บทที่ 481
บทที่ 481
หลังจากฟังคำอธิบายของสายลับเนตรเวหา ถังหยินก็พยักหน้ารับและถามต่อว่า “ท่านเจียงมาทำอะไรที่ชางจิงในช่วงนี้?”
“ดื่มกับกินขอรับ!” ชายหนุ่มตอบตามความเป็นจริง “เขามีงานเลี้ยงกับคนของราชสำนักแทบทุกวันเลย”
“โอ้!” ถังหยินหัวเราะและพูดว่า “หากเป็นเช่นนั้น ท่านเจียงย่อมมีงานต้องทำมากมายในชางจิงแน่ ๆ เลย”
“ใช่! ใช่! ใช่!” ชายหนุ่มไม่กล้าแสดงท่าทางของเขา จึงได้แต่พยักหน้าซ้ำ ๆ อย่างไรก็ตามเขากล่าวเสริมในใจอย่างเงียบ ๆ ว่า ‘ถ้าทุกวัน การดื่มเรียกว่าการทำงานหนัก เจียงหลูก็ทำงานหนักมาก’
ภายใต้การแนะนำของกลุ่มเนตรเวหา ถังหยินเดินขึ้นไปที่ชั้นสามและหยุดอยู่หน้าประตูห้องที่ดีที่สุด
ชายหนุ่มพูดด้วยเสียงต่ำ “ท่านเจียง อยู่ในห้องนี้”
ถังหยินทำหน้ารับรู้ จากนั้นจึงค่อย ๆ ผลักประตูเปิดเข้า ดาลประตูไม่ได้ถูกล็อคเอาไว้ ถังหยินหยุดมือไปชั่วขณะ ก่อนที่จะผลักประตูให้เปิดกว้างกว่าเดิมและเข้าไป
ทันทีที่เขาเข้ามา กลิ่นแอลกอฮอล์ที่รุนแรงก็โชยเข้าจมูก ทั้งหลีเทียนและเจี๋ยงฟานต่างขมวดคิ้วและเดินตามถังหยินไป
ไม่มีใครเห็นเจียงหลู แต่พวกเขากลับได้ยินเสียงกรนหนักของอีกฝ่ายแทน ถังหยินค่อย ๆ ก้าวเท้าเดินไปที่มุมห้อง จึงได้เห็นว่าเจียงหลูนอนกางแขนขาอยู่บนเตียงโดยไม่ได้ถอดชุดเลยด้วยซ้ำ
“เจียงหลู?” เขาเรียกชื่ออีกฝ่ายสองครั้ง แต่เจียงหลูกลับไม่ตอบสนองเลย
ถังหยินทำได้เพียงแค่เพิ่มระดับเสียงและเรียกอีกครั้ง “เจียงหลู!!!” แต่ไม่ว่าเขาจะตะโกนอย่างไรก็ไร้ท่าทีตอบสนองกลับมา
เมื่อเห็นเช่นนั้น หลีเทียนพลันเดินไปข้างหน้าอย่างกระวนกระวายและผลักเจียงหลูอย่างแรง แต่เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายหมดสติราวกับว่าหมูที่ตายไปแล้ว จึงยื่นมือออกไปและบีบจมูกของเจียงหลู กับปิดปากไม่ให้เผยออ้า หลังจากนั้นไม่นานเจียงหลูเริ่มดิ้น เขาสำลักในลำคอและเริ่มไออย่างรุนแรง ทว่าหายใจเข้าลึกแล้วแต่ไม่ว่ายังไงก็ไม่สามารถหายใจได้ เขาอยากจะเปิดปาก แต่ปากของเขาถูกปิดไว้แน่น คราวนี้เจียงหลูตื่นขึ้นมาอย่างสมบูรณ์ เขาลืมตาและลุกขึ้นจากเตียงโดยไม่รู้ตัว น้ำเสียงถามด้วยความตกใจกลัว “ใครกันวะ!!”
ทันทีที่เขาพูดจบ ถังหยินที่ยืนอยู่หน้าเตียงก็เอามือไพล่หลังลดศีรษะลงและพูดช้า ๆ “วันนี้ข้ามาเยี่ยมท่านนะ!”
