“ฟังแบบนี้แล้ว ฉันน่าจะเป็นผู้เข้าแข่งขันที่การศึกษาต่ำสุดในการแข่งขันนี้เลยหรือเปล่า?” เสี่ยวเชี่ยนเบ้ปาก คนพวกนี้เจอของยากแล้ว ประสบการณ์แพทย์คลินิกของเธอเมื่อรวมชาติที่แล้วกับชาตินี้เข้าด้วยกัน มีแค่หมออายุเยอะอย่างศาสตราจารย์หลิวเท่านั้นแหละที่จะสู้ได้ มาเทียบเรื่องประสบการณ์กับเธอไม่เท่ากับแพ้ตั้งแต่เริ่มเลยเหรอ?
“การแข่งอะไรเหรอ?” อวี๋หมิงหลางยังไม่รู้เรื่องนี่เลย
เสี่ยวเชี่ยนเล่าเรื่องทั้งหมดให้เขาฟัง น้องชายของอาจารย์ที่ปรึกษาสมัยมอปลายของเธอเป็นสปอนเซอร์ วางแผนอยากให้เธอเข้าร่วมแข่งขันด้วย เสี่ยวเชี่ยนเล่าหมด
อวี๋หมิงหลางหน้านิ่ว
มีคนวางแผนเล่นงานเมียเขา แต่เขาเพิ่งจะรู้เอาตอนนี้
“เรื่องนี้แปลกๆ เรื่องไร้สาระระหว่างคุณกับอาจารย์ที่ปรึกษามอปลายมันไม่ถึงกับต้องเว้นช่วงนานขนาดนี้แล้วเพิ่งมาแก้แค้น เบื้องหลังต้องมีคนสั่งการแน่”
สมกับเป็นเสี่ยวเฉียง แค่ฟังนิดหน่อยก็วิเคราะห์เรื่องพวกนี้ออกมาได้ ซึ่งคิดแบบเดียวกับเสี่ยวเชี่ยน
“ฉันให้พี่ใหญ่ไปช่วยสืบแล้ว”
ถูกพี่ใหญ่ชิงตัดหน้าไปก่อน เสี่ยวเฉียงไม่สบอารมณ์เล็กน้อย
“เรื่องสำคัญขนาดนี้ทำไมคุณเพิ่งบอกผมตอนนี้?” ควรจะพูดตั้งแต่ตอนเขากลับมาถึงบ้าน เขาจะได้ไปสืบ เรื่องแบบนี้จำเป็นต้องบอกพี่ใหญ่ด้วยเหรอ
เสี่ยวเชี่ยนจ้องหน้าเขา ไม่ตอบคำถามนี้ สายตาเธอเหมือนกำลังบ่น นายไปคิดเอาเองนะว่าเมื่อกี้ฉันมีโอกาสได้พูดไหม?
นายกลับบ้านมาทำอะไรไปบ้าง ไม่รู้เลยหรือไง?
ครั้นแล้วเสี่ยวเฉียงก็นึกออก
ลีลารักอันเล่าร้อนในอ่างอาบน้ำ น้ำสาดกระเซ็นไปทั่ว นัวเนียกันดั่งตัวติดกาวไว้ คำพูดอันแสนหวาน
พอนึกถึงฉากอันเร่าร้อนนั้นภายในห้องน้ำที่มีไอร้อนจากน้ำอุ่น เธอได้ฝากรอยนิ้วมือไว้บนกำแพงสีเข้ม…
สีหน้าของเสี่ยวเฉียงขรึมลงเล็กน้อย โชคดีที่ภายในร้านเนื้อย่างมีควันอบอวลอยู่ จึงไม่มีใครเห็นสีหน้าของเขาชัด เขาหยิบแก้วน้ำขึ้นมาดื่มให้ชุ่มคอ
“อันที่จริงมาพูดตอนนี้ก็ยังไม่สายไป”
เสี่ยวเชี่ยนมองบนใส่เขา ไอ้หน้าด้าน
ตัวเขาเองนั่นแหละที่อดรนทนไม่ไหว กลับมายังไม่ทันได้ให้เธอเล่านู่นเล่านี่ให้ฟังเขาก็ลากเธอเข้าห้องน้ำไปแล้ว ยังจะมีfaceมาถามแบบนี้อีก
“เดี๋ยวกลับไปผมจะปรึกษาเรื่องนี้กับพี่ใหญ่หน่อย” เสี่ยวเฉียงแสร้งทำเป็นไม่เห็นสายตาอาฆาตของเมียตัวเอง เขายังคิดเอาไว้ว่ากินเสร็จจะกลับไปต่อด้วยซ้ำ
