ด้านล่างตึก
ฉินหร่านมองออกไปไม่ไกลก็เห็นรถของเฉิงเจวี้ยนจอดที่ข้างทางพอดี
เธอใช้นิ้วเกี่ยวผ้าพันคอแล้วเดินไปที่รถเฉิงเจวี้ยน
ระหว่างทางที่เธอไม่ได้สวมผ้าพันคอเพียงหนึ่งนาที
ไหนล่ะจะคิดว่าเพิ่งเดินไปได้แค่สองก้าวก็ถูกชายร่างสูงใหญ่ขวางไว้ เขาถือบาสเกตบอลมองมาที่ฉินหร่าน ใบหน้าเท่ๆ ที่เป็นแสงเรืองรองแดงเล็กน้อย พูดด้วยความตื่นเต้น “เธอคือฉินหร่าน เด็กปีหนึ่งสาขาวิชาวิศวกรรมอัตโนมัติของภาควิชาฟิสิกส์ใช่ไหม หวัดดี ฉันคือ…”
ฉินหร่านเดินถอยหลังไปหนึ่งก้าว เงยหน้าพูดด้วยความเหนื่อยหน่าย การเปลี่ยนผ่านแสงสุดท้ายของพระอาทิตย์ยามเย็นทำให้เห็นใบหน้าที่สวยหยาดเยิ้มได้อย่างชัดเจน สีหน้าท่าทางค่อนข้างเย็นชา พูดอย่างกระชับตรงประเด็น “ไม่ใช่ฉัน ผิดคนแล้ว”
ทั้งเย็นชาทั้งรำคาญ
เดินอ้อมเขาไปหาเฉิงเจวี้ยน
คนอื่นริมถนนก็จำเธอได้
อาจเป็นเพราะความเปล่งประกายบนตัวเธอมีมากเกินไปจึงทำให้คนไม่กล้าเข้าใกล้ ได้แต่มองจากที่ไกลๆ
เสียงดัง “ปัง”
เธอปิดประตูรถฝั่งข้างคนขับ
เสียงค่อนข้างดัง
เฉิงเจวี้ยนที่นั่งตำแหน่งคนขับวางมือบนพวงมาลัย เอียงตัวมองเธอ ทีแรกยังมองเด็กหนุ่มคนนั้นอย่างไม่สบอารมณ์ แต่พอเห็นเธอทำท่าเย็นชาและรำคาญแล้ว เขาก็อดหัวเราะเบาๆ ไม่ได้
ฉินหร่านก้มหน้าหยิบโทรศัพท์ออกมา เป็นครั้งแรกที่เธออ่านบอร์ดของมหาวิทยาลัยเมืองหลวง
ความตั้งใจเดิมคือลบโพสต์ที่มีรูปถ่ายของเธอในบอร์ดของมหาวิทยาลัย
พอเลื่อนๆ ดูก็พบว่าในบอร์ดไม่มีอะไรเลย
เธอพิงประตูรถ
“ไม่ใช่บอร์ดหรอก” เฉิงเจวี้ยนหยุดหัวเราะ วางปลายนิ้วบนพวงมาลัย หลุบตาลงมองเธอนิ่งๆ “เธอลองไปถามคณบดีของพวกเธอดูสิว่าได้แปะรูปเธอไว้ที่บอร์ดประกาศหรือเปล่า”
ฉินหร่าน “…”
เธอไม่ค่อยไปสำนักงานใหญ่ภาควิชาฟิสิกส์ จึงคิดไม่ถึงว่าจะมีการทำอะไรแบบนี้…
เฉิงเจวี้ยนค่อยๆ ขับรถเข้าสู่ถนนใหญ่ ยิ้มเบาๆ
ใบหน้านี้ของเธอถึงจะมีเลนส์ฟิลเตอร์ก็ไม่สามารถบดบังความเปล่งประกายเอาไว้ได้ จดจำได้ง่ายมาก
เธอเอียงศีรษะ ปิดหน้าบอร์ดในโทรศัพท์ได้ไม่นาน ผู้จัดการฉินซิวเฉินก็โทรมา
ฉินหร่านปัดนิ้วรับสาย เธอพิงกระจกหน้าต่างแล้วหรี่ตาลง “ฮัลโหล?”
