บทที่ 394 คำขอของหลี่จิงเทียน
บทที่ 394 คำขอของหลี่จิงเทียน
ตอนเช้าของวันรุ่งขึ้น ทันทีที่อวี้ฮ่าวหรานมาถึงบริษัท หวังจุน ผู้จัดการทั่วไปก็รอเขาอยู่ในออฟฟิศแล้ว
“ท่านประธาน ท่านฉลาดมากครับ หลังจากที่บริษัทเล็ก ๆ พวกนั้นตกเป็นของเราเมื่อวานนี้ ความมั่นคงของเราก็เติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดดเลยครับ!”
เขาตกตะลึงกับกลยุทธ์ของท่านประธานอย่างมาก เพียงแค่เวลาไม่นานเขาก็สามารถซื้อบริษัทเล็ก ๆ หลายแห่งได้อย่างรวดเร็ว
“อืม ก็แค่มีคนยกบริษัทพวกนั้นให้น่ะ ฉันเลยปล่อยไปไม่ได้”
อวี้ฮ่าวหรานตอบเสียงเรียบ บริษัทเหล่านี้เป็นเหตุผลที่กงซุนซายังมีชีวิตอยู่ หวังจุนรู้สึกประหลาดใจกับคำพูดของเขา
มีคนยกให้?
ทุกวันนี้ยังมีคนยกบริษัทให้คนอื่นโดยไม่หวังผลตอบแทนอีกเหรอ?
เขาไม่เข้าใจจริง ๆ
“ท่านประธานอวี้ครับ เมื่อคืนนี้ผมสรุปรายละเอียดของบริษัทพวกนั้นมาให้แล้วครับ”
พูดจบก็วางเอกสารรายละเอียดที่อยู่ในมือลงบนโต๊ะ
“ท่านลองอ่านดูนะครับ บริษัทพวกนี้ไม่ได้ผลิตชิ้นส่วนเครื่องยนต์เหมือนเรา”
อวี้ฮ่าวหรานเลิกคิ้วพร้อมหยิบเอกสารขึ้นดู บริษัทแรกเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์
บริษัทที่สองก็เช่นกัน
หลังจากอ่านข้อมูลอย่างละเอียดแล้ว เขาก็ต้องประหลาดใจเมื่อรู้ว่าสี่ในห้าบริษัทของผู้อาวุโสกงซุนซาล้วนเป็นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์
ถ้ามองตามหลักธุรกิจแล้ว รายได้ของบริษัททั้งสี่นับว่าไม่เลว
“ผู้เฒ่าคนนี้เปิดบริษัทอสังหาริมทรัพย์สี่แห่งเพื่อแข่งกับตัวเองเหรอ?”
อวี้ฮ่าวหรานไม่เข้าใจความคิดของอีกฝ่ายจริง ๆ เขาจึงพูดไม่ออกไปชั่วขณะ
ผู้จัดการทั่วไปหวังตอบทันที “ท่านประธานอวี้ครับ แม้ว่าบริษัททั้งสี่จะมีขนาดเล็ก แต่ถ้ารวมทั้งหมดเข้าด้วยกันก็เทียบเท่ากับบริษัทขนาดใหญ่เลยนะครับ ท่านอยากทำธุรกิจอย่างอื่นด้วยไหมล่ะครับ?”
“คุณกำลังจะบอกว่าให้เราทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ด้วยน่ะเหรอ?”