ประเด็นนี้ต่อความยาวไม่ได้แล้ว ลำบากอะไรก็ได้แต่อย่าให้เมียลำบาก ไม่อย่างนั้นเสี่ยวเฉียงน้อยหิวตาย
“นายไม่กลัวว่าฉันจะทำตัวเองขายหน้าเหรอ? ไม่มีความไม่อยากให้ฉันเข้าร่วมเลยเหรอ?” เสี่ยวเชี่ยนยังคิดว่าอวี๋หมิงหลางจะคิดเหมือนอาจารย์เธอที่พยายามห้ามไม่ให้เธอเข้าร่วมแข่งขัน
“การแข่งขันแบบนี้ถ้าคุณไม่มั่นใจคงไม่มีทางเข้าร่วม เมียผมเป็นคนที่วางแผนรอบคอบเสมอ เรื่องไหนที่ไม่มีผลประโยชน์คุณไม่มีทางยุ่งด้วยหรอก”
อวี๋หมิงหลางพูดถึงนิสัยของเสี่ยวเชี่ยนออกมาได้แม่นยำ เมียของเขาเป็นประเภทที่เสียอะไรก็ได้แต่ห้ามเสียเปรียบ เรื่องแบบนี้ถ้าเธอกล้าตอบรับก็แสดงว่ามั่นใจในระดับหนึ่งแล้ว
“มีอยู่สำนวนหนึ่งพูดว่าไงนะ ที่ใช้บรรยายคนที่ไม่มีทางยอมเสียเปรียบแม้แต่นิดเดียว”
เสี่ยวเฉียงหมายถึง พระกินรวบแปดทิศ มันติดอยู่ที่ปากเขานึกไม่ออก
“ชั่งฟืนนับเมล็ดข้าวก่อนหุง” พ่านพ่านกินปีกไก่พลางตอบ
บนหัวของอวี๋หมิงหลางเหมือนมีอีกาบินอยู่ กา กา
ไอ้หนูนี่…ปากร้ายจริงๆ
“ลูกจ๊ะ มันหมายความว่าอะไรเหรอ?” ต้าอีไม่เข้าใจ
“ชั่งฟืนนับเมล็ดข้าวก่อนหุงหมายถึงคิดเล็กคิดน้อยฮะ” พ่านพ่านตอบอย่างจริงจัง
“เก่งจัง กินเยอะๆบำรุงสมองนะจ๊ะ อย่าเครียดกับการเรียนมากเกินไป แม่เห็นเราดึกแล้วก็ยังอ่านหนังสืออยู่เลย” ต้าอีเอ็นดูพ่านพ่าน
“พอไหวฮะ” พ่านพ่านตอบอย่างสบายๆ ทันใดนั้นก็รู้สึกถึงรังสีอำมหิต เขาเงยหน้ามองไปรอบๆด้วยความสงสัย แล้วก็เห็นอาสาวที่เขาค่อนข้างเคารพกำลังยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์พลางเอามือดันแว่นตา
“พ่านพ่านจ๊ะ ชอบกลอนโบราณมากเหรอ?” เสี่ยวเชี่ยนยิ้มอย่างอ่อนโยน แต่ปีศาจที่อยู่ในใจแอบยกนิ้วกลางให้
ไอ้เด็กแสบ บังอาจพูดว่าชั่งฟืนนับเมล็ดข้าวก่อนหุง วอนโดนเตะซะแล้ว
“ก็ไม่ได้ชอบมากหรอกฮะ” พ่านพ่านก็แค่อยู่ว่างๆ อีกอย่างเขาไม่ชอบเล่นเกมแบบที่เด็กๆทั่วไปชอบ เขาเริ่มเรียนไว อ่านหนังสือได้ก็ไว
“อันชายสัตย์ซื่อ ถือเงินซื้อผ้า ประโยคต่อไปคืออะไรจ๊ะ?”
“…” ปากที่กำลังแทะปีกไก่อยู่หยุดชะงัก สายตาของพ่านพ่านเต็มไปด้วยความงุนงง
เสี่ยวเฉียงรู้สึกสงสารหลานชายตัวเอง “เสียวเหม่ย เขาเพิ่งจะอายุเท่าไร คุณยกกลอนมาพูดแบบนี้เขายังไม่ได้เรียนคัมภีร์กลอนนะ”
“อ้อ ยังไม่ได้เรียนคัมภีร์กลอนเหรอ งั้นก็ง่ายเลย เดี๋ยวอาเอาง่ายๆแล้วกันนะ” เสี่ยวเชี่ยนยิ้มมุมปาก
“สือซื่อซือซื่อซือซื่อ ซื่อซือ ซื่อสือสือซือ อะลองดูนะ ท่อนต่อไปว่าไงจ๊ะ?”