น้ำเสียงสบายๆ
“คุณหนูฉิน ฉันตั้งใจโทรมาขอบคุณเรื่องคอมพิวเตอร์เครื่องนั้นที่เธอส่งมาให้ฉัน มันใช้ดีมาก” ผู้จัดการที่ยังอยู่ในสตูดิโอของฉินซิวเฉินยืดตัวตรงโดยไม่รู้ตัว
เขาไม่ได้บอกว่าเขาซื้อมาจากฉินหร่าน
เพราะถึงอย่างไรเสีย…คอมพิวเตอร์แบบนี้ในราคาสองพันหยวน กลัวก็แต่ว่าจะซื้อมาไม่ได้แม้แต่หน้าจอ
“ไม่เป็นไร” ฉินหร่านวางมือบนกระจก พูดอย่างไม่รีบร้อน
ผู้จัดการฉินซิวเฉินชินแล้ว ไม่ได้รู้สึกว่ากำลังโดนเมิน ถึงขนาดปลาบปลื้มอยู่หน่อยๆ
ฉินหร่านเป็นคนประเภทนั้น นี่ยังถือว่ายังอารมณ์ดี
”ทีมรายการเพิ่งโทรมาบอกฉันว่ารายการจะออกอากาศวันมะรืนนี้ เธอแน่ใจนะว่าจะไม่เปิดเวยป๋อ? เธอเปิดมาสักอันแล้วฉันดูแลให้ก็ได้” ผู้จัดการถามอีกครั้ง
ฉินหร่านหยิบหูฟังออกจากกระเป๋า เลิกคิ้ว “ไม่ต้อง ยังมีอะไรอีกไหมคะ?”
“ไม่แล้ว” ผู้จัดการได้ยินน้ำเสียงฉินหร่านก็บอกลาเธออย่างมีไหวพริบ
สตูดิโอซุปตาร์ฉิน
หลังจากผู้จัดการวางสายก็ติดต่อกับผู้กำกับอีกครั้ง เขาไปรินน้ำให้ตัวเองที่เครื่องกดน้ำแล้วดื่ม “ถามมาสองครั้งแล้ว เธอไม่ยอม ถ้าถามอีกเธอต้องโกรธแน่ๆ ”
ทางด้านผู้กำกับค่อนข้างเสียดาย
“ทำไมพวกคุณจะให้เธอเปิดเวยป๋อให้ได้?” แม้ผู้จัดการก็อยากให้ฉินหร่านเปิดเวยป๋อ แต่ในเมื่อเธอไม่ยอม เขาก็ไม่พูดอะไรมาก
ว่าแต่ทำไมทีมผู้กำกับถึงยืนยันจะทำแบบนี้?
“หลังรายการจบเธอจะต้องดังมากแน่ๆ ไหนจะไวโอลิน…” ผู้กำกับนึกไปถึงเงื่อนงำวันที่ฉินหร่านถือเบาะแสสำคัญถึงสี่ใบ ฉินหร่านไม่มีสคริปต์สร้างภาพ แต่เดินเรื่องราวกับมีสคริปต์ เขาพูดอย่างคลุมเครือ “พอพวกคุณดูเดี๋ยวก็รู้เอง”
ผู้กำกับกำลังจะวางสาย
“เดี๋ยวก่อน” ผู้จัดการยืนยันเรื่องการตัดต่ออีกครั้ง “รายการพวกคุณไม่มีอะไรผิดพลาดใช่ไหม? ซุปตาร์ฉินไม่ต้องการให้พวกคุณตัดต่อคำพูดที่ไร้สาระเกินไป ให้มันเหมาะสมหน่อย”
ฉินหร่านbugเกินไป ฉินซิวเฉินเป็นห่วงว่าถ้ารายการตัดต่อตามความเป็นจริง จะทำให้ชาวเน็ตแอนตี้ฉินหร่าน คิดว่าเธอมีสคริปต์ออกไปทางสร้างภาพ
“ไม่ต้องห่วง พวกเราให้ประธานเจียงอนุมัติก่อนจะออกอากาศ” ผู้กำกับตอบ
เจียงตงเยี่ยรู้จักกับฉินหร่าน คงไม่ฝังฉินหร่าน ผู้จัดการจึงวางใจได้
**
ถิงหลาน
ฉินหร่านกับเฉิงเจวี้ยนกลับมาแล้ว
นายท่านเฉิงกำลังนั่งบนโซฟาในห้องโถง
เฉิงเจวี้ยนเปลี่ยนรองเท้าเสร็จก็โยนกุญแจไปที่โต๊ะกาแฟส่งๆ เขาเห็นนายท่านเฉิงกำลังนั่งตัวตรง ดื่มชาอย่างสงบ จึงพูดด้วยน้ำเสียงประชดเล็กน้อยว่า “ช่วงนี้ตระกูลเฉิงว่างมากเลยเหรอ?”