“ถูกต้องครับ ตอนนี้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ค่อนข้างไปได้สวย ถ้าเราเอาบริษัทเล็ก ๆ พวกนี้เข้าสู่ตลาดอสังหาริมทรัพย์ ผมว่ามันเป็นทางเลือกที่ดีนะครับ”
ผู้จัดการทั่วไปหวังพูดสมเหตุสมผลมาก เมื่อได้ยินแบบนั้น อวี้ฮ่าวหรานก็พยักหน้าเล็กน้อย
ในเมืองฮ่วยอัน การแข่งขันในตลาดธุรกิจเครื่องยนต์มีสูงมาก หากเขาทำธุรกิจนี้เพียงอย่างเดียว ไม่นานเครือฮ่าวหรานจะต้องล่มสลายแน่นอน…
“ถือว่าเป็นโอกาสที่ดีมาก”
เขาเห็นด้วยกับความคิดของอีกฝ่าย
ในอนาคตเขาอาจกว้านซื้อโบราณวัตถุจำนวนมาก เมื่อความแข็งแกร่งของเขาเพิ่มขึ้น รังสีของวัตถุโบราณทั้งหลายก็แข็งแกร่งขึ้นด้วย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากบรรลุขั้นสูงสุดของขอบเขตก่อรากฐาน ถ้าต้องการบรรลุขอบเขตที่แข็งแกร่งที่สุด เขาจะต้องฝึกตนให้หนักขึ้น
“บ่ายนี้เรียกผู้บริหารระดับสูงมาประชุมเแล้วฟังความคิดเห็นของพวกเขากัน”
อวี้ฮ่าวหรานตัดสินใจ แม้จะมีอำนาจสูงสุดในการบริหาร แต่ชายหนุ่มก็อยากรับฟังความคิดเห็นจากผู้บริหารคนอื่นด้วย
ผู้จัดการทั่วไปหวังตอบรับ ก่อนเดินออกไป ขณะเดียวกัน หลี่จิงเทียนก็เดินสวนเข้ามาในห้อง
“พี่…พี่เขย”
หลังพ้นโทษและออกจากคุก เขาก็เกรงใจพี่เขยมากขึ้น อวี้ฮ่าวหรานเงยหน้าขึ้นตามเสียงเรียก
“มีอะไรเหรอ เข้ามาสิ”
หลังจากได้รับอนุญาต หลี่จิงเทียนจึงเดินเข้าไปนั่งบนโซฟาแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาอย่างรวดเร็ว
“พี่เขยดูสิ! กัวหย่งซินโทรหาผมอีกแล้ว! เหมือนเขาจะรู้ว่าผมออกมาแล้วเลยพยายามเกลี้ยกล่อมผมให้ร่วมมือด้วย”
ขณะที่พูดอยู่นั้น เขาก็เปิดบันทึกการโทรให้พี่เขยดู และสายที่โทรเข้าล่าสุดก็เป็นชื่อของกัวหย่งซิน
อวี้ฮ่าวหรานเงยหน้าขึ้นมองแล้วเห็นว่าเป็นจริงตามที่อีกฝ่ายบอก ดวงตาของเขาจึงฉายแววประหลาดใจ
“แน่ใจเหรอว่าเป็นกัวหย่งซิน?”
“แน่ใจสิ! ผมไม่มีวันลืมเสียงเขาหรอก”
หลี่จิงเทียนพยักหน้าอย่างรวดเร็ว
“อืม ไม่คิดว่าเขาจะเคลื่อนไหวเร็วขนาดนี้ ดูเหมือนว่าเขายังพอมีอิทธิพลอยู่บ้าง”
อวี้ฮ่าวหรานวางเอกสารในมือลง เพราะจำเป็นต้องให้ความสนใจเรื่องนี้อย่างมาก
“พี่เขย พอวางสาย ผมก็รีบมาบอกข่าวพี่ทันทีเลยนะ”
หลังจากเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังให้ความสนใจ หลี่จิงเทียนจึงรีบฟ้องทันที
“ผมไม่อยากทำตัวเหมือนเดิมแล้ว”
“ฮ่า ๆ ทำไมนายไม่ร่วมมือกับเขาล่ะ?”