“…” พ่านพ่านเริ่มลนลาน
ปีกไก่ไม่อร่อยแล้ว
ทำไมเสียงมันคล้ายกันไปหมดแบบนี้
เสี่ยวเชี่ยนตบบ่าเด็กน้อยพลางยิ้มให้อย่างอ่อนโยน
“การเรียนแม้เหนื่อยยาก แม้ลำบากมิใช่น้อย จงสู้อย่าท้อถอย เพื่อรอคอยชัยชนะ อนาคตยังอีกยาวไกล หลานเอ๋ย ต่อไปต้องตั้งใจเรียนระวังอย่าไปขัดขาใครเขานะลูก เป็นเด็กดีนะ”
อวี๋หมิงหลางส่ายหน้า อันที่จริงคำพูดของเสียวเหม่ยตีความง่ายๆก็คือ อย่าไปหาเรื่องคนที่ไม่ควร
ขอสงสารหลานสองนาที
หาเรื่องใครไม่หา ดันมาหาเรื่องผู้หญิงใจแคบชอบคิดเล็กคิดน้อยที่สุดของตระกูลอวี๋
เห็นเสี่ยวเชี่ยนยิ้มอย่างภูมิใจที่เอาชนะเด็กอนุบาลได้อวี๋หมิงหลางก็วางใจแล้ว
เมียเขาไม่มีทางเสียเปรียบในการแข่งครั้งนี้แน่
อาเชี่ยนที่ขนาดหลานตัวเองยังไม่เว้น แล้วนับประสาอะไรกับคนที่กล้าเข้ามาท้าทายเธอ
พอกลับไปเสี่ยวเฉียงก็ปรึกษากับพี่ใหญ่ และที่ค่อนข้างเหนือความคาดหมายก็คือ พี่ใหญ่กลับสืบไม่พบคนที่เป็นตัวการอยู่เบื้องหลัง
พี่ใหญ่สืบไม่ได้ งั้นก็หมายความว่าอีกฝ่ายระมัดระวังตัวมาก จงใจหลบอิทธิพลของตระกูลอวี๋ ตกลงว่าจงใจเล่นงานเสี่ยวเชี่ยนหรือตระกูลอวี๋กันแน่ เรื่องนี้ยังไม่อาจรู้ได้
สองพี่น้องปรึกษากันให้ดูลาดเลาไปก่อน อีกฝ่ายยังไม่ลงมือก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าลงมือขึ้นมาตระกูลอวี๋ต้องเจอแน่นอน ถึงตอนนั้นค่อยคิดหาวิธีรับมือ
อวี๋หมิงหลางไม่ห่วงเรื่องความสามารถของเมียตัวเองอยู่แล้ว เธอไม่เครียดเขาเองก็ไม่มีอะไรต้องเป็นกังวล ทั้งสองคนกินอิ่มนอนหลับสบาย ใช้โอกาสที่อวี๋หมิงหลางได้หยุดสองวันนี้นอนมันทุกมุมของบ้าน
ผลจากการมีค่ำคืนอันเร่าร้อนก็คือเสี่ยวเชี่ยนนอนหมดแรงติดต่อกันสองวัน วันนี้เสี่ยวเฉียงไปทำงาน ส่วนเธอกำลังนอนหลับอย่างสบายบนที่นอน ทันใดนั้นก็มีเสียงโครมครามที่ประตูบ้าน
ศาสตราจารย์หลิวหอบเอกสารยืนรออยู่ด้านนอก พอเห็นเสี่ยวเชี่ยนในสภาพสะลึมสะลือที่คอมีรอยจูบที่เห็นได้ชัด เธอก็โมโหควันแทบออกหู
“เสี่ยวปืนเหล็กทำไมเธอถึงได้ทำตัวแบบนี้? ฉันรอเธออยู่ที่มหาลัยตลอดช่วงเช้าแต่เธอกลับนอนอยู่บ้านเนี่ยนะ? มือถือก็ปิดเครื่อง โทรเข้าบ้านก็ไม่รับ พรุ่งนี้จะแข่งแล้วเธอรู้บ้างหรือเปล่า?”
เสี่ยวเชี่ยนหาวออกมา เมื่อคืนกว่าเธอจะได้นอนก็ตีสาม อวี๋หมิงหลางไอ้คนหน้าด้าน เธอนอนๆอยู่ก็มาลอบโจมตีเธอ นี่นอนมาตั้งนานยังไม่หายง่วงเลย
“โทรศัพท์แบตหมดค่ะ ส่วนโทรศัพท์บ้านอวี๋ไข่เหล็กดึงสายออก ไม่เกี่ยวกับหนูนะคะ” เสี่ยวเชี่ยนโยนความผิดให้อวี๋หมิงหลางอย่างหน้าไม่อาย
“พวกเธอสองคนนี่มันทำตัวเป็นฮ่องเต้ไม่รีบแต่ขันทีรีบจริงๆ”
เดี๋ยวนะ ประโยคนี้มันแปลกๆตรงไหนชอบกล