้าของฉื่อเอี้ยนบิดเบี้ยวเหยเก เขาได้รับบาดเจ็บสาหัส ทั้งซี่โครงของเขายังหักไปหลายซี่ ถ้าหากไม่ใช่เพราะเขามีเกราะอยู่ คาดว่าอวัยวะภายในคงแตกเป็นเสี่ยง ๆ ไปแล้วเป็นแน่
ชิงอิ่งโยนยาออกมาหนึ่งขวด นี่ถือเป็นของว่างของเขา
“เจ้าไปได้แล้ว”
ฉื่อเอี้ยนเปิดยาดู มันคือยาระดับห้า สำหรับใช้รักษาอาการบาดเจ็บ เม็ดยาระดับนี้ในหนึ่งปี มักจะมีการแจกจ่ายไม่ถึงหนึ่งเม็ด สีหน้าของเขาแข็งทื่อไป ชายใบหน้างามหล่อเหลาผู้นี้หยิบออกมาตั้งหนึ่งขวด
ช่างน่าตกใจนัก!
ไม่แปลกใจเลยที่สตรีมู่ผู้นั้นไม่สนใจเขา ที่แท้ผู้พิทักษ์ข้างกายนางไม่เพียงแต่รูปงาม แข็งแกร่ง เขายังเข้ามาช่วยเหลืออย่างใจกว้าง
ฉื่อเอี้ยนชอบใจอย่างมาก ทว่าเขาก็รู้ดีว่าชายตรงหน้านี้อย่างน้อยคงมีพลังโจมตีระดับจักรพรรดิอย่างแน่นอน เขาไม่คิดทําอะไรบุ่มบ่ามจนกว่าเขาจะรู้รายละเอียดของอีกฝ่าย
เขามั่นใจอยู่เรื่องหนึ่ง สตรีมู่ผู้นั้นไม่ได้สนใจเขาเลยแม้แต่น้อย แต่สาวงามผู้มีพรสวรรค์ที่ดีเช่นนี้ เขาจะไม่ยอมแพ้เด็ดขาด!
ฉื่อเอี้ยนถือยาซึ่งเปรียบเสมือนขนมของชิงอิ่งพลางกล่าวขึ้นว่า “ในเมื่อเจ้าขอโทษอย่างจริงใจ เช่นนั้นข้าก็ไม่ถือสา ทักทายแม่นางมู่แทนข้าด้วย”
หลังจากพูดจบ ฉื่อเอี้ยนก็หันหลังเดินจากไปอย่างรวดเร็ว เขาไม่มีหน้าจะอยู่ต่อแล้ว
เมื่อฉื่อเอี้ยนจากไป เจ้าสํานักฮั่วก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา “ฮ่า ๆ ๆ ข้าชื่นชมความกล้าหาญของเจ้าคุณชายนั่นจริง ๆ! เพียงเพื่อการลอบเกี้ยวในตอนกลางคืนทำให้เขากล้ามาแตะต้องผู้นำตระกูลมู่ถึงที่นี่ นี่มิใช่การหาเรื่องโดนทําร้ายหรอกรึ ? ต่อให้ไม่มีชิงอิ่ง ผู้นำตระกูลมู่ก็สามารถวางยาพิษเขาให้ตายได้”
ชิงอิ่งมิได้กล่าวอะไร เขาหายตัวไปต่อหน้าฮั่วอู๋จี๋
มู่เฉียนซีมองชายชุดเขียวที่งดงามตรงหน้า นางยิ้ม กล่าวว่า “ชิงอิ่ง ข้าว่าเจ้าเหมือนมนุษย์มากขึ้นเรื่อย ๆ”
ก่อนหน้านี้ ชิงอิ่งนั้นนอกจากทำการสู้รบแล้ว สิ่งที่เขาสนใจก็คือการต่อสู้ แต่ครั้งนี้ชิงอิ่งกลับมีความเป็นมนุษย์มากขึ้น เพื่อที่จะทําให้เจ้าคุณชายนั่นหุบปากลง เขาเลือกที่จะหยิบยาของตัวเองออกมาเพื่อไม่ให้ชายผู้นั้นมารบกวนนาง
ชิงอิ่งกล่าวตอบเสียงเบา “ติดตามเฉียนมาเป็นเวลานานแล้ว ข้าย่อมเข้าใจสิ่งต่าง ๆ ได้มากขึ้น”
มู่เฉียนซียิ้มก่อนจะกล่าว “อืม วันนี้เจ้าทําได้ดีมาก เมื่อข้ากลับถึงจวน ข้าจะปรุงยาให้เจ้ามากขึ้น”
ใบหน้าที่งดงามของชิงอิ่งเผยให้เห็นรอยยิ้มจาง ๆ เขากล่าวสั้น ๆ ว่า “ดี”
เรื่องน่าอายของฉื่อเอี้ยนในคืนนั้นไม่ได้ถูกแพร่งพรายออกไป การแข่งขันในวันรุ่งขึ้นยังคงดําเนินต่อไปตามเดิม
ในเจ็ดสํานักใหญ่ แต่ละสํานักจะมีศิษย์คนหนึ่งที่ได้เข้ารอบชิงชนะเลิศ
ผู้ตัดสินประกาศขึ้นว่า “การประลองรอบต่อไป มู่เฉียนซีแห่งสํานักเฟินเทียน พบกับ หลงเฉียงแห่งสำนักเชิ้งเทียน”
