บทที่ 480

บทที่ 480

“น่าแปลกนักที่เจ้าไม่หนีไปตั้งแต่ที่เห็นพวกข้า” แม่ทัพหนึ่งในนั้นย่างก้าวมายืนอยู่ตรงหน้าถังหยิน ชายตรงหน้าดูราวกับคนวัยสามสิบหนาว และยังดูแก่ที่สุดในบรรดาสามแม่ทัพ สภาพของเขาดูเป็นคนสมบุกสมบันมาก

ถังหยินทำสีหน้าไม่เข้าใจที่อีกฝ่ายพูด “แล้วไยข้าต้องหนีเล่า?”

“เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อคืน?” หนึ่งในแม่ทัพเอ่ยถาม

ถังหยินหัวเราะออกมา “ข้าทำอะไรงั้นหรือ?”

“เจ้าเป็นนักเดินทางแน่นะ?” สองบุรุษ หนึ่งสตรีเดินเข้ามาหาถังหยิน

“ใช่”

“เช่นนั้นเจ้าเป็นคนที่ใด?”

“แคว้นเฟิง” ถังหยินตอบอีกฝ่ายตามตรง เพราะอย่างไรเสียสำเนียงภาษาของเขาก็ไม่อาจปกปิดตัวตนได้อยู่แล้ว

“แคว้นเฟิง? อย่างนี้นี่เอง” นายทหารคนหนึ่งพยักหน้าให้อย่างพอใจ แล้วจึงเอ่ยถามต่อ “เช่นนั้นเจ้ามาทำอะไรที่นี่?”

“แค่ผ่านทางมา และข้าจะไปชางจิงแล้ว” ถังหยินตอบ

“ข้าก็ว่าเจ้าดูไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับโจรเมื่อคืน ทว่าเจ้าพอจะรู้เกี่ยวมันบ้างหรือไม่?”

ถังหยินส่ายหัว “ข้าไล่ตามมันได้ทันก็จริง แต่เมื่อเข้าป่าก็คลาดสายตาไปแล้ว หากเจ้ามาขอคำแนะนำ เช่นนั้น ข้าจะบอกให้อย่าง เมื่อหัวโขมยถูกจับได้ พวกมันจะไม่หวนกลับคืนถิ่นนั้นอีก!”

จากนั้นถังหยินก็ประสานมืออำลาให้กับทุกคน

“เช่นนั้น ข้าต้องขอตัวก่อน” ว่าจบแล้วเขาจึงเดินกลับออกไป

“ถังชู” แม่ทัพคนหนึ่งเรียกเขา

ชายหนุ่มหยุดก้าวเดิน แต่ไม่ได้หันกลับไปมองอีกฝ่าย

“หากได้พบกันอีก ข้าไม่แพ้เจ้าแน่”

ถังหยินยักไหล่แล้วยิ้มออกมา เขาโบกมือทิ้งท้ายไว้แล้วเดินจากไป “ข้าจะรอแล้วกัน” จากนั้นเขาก็เดินหายไปพร้อมกับเสี่ยวเอ้อร์ที่เอาม้ามาให้

ทั้งสามขึ้นม้าแล้วออกเดินทางในทันที

“ปล่อยพวกเขาไปง่าย ๆ เช่นนี้เลยหรือ?” พวกแม่ทัพถามกัน

“เขาเป็นผู้ใช้ศาสตร์มืดที่เก่งกว่าเรา ไม่มีทางที่จะหยุดเขาได้หรอก แถมเราไม่จำเป็นต้องจับเขาด้วยนี่” หนึ่งในแม่ทัพพูดขึ้นมา ทำให้ทุกคนเงียบกันทันที

เมื่อลับสายตาของกองทัพอันมาแล้ว พวกเขาสามคนก็ควบม้าห้อตะบึงด้วยความเร็วสูงสุด นึกหวังขอไม่ให้อีกฝ่ายตามมา เพราะหากผิดใจกันอาจจะทำให้ยากต่อการเดินทาง

โชคยังดีที่แม่ทัพพวกนั้นไม่สนใจถังหยิน ตรงกันข้าม พวกเขาเดินทางกลับไปยังเมืองหลวงของตัวเอง

ทั้งสามใช้เวลาในการเดินทางเพียงสองวันครึ่งเท่านั้น

หากเป็นตามปกติ จักรพรรดิจะมีทหารคอยคุ้มกันวังมากมาย และพวกราชาแคว้นเล็กทั้งหลายจะต้องจ่ายบรรณาการให้กับเขาไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบใดก็ตาม

ทว่า ในสถานการณ์ขณะนี้ เมื่อจักรพรรดิไม่มีอำนาจอะไร กองกำลังทหารก็จะพลอยลดลง เช่นเดียวกับบรรณาการและเงินในคลังเองก็ลดน้อยลงไปตามกัน

แต่ไม่ว่าจะยังไง ‘ชางจิง’ ก็เป็นนครหลวงของจักรวรรดิเฮาเตียน!