เมื่อเขาเห็นท่าทางของถังหยินก็ยังแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง เจียงหลูขยี้ตาแรง ๆ แล้วมองไปที่ถังหยินอีกครั้ง คราวนี้เขามั่นใจแล้วว่าตนหาได้ตาฝาดไป ท่าทีเดิมของเขาพลันหายไปทันทีและเพราะตกใจ รีบกลิ้งเหมือนกับลูกบอลปรี่ลงจากเตียงโดยเร็ว ซ้ำยังทิ้งตัวลงกับพื้นคุกเข่าขณะที่เอ่ยขึ้นอย่างจริงจัง “ข้าผู้นี้ไม่รู้ว่านายท่านมาถึงแล้ว ขออภัยที่ข้าไม่ได้เตรียมการต้อนรับ ฝ่าบาทโปรดอภัยให้ข้าด้วย…!”
ถังหยินยิ้ม ขณะที่เขามองและพูดเบา ๆ “เจียงหลู?”
“ขอรับ!”
“ยืนขึ้น!”
ขณะที่พูด ถังหยินก็เดินไปหยุดอยู่ที่หน้าต่าง มือผลักเปิดบานไม้ให้อากาศไหลเวียนเข้ามาในห้อง จากนั้นเขาก็สูดอากาศบริสุทธิ์ข้างนอกเข้ามาลึก ๆ แล้วหันกลับมายิ้มให้เจียงหลู “รายงานความคืบหน้า?”
เจียงหลูยังคุกเข่าอยู่บนพื้นไม่กล้าลุกขึ้นในทันที เขาพูดอย่างแผ่วเบา “นับตั้งแต่ข้ามาถึงเมืองหลวงแห่งนี้ ก็ได้สร้างความสัมพันธ์กับขุนนางในราชสำนักหลายคน ที่ลงมือทำเช่นนี้ย่อมเพื่อส่งเสริมนายเหนือหัวของข้า-”
โดยไม่รอให้เขาพูดจบ ถังหยินก็โบกมืออย่างไม่เต็มใจ ขัดจังหวะอีกฝ่ายพูด สิ่งที่ชายหนุ่มอยากได้ยินหาใช่กระบวนการสร้างปฏิสัมพันธ์เหล่านี้ แต่เป็นผลลัพธ์ต่างหาก ถังหยินเอ่ยว่า “เข้าประเด็น!”
“อ้อ?” เจียงหลูพึมพำกับตัวเองก่อนจะพูดอย่างระมัดระวัง “ตลอดระยะเวลาที่ข้าติดต่อกับขุนนางทั้งหลาย ก็ได้พูดถ้อยคำดี ๆ มากมายในนามของฝ่าบาท แต่หากฝ่าบาทต้องการให้ขุนนางของราชสำนักของจักรวรรดิมาสนับสนุนท่าน มันยังมีบางอย่างที่ขาดหายไป”
ถังหยินเลิกคิ้วและเอ่ยถาม “อันใด?”
“เป็นเงินทองขอรับ…” เจียงหลูกลืนน้ำลายด้วยความยากลำบาก
ใบหน้าของถังหยินหม่นหมองลงในคราแรก แต่แล้วเขาก็ถามขึ้นด้วยรอยยิ้ม “เจียงหลู ตอนออกจากเมืองหยาน เจ้าได้นำทองคำและสมบัติมากมายมาด้วยใช่ไหม?”
“ขอรับ นายท่าน!” ใบหน้าของเจียงหลูเหงื่อแตกพลั่กและพูดอย่างสั่นเทาว่า “ทองสองหมื่นสมบัติสิบห้าชิ้น”
“แล้วตอนนี้มันอยู่ไหน”
“ข้าใช้มันไปแล้ว แต่มันยังไม่มากพอขอรับ”
“หากจำไม่ผิดข้าให้เพิ่มไปอีกหนึ่งหมื่นแล้วไม่ใช่รึ” ถังหยินถามอย่างแผ่วเบา
“ใช่ขอรับ ตะ… แต่มันหมดแล้ว! นายท่าน ของในชางจิงราคาแพงเกินไป นอกจากนี้เรายังต้องมอบให้ขุนนางในราชสำนักด้วย สำหรับพวกนั้นแล้วต้องปรนเปรอด้วยร้านอาหารที่ดีที่สุดในเมืองหลวงเท่านั้น ซ้ำยังต้องจ่ายให้กับหญิงที่ร้องเพลงและร่ายรำด้วย ทุกครั้งที่ใช้จ่ายเงิน มันจึงไม่ใช่จำนวนที่เล็กน้อยเลย…”
ถังหยินไม่สามารถกลั้นเสียงหัวเราะได้ เขาหัวเราะออกมาทั้ง ๆ ที่ยังโกรธอยู่ น้ำเสียงเนิบช้าเอ่ยขึ้นมา “ทั้งที่ใช้เงินทองไปเสียมากมาย แต่เจ้ากลับยังไร้ซึ่งความคืบหน้าอันใด ข้าสงสัยเหลือเกินว่าทองพวกนั้นไม่ใช่ว่าเข้าไปอยู่ในกระเป๋าของเจ้าแทนแล้ว ใช่หรือไม่?”
