ศาสตราจารย์หลิววางเอกสารลงบนโต๊ะรับแขกแล้วนั่งลงบนโซฟา รู้สึกเหมือนมีอะไรทิ่มจึงหยิบขึ้นมาดู…
เบอร์ใหญ่002 บางเฉียบใส่แล้วฟิน บนห่อสีเงินมีตัวL ตัวใหญ่พร้อมข้อความว่า เบอร์หนึ่งของลูกผู้ชายตัวจริง…
เสี่ยวเชี่ยนรีบเก็บกล่องนั้นมาอย่างอายๆพลางด่าเสี่ยวเฉียงในใจ
ต้องโทษเขานั่นแหละที่วางของแบบนี้เรี่ยราดไปทุกที่ ทั่วทั้งบ้านไม่มีตรงไหนที่เขาไม่วางทิ้งไว้
ศาสตราจารย์หลิวรู้สึกปวดขมับ เธอแสร้งทำเป็นไม่เห็น ยื่นมือไปชี้หน้าเสี่ยวเชี่ยน ยัยเสี่ยวปืนเหล็กตัวแสบ สองวันมานี้เธอวุ่นอยู่กับการสืบเรื่องการแข่งขันให้ แต่ยัยตัวแสบนี่กลับหมกตัวอยู่ในบ้านทำเรื่องพวกนี้?
“อาจารย์ เดี๋ยวหนูเล่าเรื่องตลกให้ฟังนะคะ อาจารย์ว่าลูกของเสี่ยวปืนเหล็กกับอวี๋ไข่เหล็กจะชื่ออะไรคะ? ชื่อระเบิดไงคะ ฮ่าๆ~”
เสียงหัวเราะตอนท้ายพยายามกลบเกลื่อนความผิดเต็มที่
ศาสตราจารย์หลิวทั้งโมโหทั้งขำ “อยากมีลูกเหรอ?”
“ใช่ค่ะ ท้องตอนนี้ คลอดตอนเรียนปริญญาเอกปีหนึ่ง ก็ยังพอมีเวลาเขียนพวกรายงานได้ รอจนอยู่ปีสามลูกโตหน่อยก็พอจะทิ้งได้บ้างแล้วไม่รบกวนเรื่องทำทีสิสจบ ถ้าพลาดโอกาสนี้ไปต้องรออีกหลายปีเลยนะคะ…อาจารย์ยังโกรธหนูอยู่ไหมคะ?”
“โกรธอะไร?”
“ครั้งก่อนหนูพูดจาตรงไปหน่อย ไม่ควรเอาอาจารย์ไปเทียบกับพ่อที่ไม่ได้เรื่องคนนั้น…”
“เรื่องที่เธอทำฉันโมโหมีเยอะแยะไป ถ้าจะให้ฉันโกรธทุกเรื่องป่านนี้อกแตกตายไปแล้วไหม? ช่างเถอะ อยากเอาไงก็เอา ไม่อยากไปอยู่ทางใต้ก็อยู่กับฉันนี่แหละ ถ้าฉันงานยุ่งมากเธอก็จะได้กลับมาช่วยสอนพวกรุ่นน้องได้ด้วย”
ศาสตราจารย์หลิวคิดได้แล้ว ความสัมพันธ์ของเธอกับเสี่ยวเชี่ยนถ้าจะบอกว่าเป็นศิษย์อาจารย์กันไม่สู้เหมือนแม่ลูกกันมากกว่า เรื่องที่เธอคิดแทนเสี่ยวเชี่ยนมีมากมาย แต่เสี่ยวเชี่ยนก็พูดถูก อย่าใช้ข้ออ้างว่ารักไปผูกมัด เด็กโตๆกันแล้ว ต่างมีความคิดเป็นของตัวเอง”
“รู้อยู่แล้วว่าอาจารย์ต้องดีกับหนู หนูโชคดีจริงๆที่เลือกอาจารย์ ก็เลยเลือกไปตลอด” เสี่ยวเชี่ยนเข้าไปโอบกอดศาสตราจารย์หลิวอย่างมีความสุข เล่นเอาศาสตราจารย์หลิวหน้าแดง เด็กคนนี้ทำไมอยู่ๆก็มาเล่นบทรักได้?
“ฉันจะมาคุยกับเธอเรื่องอะไรนะ?”