เฉิงเวินหรูก็อีกคน
นายท่านเฉิงปรายตามองเฉิงเจวี้ยน ทำหน้าขรึม “ฉันเอาของขวัญมาให้หร่านหร่าน”
ขณะที่พูด พ่อบ้านเฉิงที่อยู่ด้านหลังก็หยิบกล่องเรียบๆ ใบเล็กออกมา
เฉิงเวินหรูได้เล่าเรื่องที่ฉินหร่านสอบเข้าห้องปฏิบัติการทางฟิสิกส์ให้พ่อบ้านเฉิงฟังเป็นคุ้งเป็นแควไปรอบหนึ่งแล้ว และยังเอาการ์ดSที่ฉินหร่านเอาให้เธอมอบให้นายท่านเฉิงดู
ช่วงนี้นายท่านเฉิงยุ่งอยู่กับกองกำลังตระกูลเฉิง เขาถึงได้เพิ่งมีเวลามาหาฉินหร่านเอาจนป่านนี้
และยังไปเลือกของขวัญที่คลังส่วนตัวมาให้เธออีกด้วย
ฉินหร่านถอดเสื้อโค้ตออกและนำผ้าพันคอไปแขวนไว้โดยที่มือยังกดโทรศัพท์อยู่ เมื่อเห็นพ่อบ้านเฉิงยื่นกล่องมาให้ เธอก็เงยหน้าโดยไม่รู้ตัว ดวงตาพร่าเลือน
ไม่ได้รับมา
ต่อมามือเรียวขาวที่อยู่ข้างๆ ก็ยื่นไปรับกล่องมาจากพ่อบ้านเฉิง
ฉินหร่านเงยหน้า
เฉิงเจวี้ยนถือกล่องด้วยมือข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างหนึ่งจับมือขวาเธอไว้ ร่างสูงชะลูดโน้มลงมาเล็กน้อย ปลายนิ้วจับฝ่ามือเธอแล้วนำกล่องเรียบๆ ใบนั้นวางไว้บนมือเธอ พูดด้วยเสียงเรียบๆ “เอาไปเถอะ เขาไม่ขาดแคลนเงิน”
เมื่อนายท่านเฉิงที่นั่งตัวตรงอยู่แต่เดิมได้ยินประโยคนี้ เขาก็เหลือบมองเฉิงเจวี้ยนอย่างเงียบๆ
ฉินหร่านคิดได้สักพักก็เก็บกล่อง เธอไม่ได้ดูว่าคืออะไร แค่เอามันไปเก็บไว้ข้างบน
เย็นนี้พ่อครัวยังคงเตรียมอาหารกับพ่อบ้านเฉิงให้นายท่านเฉิงจากการสังเกตด้วยสายตา
วันนี้นายท่านเฉิงอารมณ์ดี เขายังให้คนไปหยิบเหล้ามาและดื่มไปสองสามแก้ว
“วันนี้กลับมาเร็วขนาดนี้ ยังไม่ได้เข้าห้องปฏิบัติการสินะ?” นายท่านเฉิงถือแก้วเหล้าพลางคุยเล่นกับฉินหร่าน
ฉินหร่านกินข้าวไปเรื่อยๆ “ยังเลยค่ะ เพิ่งไปเอาคีย์การ์ดวันนี้”
นายท่านเฉิงดื่มเหล้าไปหนึ่งอึก “งั้นห้องปฏิบัติการที่เธอจะไปคงติดต่อมาวันพรุ่งนี้ โดยปกติพอเข้าห้องปฏิบัติการแล้วก็คงต้องทำความคุ้นเคยกับการทดลอง ไม่มีเวลากลับมาหรอก”
เฉิงเจวี้ยนกินเสร็จแล้ว
เขาวางตะเกียบไว้บนโต๊ะอย่างลวกๆ
พอได้ยินที่นายท่านเฉิงพูด เขาก็พิงเก้าอี้ ปลายนิ้วเรียวยาวเคาะกับโต๊ะ
มองอีกฝ่ายด้วยสายตาเยือกเย็น ดูไม่สบอารมณ์
นายท่านเฉิงกินข้าวเสร็จก็ถูกเฉิงมู่พาไปส่งที่บ้านประจำตระกูลเฉิง
ชั้นบน
ฉินหร่านอาบน้ำเปลี่ยนชุดนอนเสร็จแล้ว มือข้างหนึ่งกดผ้าขนหนูบนหัว อีกข้างเปิดคอมพิวเตอร์ เมื่อคืนเธอเพิ่มบัญชีโซเชียลของนักวิจัยเลี่ยวเกาอั๋งเรียบร้อยแล้ว พอเธอเปิดดูก็พบว่าอีกฝ่ายยังไม่ติดต่อมา
นักวิจัยขั้นพิเศษน่าจะยุ่งมาก ฉินหร่านก็ไม่ได้สนใจอยู่แล้ว เธอส่งไปใหม่อีกรอบ
มีคนเคาะประตู
ฟังดูใจเย็น
ผมใกล้จะแห้งแล้ว ฉินหร่านจึงวางผ้าขนหนูไว้ พอเปิดประตูก็เห็นเฉิงเจวี้ยนพิงอยู่ข้างๆ ไม่ได้แปลกใจอะไร เธอเบี่ยงตัวให้เขาเข้ามาแล้วปิดประตู
พอเฉิงเจวี้ยนเข้ามาก็เห็นกล่องใบนั้นวางอยู่บนโต๊ะ เขานั่งครึ่งตัวบนโต๊ะแล้วเหยียดขาทั้งสองข้าง พูดอย่างเอื่อยเฉื่อย “ของขวัญที่พ่อฉันให้ยังไม่เปิดดูอีกเหรอ?”