อวี้ฮ่าวหรานเงยหน้ามองคนรวยรุ่นสองด้วยสายตาหยอกล้อ
“ผมจะทำแบบนั้นได้ยังไง! พี่เขย ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าพี่แข็งแกร่งที่สุด”
ดูเหมือนว่าหลี่จิงเทียนจะเข็ดหลาบกับเรื่องที่เกิดขึ้น คำพูดของเขาจึงอัดแน่นไปด้วยคำเยินยอ ไม่มีความโกรธเคืองเลย
มีแต่ความกระตือรือร้นที่จะเอาใจพี่เขย
“อืม นายกลับไปก่อนเถอะ ไม่ต้องห่วง”
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายประพฤติตัวดี อวี้ฮ่าวหรานจึงไม่ได้พูดเสียดสีอีก ถึงอย่างนั้นหลี่จิงเทียนก็ไม่ได้เดินออกไป เขายังคงยืนอยู่ที่เดิม
“เอ่อ…พี่เขย ผม…ผมอยากซื้อ…”
เขาพูดอึกอักด้วยความลังเล
“มีอะไรอีก?”
อวี้ฮ่าวหรานเห็นว่าอีกฝ่ายมีท่าทางลังเล เขาจึงไม่เร่งเร้าให้หลี่จิงเทียนออกไป
“คือ…เอ่อ…ตอนที่ผมอยู่ในคุก พ่อขายรถผมไปแล้ว ตอนนี้ผมเลยต้องขับรถพ่อ ถึงมันจะเป็นรถฮอนด้าราคาหลายแสน แต่ก็ยังเก่าเกินไป”
หลังจากอึกอักอยู่นาน หลี่จิงเทียนก็พูดออกมา
“นายจะให้ฉันซื้อให้เหรอ?”
อวี้ฮ่าวหรานเลิกคิ้วเล็กน้อยด้วยท่าทางขี้เล่น
ไม่คิดว่าคนรวยรุ่นสองที่มีนิสัยเย่อหยิ่งจะออกปากขอเขาเรื่องนี้
พอเห็นว่าพี่เขยเข้าใจสิ่งที่ต้องการสื่อ ดวงตาของหลี่จิงเทียนก็เปล่งประกายด้วยความหวังทันที
“ครับ…พี่เขย ผม…ผมรู้จักคนมากหน้าหลายตา พวกเขาเห็นว่าผมขับรถคันละแสนเลยพากันเยาะเย้ย”
ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะไม่เห็นด้วย
“พี่เขย! ทุกวันนี้ผมมาทำงานที่บริษัทไม่เคยลาเลยนะ ไม่งั้นผมขอยืมเงินพี่ก่อน แล้วจะทยอยจ่ายคืนหลังจากได้เงินเดือน”
หลังจากพูดจบ เขาก็ลืมตาแล้วมองอีกฝ่ายด้วยสายตาคาดหวัง
มุมปากอวี้ฮ่าวหรานกระตุกเล็กน้อย เขาคิดว่าอีกฝ่ายไม่ได้ร้องขอมากเกินไป
เขาสันนิษฐานว่าเพื่อนของคนรวยรุ่นสองน่าจะเป็นคนรวยรุ่นสองเหมือนกัน ในสังคมแบบนี้ถ้ามีใครขับรถราคาแค่แสนกว่า ๆ จะถูกล้อเลียนทันที
“ได้สิ อยากได้รถรุ่นอะไรล่ะ?”
“พี่เขย…พี่เขยจะซื้อให้ผมจริงเหรอ?”
เมื่อได้ยินคำตอบ หลี่จิงเทียนก็แสดงสีหน้าตื่นเต้นทันที เขาต้องใช้ความกล้าอย่างมากในการขอร้องครั้งนี้ เพราะเคยทำความผิดมหันต์มาก่อน
หลังจากครุ่นคิดอยู่สักพัก เขาก็บอกความต้องการของตัวเองอย่างระมัดระวัง
“ผมอยากได้รถสปอร์ตราคาสองล้านหยวนแบบที่ผมเคยขับเมื่อก่อนครับ”
อวี้ฮ่าวหรานพยักหน้า เขาจำได้ว่าเมื่อก่อนคนรวยรุ่นสองเคยขับรถสปอร์ตจริง ๆ
“อืม! ฉันสัญญา ถ้าตอนบ่ายนายว่างแล้วช่วยโทรเรียกหลี่หรงมาหน่อยนะ ฉันจะพาพวกนายไปซื้อรถ”
แน่นอนว่าเขามีเหตุผลเสมอ!