ศาสตราจารย์หลิวพบว่าตัวเองถูกพาออกนอกเรื่องแล้ว
เสี่ยวเชี่ยนขยิบตาให้อย่างเจ้าเล่ห์ “การแข่งค่ะ”
“ใช่ เรื่องการแข่งขัน ฉันเอากำหนดการมาให้ดู พรุ่งนี้รอบแรกเป็นข้อเขียน ส่วนนี้เหมือนกับตอนที่เธอสอบวัดระดับ เป็นพวกทฤษฎี อย่างเช่น แนวคิดความภูมิใจแห่งตนของเจมส์คืออะไร เป็นต้น ไม่ยากเท่าไร สำหรับเธอมันเรื่องเล็กน้อย”
เสี่ยวเชี่ยนหาว “ให้ลูกศิษย์หนูแข่งก็ไม่มีปัญหา”
ถึงตอนนี้ต้าอีจะมีวุฒิการศึกษาแค่ปริญญาตรี แต่จุดเริ่มต้นของเธออยู่สูงกว่าคนอื่น นักจิตวิทยาบำบัดที่เก่งๆล้วนมีอาจารย์คอยดูแล
“แข่งทั้งหมดสามวัน วันแรกข้อเขียน วันที่สองให้ตอบคำถามจากโจทย์ที่ให้ได้อย่างอิสระ ฉันก็เพิ่งจะได้รับแจ้งมาว่าให้ไปเป็นกรรมการด้วย ถึงเท่าที่ฉันวิเคราะห์ดูสุดท้ายฉันคงไม่ได้รับผิดชอบโซนของเธอแน่ แต่ก็พอจะรู้เรื่องภายในบ้าง อย่างเช่นการให้คะแนนแบ่งเป็นสี่ระดับ หนึ่งในนั้นการแก้ปัญหาแต่ละเคสไม่เพียงแต่จะต้องจัดการอย่างมีเหตุผล ยังต้องทำอย่างมีศิลปะด้วย โดยเฉพาะคะแนนช่องศิลปะสัดส่วนเยอะมาก”
“รักษาคนไข้ยังต้องมีศิลปะ คนที่ตั้งเงื่อนไขนี้ขึ้นมาสงสัยสมองจะไปกระแทกพื้น หนูสงสัยว่าเป็นคนนอกวงการ ก็เหมือนกับตัดริดสีดวงให้คนไข้ ต้องตัดอย่างมีศิลปะด้วยเหรอ มีประโยชน์อะไรไหม?”
อวัยวะส่วนนั้นใช้ขับถ่ายของเสียอย่างเดียว จะมีศิลปะไปเพื่ออะไร
คนนอกที่มาจัดการเรื่องในวงการความคิดไม่ได้ผ่านสมองเลยแม้แต่น้อย ออกไอเดียมาแต่ละอย่างคิดว่าของตัวเองดี
“ห้ามวิจารณ์ฝ่ายจัดงาน เธอจัดการแค่เรื่องของตัวเองเป็นพอ เรื่องอื่นฉันไม่กังวลเท่าไร กังวลอยู่เรื่องเดียว ไอ้นิสัยหน้าเลือดเห็นแก่เงินของเธอน่ะ ถึงตอนนั้นต่อให้พยายามปกปิดก็ขอให้ทำให้มันเนียนๆหน่อยนะ ห้ามแสดงความโลภออกมาล่ะเข้าใจไหม?”
“ปลอมมาก…หนูไม่ได้บังคับให้คนมารักษากับหนูเสียหน่อย อยากมาก็มาไม่เห็นแคร์ ถึงรักษากับหนูจะแพงแต่ก็มีคนต่อคิวนะคะ” เสี่ยวเชี่ยนพึมพำ เธอรู้สึกได้ถึงสายตาจ้องจะกินหัวจึงรีบยิ้มให้ศาสตราจารย์หลิว
“ค่ะ วางใจได้ค่ะอาจารย์ หนูรู้ว่าต้องทำยังไง การตอบคำถามที่ต้องใช้ทักษะการบรรยายแบบนี้หนูจะทำเหมือนตอบคำถามหัวข้อการเมืองสมัยมอต้น ต้องตอบให้เข้ากับทัศนคติของสังคม ตอบยังไงให้ถูกใจกรรมการ ตอนตอบหนูจะพูดชมการดำรงอยู่ของหลักการจิตวิทยาที่สร้างอิทธิพลและช่วยเหลือสังคมให้มากๆค่ะ”
หลิวหลินหลินพยักหน้า ใช่ แบบนั้นแหละ
ถ้ากรรมการถามเสี่ยวเชี่ยนว่า ทำไมถึงเรียนจิตวิทยา เสี่ยวเชี่ยนก็จะตอบว่า ปัจจุบันนี้ราคาค่ารักษาในตลาดจิตวิทยายังไม่มีการควบคุม เธอจะฆ่าแกะอย่างโหดร้ายยังไงก็ได้ ตอบแบบนี้เอาไข่ไปกินร้อยเปอร์เซ็นต์ คำถามที่เหลือก็จะตอบแบบคนทัศนคติบิดเบี้ยวให้หมด
“แข่งสามวันไม่ใช่เหรอคะ? แล้ววันที่สามทำอะไรคะ?”