ได้ยินเช่นนั้นเจียงหลูก็ตกใจจนร่างกายสั่นสะท้าน เข่าอ่อนจนแทบจะทรุดลงกับพื้น เขาร้องว่า “มะ… ไม่ ไม่ใช่แน่นอนขอรับ! ถึงข้าจะกล้าทำ แต่ไม่กล้าหลอกท่านหรอกขอรับ ไม่เคยแม้แต่จะคิดด้วยซ้ำ…”
ถังหยินอยากจะพูดต่อ แต่กลับขมวดคิ้วหันหลังเดินไปหาหลีเทียน มือเอื้อมไปหยิบดาบที่ซ่อนอยู่ภายใต้เสื้อคลุมออกมา น้ำเสียงติดเย็นชากล่าวขึ้นมา “ผู้คนมักคิดว่าการกระทำของตนคงจะปกปิดเอาไว้ได้… แต่มันหาใช่ต่อหน้าข้าคนนี้!”
สิ้นเสียงคำรบ ฝ่ามือของถังหยินก็ปลดปล่อยหมอกดำออกมาจำนวนมาก ไอเย็นเยียบลามไล้ห่อหุ้มตัวไปทั้งดาบเหล็ก ใบดาบเดิมที่ส่องประกายแสงออกมาให้เห็นพลันเปลี่ยนเป็นดำทมิฬในทันที
มาเวลานี้ แม้แต่คนตาบอดก็สามารถบอกได้ว่าถังหยินเปิดใช้งานพลังปราณก่อกำเนิดของเขาแล้ว และออร่าแห่งการฆ่าฟันซึ่งถูกปลดปล่อยออกมาจากร่างกายก็ทำเอาอากาศในห้องควบรวมตัวกันจนพลันให้รู้สึกหายใจไม่ออก
เจียงหลูมองไปยังดาบพลังปราณในมือของถังหยิน และเมื่อได้ยินคำพูดของนายเหนือหัว เขาพลันรู้สึกหวาดกลัวจับจิตจับใจ จนวิญญาณของตนแทบจะหลุดออกจากร่างในทันที น้ำหูน้ำตาไหลอาบบนใบหน้าเจียงหลู
เขาร้องเสียงสั่นเทาว่า “นายท่าน ข้าไม่ได้โกหกนะขอรับ!”
ก่อนที่เขาจะพูดจบ ใบหน้าของถังหยินก็มืดครึ้มลงไปแล้ว จิตสังหารพลันยิ่งรุนแรงมากกว่าเดิม ไร้ซึ่งสัญญาณเตือนใด ๆ มือของชายหนุ่มสะบัดแขนจนเกิดเสียงตัดอากาศ ดาบพลังปราณพุ่งเข้าหาเจียงหลูในฉับพลัน หากแต่แทนที่จะเป็นฉากนองเลือด ดาบกลับพุ่งไปปักทะลุผนังที่กำแพงด้านหลังเขาแทน
เสียงดาบปักหนักหน่วงบนกำแพงราวกับเป็นสัญญาณเตือน
เสียงกรีดอากาศนี้ทำเอาร่างกายของหลีเทียนและเจี๋ยงหานสั่นสะท้านไปทั่วร่าง ทั้งสองคนตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นพลันรู้ได้ทันทีว่ามีคนแอบฟังอยู่ด้านนอกห้อง ทั้งสองคนกระโดดขึ้นไปบนหน้าต่าง แล้วมองออกไปทางที่ดาบปักกำแพงทันที
ห้องที่อยู่บนชั้นสาม ภายนอกล้วนแล้วแต่ว่างเปล่าไร้ผู้คน เมื่อทั้งสองขึ้นไปที่หน้าต่างและมองออกไปข้างนอก กลับไม่เห็นเงาครึ่งหนึ่ง แต่มีเพียงปลายดาบเหล็กที่เจาะทะลุกำแพง
เขาเอื้อมมือไปแตะหยดเลือด ถูมันเล็กน้อยแล้วจึงอังไว้ใต้จมูก สูดดมอย่างระมัดระวังเพื่อยืนยันว่าเป็นเลือดมนุษย์ จากนั้นหันกลับไปที่ห้อง เขายื่นมือของตนไปทางถังหยินและกล่าวว่า “นายท่านขอรับ!”