ชางจิงมีขนาดกว้างใหญ่และกินอาณาเขตมากมาย ภายในพื้นที่มียอดเขาเทียนจี้ที่ว่ากันว่า เป็นที่ที่จักรพรรดิองค์แรกของเฮาเตียนถือกำเนิด

วังหลวงถูกสร้างขึ้นบนยอดเขานั้นและมีด้วยกันถึง 5 ชั้น ทั้งยังมีทางเข้าถึง 9 แห่ง แค่จำนวนประชากรอย่างเดียวก็มีราว ๆ 2 ล้านกว่าคนแล้ว และถ้าหากนับรวมคนในวังเข้าไปด้วยก็น่าจะมีประมาณ 3 ล้านคนได้

ถึงจะเรียกมันว่าเมือง แต่ก็มีขนาดกว้างเท่ามณฑล แถมประชาชนมากมายขนาดนี้ ย่อมมีเศรษฐกิจที่ดีมากจนเรียกได้ว่าไม่มีทางอดตายในเมืองนี้แน่นอน

ไม่ว่าจะเป็นคนจากแคว้นไหน พวกเขาสามารถเข้าออกเมืองชางจิงได้อย่างอิสระ เพราะนี่คือศูนย์กลางของจักรวรรดิ

ยามทั้งสามเข้ามาในชางจิง พวกเขาก็ตกตะลึงกับความอลังการของที่นี่ เพราะไม่เคยเห็นเมืองที่ใหญ่และมีคนเยอะขนาดนี้มาก่อน

เพราะนี่คือเมืองหลวงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดจนไม่อาจคิดได้ว่าจักรพรรดิกลับไร้ซึ่งอำนาจในมือ แต่นั่นย่อมเป็นปัญหาภายในของจักรวรรดิเฮาเตียนเอง

ตามระบอบการปกครองของจักรวรรดิเฮาเตียนคือ ห้ามให้พวกขุนนางหรือเจ้าครองแคว้นต่าง ๆ มีกองทัพในมือ นี่ก็เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการก่อกบฏ ถังหยินเองซึ่งเป็นคนยุคปัจจุบัน เขาย่อมรู้ดีถึงความน่ากลัวของกองทัพ และนั่นทำให้เขาคิดขึ้นมาได้ว่าทันทีที่ตนขึ้นเป็นราชาแคว้นเฟิง เขาจะริบอำนาจกองทหารเข้าสู่ศูนย์กลางทันที!

ชางจิงนั้นยิ่งใหญ่มาก และเมื่อเข้าไปภายในเมืองก็จะพบกับรถม้ามากมาย

ถังหยินถามหลีเทียน “หลีเทียน เราติดต่อเจียงลั่วได้หรือไม่?”

หลีเทียนยิ้มให้ “เขาอยู่โรงเตี๊ยมที่ใหญ่ที่สุดในเมืองนี้ หากเราไปถึงเมื่อไหร่ก็จะมีคนพาเราไปเองขอรับ”

ถังหยินพยักหน้ารับรู้

อาจเพราะมีคนมากมายบนถนน ทำให้ถังหยินกับผู้ติดตามไม่สามารถควบม้าเร็วได้

โรงเตี๊ยมที่ว่ามาย่อมเป็นโรงเตี๊ยมสี่ทะเล มันตั้งอยู่ที่ตีนเขาเทียนจี้ซึ่งรายล้อมไปด้วยอาคารมากมาย แถมยังมีร้านอาหารอีกเยอะแยะละลานตา

ทั้งสามหยุดลงที่หน้าทางเข้าโรงเตี๊ยม และเงยหน้าขึ้นอ่านป้ายชื่อของที่นี่เพื่อยืนยันความถูกต้อง

เสี่ยวเอ้อร์ที่นี่พลันปรี่เดินออกมาต้อนรับพวกเขา “พวกท่านสนใจพักที่นี่ใช่หรือไม่?”

ก่อนที่ถังหยินจะได้พูดอะไร ก็มีชายหนุ่มวิ่งออกมาจากข้างใน “สามคนนี้เป็นเพื่อนของข้าเอง ข้าจองห้องไว้ให้พวกเขาแล้ว”

“โอ้ เป็นเพื่อนของนายน้อยหลิวนี่เอง เชิญพวกท่านเข้ามาได้เลย” เสี่ยวเอ้อร์ทั้งหลายทำตัวสุภาพ แล้วเข้าไปช่วยขนของพวกเขาเข้ามาข้างใน พร้อมกับเอาม้าไปเก็บให้ด้วย

ถังหยินจำคนผู้นี้ไม่ได้จึงไม่พูดอะไรมาก หลีเทียนที่เห็นเช่นนั้นก็กระซิบอธิบายให้นายเหนือหัวฟัง “เขาเป็นหนึ่งในหน่วยของข้าเอง”

ชายหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นแล้วกระซิบข้างหูชายคนนั้น “ลำบากแย่เลยนะ”

อีกฝ่ายที่ได้ยินเสียงถังหยินก็ก้มหัวให้ “นิดหน่อยขอรับนายท่าน”

ถังหยินโบกมือเป็นสัญญาณว่าไม่ต้องทำตัวสุภาพมากนัก เมื่อพวกเขาเข้ามาข้างในแล้วจึงเอ่ยถาม “เจียงลั่วอยู่ที่นี่ไหม?”

“ใช่แล้ว ท่านเจียงอยู่ในห้องรอพวกท่านอยู่ ข้าจะไปเรียกเขาให้ลงมาเอง”

“ไม่จำเป็น” ถังหยินส่ายหัว “เขาทำอะไรอยู่ในห้อง?”

“นอนขอรับ”

“นอน?” ชายหนุ่มสีหน้ามืดครึ้มในทันทีที่ได้ยิน นี่มันช่วงเที่ยงวันแท้ ๆ ยังจะนอนได้อีกหรือ?

เห็นเช่นนั้น อีกฝ่ายจึงอธิบายต่อ “ท่านเจียงดื่มกับคนในวังมาเมื่อคืน ตอนนี้เขายังเมาค้างอยู่เลยขอรับ”