“ครั้งก่อนๆเป็นการถกประเด็น แต่ปีนี้ไม่รู้ทำไมแก้เป็นจำลองการรักษา ผู้เข้าแข่งขันที่ผ่านเข้ารอบสุดท้ายจะต้องรักษาคนไข้ที่พวกเขาสมมติขึ้นมาภายในห้องแบบปิดเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมง ซึ่งระหว่างนั้นจะถ่ายทอดสดให้กรรมการได้ดู ในตอนท้ายจะได้คะแนนจากกรรมการเจ็ดส่วน คนไข้สามส่วน”
“…ให้คนไข้สมมติให้คะแนนหมอเนี่ยนะ?” สีหน้าของเสี่ยวเชี่ยนเหมือนกำลังบอกว่า ‘ล้อเล่นหรือเปล่า’?
หลิวหลินหลินเองก็จนปัญญา “ก็เบื้องบนเขาจัดมาแบบนี้ บอกว่าที่ให้คนไข้ให้คะแนนด้วยเป็นการแสดงถึงความสัมพันธ์ของหมอกับคนไข้ คนที่มารับบทเป็นคนไข้อาจไม่ใช่มืออาชีพ แต่พวกเขาจะให้คะแนนจากความพอใจในการรักษาของหมอ”
นี่ก็เหมือนกับโลกออนไลน์ในอีกไม่กี่ปีให้หลังที่มีการรีวิวหลังการซื้อ
เสี่ยวเชี่ยนใช้หัวเข่าคิดยังรู้เลยว่า คนไข้สมมตินั่นต้องให้คะแนนเธอต่ำแน่
ไม่ว่าเธอจะตอบอย่างไร อีกฝ่ายยังไงก็ประเมินเธอต่ำ
คนมันคิดจะใส่ร้ายคนอื่นอยู่แล้วต้องมีเหตุผลด้วยเหรอ? นักวิจารณ์ในแง่ลบที่ฝ่ายศัตรูส่งมาย่อมพุ่งเป้ามาที่เธอแน่นอน ไม่ผิดหรอก
ที่แท้กับดักที่รอเธออยู่ก็คือแบบนี้ เล่นงานง่ายๆ แต่ได้ผลดี
วันนี้อวี๋หมิงหลางเลิกงานตรงเวลา พอเปิดประตูเข้าไปก็เลิ่กคิ้วขึ้น
“ลูกเชี่ยน เลียนแบบรูปปั้นนักคิดอยู่เหรอ?”
ตอนนี้ท่าทางของเธอเหมือนรูปปั้นนักคิดของออกุสต์ โรแดงมาก
“ฉันกำลังตกอยู่ในห้วงแห่งอับจนหนทาง…”
ตั้งแต่อาจารย์กลับไปจนถึงตอนนี้ ประธานเชี่ยนก็อยู่ในโหมดใช้พลังสมองอย่างแรงกล้า
“อับจนหนทางอะไร ให้ซื้อกับข้าวซื้อมายัง?”
“นายให้ฉันซื้อตั้งแต่เมื่อไร?” เสี่ยวเชี่ยนงง
เสี่ยวเฉียงเดินไปหยิบโทรศัพท์มือถือของเธอแล้วกดดูข้อความ ข้อความที่ส่งมาเมื่อตอนบ่ายยังไม่ถูกเปิดอ่าน
“โทษที วันนี้ฉันมีธุระนิดหน่อย” เสี่ยวเชี่ยนกำลังปวดหัวกับเรื่องการประเมินคะแนนในการแข่งขัน สมองเธอกำลังหาแผนรับมือ
“เดิมคิดว่าวันนี้เลิกงานเร็วจะต้มปลาให้คุณกินเสียหน่อย เวลานี้ตลาดวายหมดแล้ว คงต้องออกไปกินข้างนอก…ลูกเชี่ยน คุณกลุ้มเรื่องอะไรอยู่?”