“ยัง” ฉินหร่านเปิดตู้เสื้อผ้า หยิบกระเป๋าเป้ตัวเองออกมาจากข้างในแล้วโยนไปที่เตียง
“มานี่” เฉิงเจวี้ยนเปิดกล่อง ในขณะเดียวกันก็เงยหน้าขึ้นเล็กน้อยมองไปทางฉินหร่าน กวักมือเรียกเธอแล้วพูดช้าๆ “ดูคลังส่วนตัวเขาสิ”
ฉินหร่านเดินเข้าไปดู
ในกล่องมีกำไลหยกเลือดอยู่วงหนึ่ง
ตัวหยกมีความละเอียดและโปร่งแสง ดูประณีตเกลี้ยงเกลา สีบริสุทธิ์ ส่วนตัวกล่องนั้นค่อนข้างเก่า เมื่อถูกมันสะท้อนคล้ายกับมีออร่าอยู่เลือนราง
ฉินหร่านไม่เคยศึกษาเรื่องพวกนี้มาก่อน จึงไม่รู้ชนิดของมัน
แค่รู้สึกว่ามันสวยดี
เฉิงเจวี้ยนหยิบขึ้นมาดูอย่างลวกๆ คล้ายกับพึงพอใจ ปลายนิ้วซ้ายผละจากโต๊ะแล้วจับมือซ้ายฉินหร่าน ร่างสูงเอนตัวไปข้างหน้า หลุบตาลงและนำกำไลหยกเลือดสวมไว้ที่มือซ้ายของเธอ
สีของกำไลหยกเลือดเป็นสีแดงบริสุทธิ์และยังดูเหมือนถูกย้อมด้วยสีของน้ำแข็งอันเยือกเย็น ซึ่งต่างจากข้อมือขาวบางของเธออย่างเห็นได้ชัด ราวกับมีแสงมาห่อหุ้มไว้อีกชั้น
เฉิงเจวี้ยนเอื้อมมือไปรวบตัวเธอเข้ามา หลุบตายิ้ม “เหมาะจริงๆ ด้วย”
**
ในเวลาเดียวกัน ที่ห้องปฏิบัติการทางฟิสิกส์
ชั้นใต้ดินชั้นที่สาม ห้องปฏิบัติการตรงสุดทางเดิน B317
ห้องปฏิบัติการนี้อยู่ใกล้กับเชื้อเพลิงปฏิกิริยานิวเคลียร์ที่รั่วไหลจากใต้ดินของมหาวิทยาลัยเมืองหลวงมาก เนื่องจากความได้เปรียบทางภูมิศาสตร์ อาจารย์จากสถาบันวิจัยหลายๆ ท่านต่างก็มายื่นคำร้องที่นี่
ห้องปฏิบัติการนั้นเย็นยะเยือก
มีเพียงร่างของคนสองคน
ด้านนอก มีหญิงสาวร่างสูงสวมชุดป้องกันสีขาวเดินเข้ามา เธอเดินมาข้างๆ คนคนหนึ่งพร้อมกับยื่นเอกสารให้ “นักวิจัยเลี่ยว นี่คือนักศึกษาที่แผนกทดลองสุ่มมาให้คุณที่นี่ในปีนี้ ในนี้คือข้อมูลของเธอ”
“นักศึกษาใหม่?” เลี่ยวเกาอั๋งอายุราวๆ สี่สิบปี กาลเวลาไม่ได้ทิ้งริ้วรอยไว้บนใบหน้าเขามากนัก เขาสวมแว่นตากรอบทองที่สันจมูก พอได้ยินดังนั้นก็ขมวดคิ้ว เขาไม่คิดว่าการที่ตัวเองมาทำการทดลองที่นี่จะถูกเลือกไปด้วย จึงผงกหัวเล็กน้อย “ฉันรู้แล้ว”
สาวร่างสูงยื่นเอกสารให้เขา
นักวิจัยเลี่ยวรับมาแล้วเปิดลิ้นชักข้างๆ ใส่มันเข้าไปอย่างลวกๆ ไม่ได้ดูเอกสารชุดนี้เลย