คู่ต่อสู้ในรอบชิงชนะเลิศมีระดับสูงกว่าคู่ต่อสู้ในรอบกลุ่ม ความแข็งแกร่งของหลงเฉียงผู้นี้จัดได้ว่าแข็งแกร่งอย่างมาก เมื่อตอนที่เขาอายุได้ยี่สิบห้าปี เขาฝึกฝนจนสามารถเป็นปรมาจารย์ภูตระดับห้าได้
อายุของเขามากกว่ามู่เฉียนซี แม้ว่าฝีมือของมู่เฉียนซีจะร้ายกาจมากเพียงใดในรอบการแข่งขันที่ผ่านมา เขาก็คิดว่าเส้นทางแห่งการชนะติดต่อกันของมู่เฉียนซีจะต้องจบลงที่นี่
ผู้ตัดสินประกาศขึ้นว่า “การแข่งขันเริ่มขึ้นได้”
เมื่อผู้ตัดสินประกาศเริ่มการแข่งขัน หมัดของหลงเฉียงก็พุ่งเข้าใส่มู่เฉียนซีราวกับเป็นค้อนสองอัน
คลื่นของการโจมตีที่รุนแรงกวาดผ่านพื้นดินเข้ามา
— ปัง! ปัง! ปัง! —
มีเสียงระเบิดดังสนั่นออกมาจากอากาศโดยรอบ
มู่เฉียนซีขยับตัว การเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่ดุร้ายเช่นนี้ ข้อได้เปรียบของนางคือความเร็ว
— ตูม! ตูม! ตูม! —
เขาไล่ตามมู่เฉียนซีอย่างดุเดือด การโจมตีของมู่เฉียนซีไม่มีผลต่อเขาแม้แต่น้อย
เขาโจมตีมู่เฉียนซีอย่างบ้าคลั่ง แต่สิ่งที่ทําให้เขารู้สึกอยากจะกระอักเลือดคือ… ทุกครั้งที่เขาผลักมู่เฉียนซีให้เข้าสู่สถานการณ์ที่ต้องสิ้นชีวิต พลังวิญญาณของมู่เฉียนซีก็มักจะพุ่งขึ้นสู่จุดสูงสุดอีกครั้ง
เหล่าผู้ชมดูเบิกตากว้าง “แม่นางมู่ผู้นี้กินยาวิเศษอันใดมา เหตุใดนางจึงฟื้นตัวได้เร็วถึงเพียงนั้น ?”
“ต่อให้เป็นยาธรรมดา ๆ ทว่านางกินเข้าไปมากนัก หากไม่ฟื้นตัวเร็วก็แปลกประหลาดแล้ว”
มุมปากของฉื่อเอี้ยนกระตุกเล็กน้อย ไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดแม่นางมู่ผู้นี้ถึงไม่ชอบยาระดับสองที่เขามอบให้นางเมื่อวาน เป็นเพราะนางสามารถกินยาระดับดี ๆ ได้ตามใจชอบประหนึ่งว่ามันเป็นสิ่งหาง่าย
ยาระดับสองเหล่านั้นที่เขามอบให้นางเมื่อวานดูไร้ค่า ในสายตาของแม่นางมู่ เขาคงเหมือนกับตัวตลกที่เต้นแร้งเต้นกาเรียกร้องความสนใจ
เวลานี้ฉื่อเอี้ยนทั้งเขินอายทั้งโกรธข้องหมองเคือง เขามองไปที่นาง นางดูใจสู้ นางดูกระหายจะเอาชนะ นางดูแข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อย ๆ
มู่เฉียนซีที่ถูกไล่ล่าอยู่พักหนึ่งพลันหยุดฝีเท้าลง กล่าวอย่างเย็นชาว่า “ต่อไปก็ถึงเวลาที่ข้าจะลงมือแล้ว”
ในตอนนี้เอง ธาตุวารีก่อตัวขึ้น ทั่วบริเวณที่ประลองกันดูเหมือนจะก่อตัวเป็นชั้นหมอกน้ำแข็งในพริบตา
“มังกรวารีพิฆาต!” มู่เฉียนซีตะโกน
มังกรยักษ์ที่แผ่กลิ่นอายเย็นยะเยือกพุ่งออกมา ทันใดนั้นหลงเฉียงรู้สึกว่าร่างกายของเขากำลังถูกแช่แข็ง
— ปัง! —
มังกรวารีพุ่งออกไป โยนร่างของหลงเฉียงขึ้นไปในอากาศ ร่างเขาลอยขึ้น ๆ ก่อนจะตกลงจากเวทีประลอง
ม่านตาของทุกคนหดเล็กลง “กระบวนท่านี้น่ากลัวเกินไปแล้ว! ดูไปแล้วคงไม่มีคู่ต่อสู้ระดับเดียวกัน ไม่มีใครสามารถต้านทานนางผู้นั้นได้”
“สาวน้อยผู้นี้วิปริตโดยแท้ หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ยังจะมีใครเป็นคู่ต่อสู้ของนางได้อีกรึ ?”