“หนีไปได้?” ถังหยินเลิกคิ้วและถาม “มันหนีไปที่ไหน?”
“ข้าไม่เห็นใครอยู่ข้างนอกหรือในสวนชั้นล่างเลยขอรับ!” เจี๋ยงฟานก็กระโดดลงมาจากหน้าต่างและพูดกับถังหยินเช่นกัน
การแสดงออกของถังหยินไม่เปลี่ยนแปลง เขาแอบหายใจเข้าลึก ๆ ปากยกยิ้มขึ้นเล็กน้อยและพูดเบา ๆ “ไม่ว่าระดับการบ่มเพาะของคู่ต่อสู้จะสูงส่งแค่ไหนหรือวิ่งเร็วมากเท่าใด และแม้ว่ามันจะไม่ได้รับบาดเจ็บก็ตาม หากแต่กลับหายไปได้ในช่วงเวลาสั้น ๆ ย่อมมีเพียงคำอธิบายเดียวเท่านั้น”
“อีกฝ่ายคือผู้ใช้ศาสตร์มืด!” ดวงตาของหลีเทียนและเจี๋ยงฟานเบิกกว้าง เผยให้เห็นท่าทางประหลาดใจของพวกเขา ในเวลาเดียวกัน นอกเหนือจากสลับเงาของผู้ใช้ศาสตร์มืด คงไม่มีพลังอื่นใดที่จะสามารถทำเช่นนี้ได้อีก
‘มีเพียงผู้ใช้ศาสตร์มืดเท่านั้นที่สามารถเคลื่อนไหวได้เร็วขนาดนี้ ดูท่าว่าเรื่องนี้จะเกี่ยวข้องกับแผ่นโลหะนั้นเป็นแน่’ เมื่อถังหยินคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้หลีเทียนและเจี๋ยงฟานก็คิดเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ทั้งสองคนมีท่าทีที่แตกต่างไปจากถังหยิน พวกเขาอุทานออกมาพร้อมกัน “นายท่าน… เป็นไปได้หรือไม่ว่า?”
ถังหยินยกมือขึ้นและขัดจังหวะคำพูดของทั้งสอง
เขาพูดอย่างเฉยเมย “ข้ารู้แล้ว”
เจียงหลูซึ่งยังคงคุกเข่าอยู่บนพื้นก็ตกตะลึง คิดว่าตนต้องตายแล้วอย่างแน่นอน แต่ไม่คาดคิดว่าการโจมตีของถังหยินกลับไม่ได้มุ่งเป้าไปมาที่เขา และสิ่งที่ชายหนุ่มเพิ่งพูดก็ไม่ได้มุ่งเป้าไปที่ตนเองเช่นกัน “…เกิดอันใดขึ้นกันแน่”
ถังหยินหันกลับมามองเจียงหลูและพูดด้วยรอยยิ้ม “เจียงหลู ลุกขึ้น!”
“อา…ใช่ ใช่ นายท่านขอรับ!” เจียงหลูจับแขนเสื้อตัวเองแล้วเอามาเช็ดเหงื่อออกจากใบหน้า หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ยืนขึ้น
ถังหยินมองผ่านฝูงชนด้านล่างและกล่าวอย่างเคร่งเครียด “ดูท่าว่าจะมีปัญหามาเยือนเราแล้ว พวกเราไม่สามารถอยู่ในชางจิงได้อีกต่อไป ยิ่งออกเดินได้เร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดี”
หลีเทียนและเจี๋ยงฟานซึ่งเข้าใจชัดเจนถึงการเดิมพันนี้ต่างรีบพยักหน้าและตอบว่า “พวกข้าก็เห็นด้วยขอรับ!”
เจียงหลูไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เขาสัมผัสได้ว่ามีคนตั้งเป้ามาที่พวกเขา และคนพวกนั้นย่อมคิดร้ายต่อถังหยินแน่!
พลันได้ยินเสียงของถังหยินถามเขาว่า “เจียงหลู การที่จะติดสินบนคนในราชสำนัก ต้องใช้ทองมากเท่าใดกัน?”