“ใช่…”
แม้แต่ฉื่อเอี้ยนก็ตกใจจนกล่าวอะไรไม่ออก เขาอยู่ในสํานักอวิ๋นเยียน เคยพบเจออัจฉริยะมามากมายในสํานัก ทว่าเมื่อเห็นหญิงผู้นี้ในวันนี้ กลับพบว่าอัจฉริยะเหล่านั้นของสํานักพวกเขาธรรมดาอย่างมากเมื่อเทียบกับนาง
สํานักเฟินเทียนได้สังหารคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งเช่นนี้ไป ทําให้สำนักนิกายใหญ่อื่น ๆ รู้สึกถึงวิกฤติที่คืบคลานเข้ามา
ต้องคิดหาวิธีจัดการกับสาวน้อยผู้นี้ มิเช่นนั้นที่หนึ่งคงต้องเป็นของสำนักเฟินเทียนเป็นแน่แท้
ผู้ตัดสินการประลองประกาศขึ้นว่า “มู่เฉียนซีแห่งสำนักเฟินเทียนเป็นผู้ชนะ!”
ต่อไปยังมีอีกสามรอบการแข่งขัน นอกจากมู่เฉียนซีที่เข้าสู่รอบชิงชนะเลิศแล้ว ยังมีหญิงอีกคนที่เข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ นั่นคือ อีซือ แห่งสํานักซวนปิง
นางสวมชุดสีขาว สวมผ้าคลุมหน้าราวกับนางฟ้าแห่งพระราชวังฤดูหนาว ตลอดทางของการแข่งขันนี้ นางได้รับรางวัลชัยชนะอย่างต่อเนื่องอยู่เงียบ ๆ มิได้ดึงความสนใจของเหล่าผู้ชมดูเท่าไหร่นัก
เพราะทุกคนต่างจดจ่ออยู่กับสตรีอายุน้อยผู้เก่งกาจมาแรงในครานี้—มู่เฉียนซี จึงทำให้พวกเขามองข้ามสาวงามจากสำนักซวนปิงผู้นี้ไป
ความหนาวเหน็บแผ่กระจายออกมาอย่างไร้ที่สิ้นสุด นางบังคับให้คู่ต่อสู้ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องยอมพ่ายแพ้
คนพวกนี้กําลังยิ้มเจื่อน ๆ ปีนี้เกิดอะไรขึ้นกัน ? หญิงสองนางนี้แข็งแกร่งกว่าคนอื่น ๆ อย่างออกหน้าออกตา นี่มิใช่ว่าจงใจทําลายความมั่นใจของพวกเขาเหล่าบุรุษหรืออย่างไร ?
การแข่งขันรอบอื่นจบลง และสุดท้ายก็เหลืออีกสี่คนที่เหลืออยู่ในรอบประลอง จากนั้นทั้งสี่คนจะต่อสู้กันสามรอบ ผู้ที่เอาชนะได้มากที่สุดจะถือเป็นผู้ชนะ
คนแรกที่ลงสนามคืออีซือแห่งสํานักซวนปิง นางเอาชนะได้อย่างง่ายดาย และฉื่อเอี้ยนที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉียนซีก็เริ่มสนใจสาวงามอีซือผู้นี้ขึ้นมาแล้ว
ผู้ตัดสินการประลองประกาศขึ้นมา “มู่เฉียนซีแห่งสํานักเฟินเทียน พบกับ สุ่ยชิวแห่งสํานักสุ่ยอวิ๋น”
.