ภาคที่สาม มิต้อง ตีกรับ ร่ำสุรา จากจอกทอง ตอนที่ 76 รับอนุ

ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3

จดหมายของซ่งไจ้สุ่ยยังไม่ถึงตัวเมืองซีเหลียง แต่ด้วยเหตุที่ในที่สุดส้างกวานสืออีก็ยอมมาทำงานกับเสิ่นจั้งเฟิงแล้ว เว่ยฉางอิ๋งจึงต้องติดตามสามีกลับมาที่ตัวเมืองซีเหลียงอีกครั้ง

แม้ว่านางจะจากไประยะเวลาหนึ่ง แต่เป็นเพราะด่านเตี๋ยชุ่ยก็อยู่ในซีเหลียงเช่นกัน และนางก็นางหวงคอยดูแลเรื่องต่างๆ ภายในคฤหาสน์ดั้งเดิมนี้ให้ จึงไม่แตกต่างกับตอนที่นางอยู่ ทั้งห้องหับและลานบ้านล้วนทำความสะอาดจนไม่มีฝุ่นจับแม้แต่น้อย

เมื่อมองดูทั้งนอกและในคฤหาสน์ที่สะอาดหมดจด เว่ยฉางอิ๋งพยักหน้าอย่างพอใจ แล้วเอ่ยกับนางหวงว่า “ลำบากท่านอาแล้ว”

“ล้วนเป็นสิ่งที่ข้าน้อยสมควรทำแล้วเจ้าค่ะ จะมีอันใดลำบากเล่า?” นางหวงยิ้ม เมื่อเห็นว่าเว่ยฉางอิ๋งอารมณ์ดีไม่เลว จึงรายงานเรื่องราวต่างๆ ให้นางฟังไปเสียเลย “หลายวันก่อนทางคฤหาสน์จี้หยวน ผู้อาวุโสจี้ส่งหัวหน้าป้อมน้อยเฉามาคราวหนึ่ง โดยนามแล้วเพื่อมาส่งผลิตผลที่เพาะปลูกได้จำนวนหนึ่ง แต่ข้าน้อยเห็นว่าหัวหน้าป้อมน้อยเฉากลับมีเรื่องจะมาหาฮูหยินน้อยมากกว่า ข้าน้อยจึงสอบถามไป ปรากฏว่าเมื่อหัวหน้าป้อมน้อยเฉาได้ยินว่าฮูหยินน้อยและคุณชายไม่อยู่ ก็บอกว่ารอให้ฮูหยินน้อยและคุณชายกลับมาก่อนค่อยว่ากันเจ้าค่ะ เดิมทีข้าน้อยจะเขียนจดหมายไปบอก ฮูหยินน้อยแต่จดหมายังไม่ทันเขียนเลย ก็ได้รับข่าวว่าฮูหยินน้อยและคุณชายจะกลับมาแล้ว จึง…”

“เด็กหญิงผู้นั้นมาอีกแล้วหรือ?” เว่ยฉางอิ๋งค่อนข้างประหลาดใจ “แล้วนางก็มาส่งของที่ปลูกได้อีกแล้ว? กลับไม่รู้ว่าเป็นของใด? หรือคนในป้อมตระกูลเฉาของพวกเขาขุดโสมแก่รากที่สองมาจากที่ใดได้อีกแล้ว หรือว่าเป็นของหายากบนเขาเช่นพวกเห็ดหลินจือ หรือโส่วอู[1]?”

นางหวงบอกว่า “ข้าน้อยก็เดาว่าเป็นเช่นนี้ ตอนนั้นก็ยังบอกให้คนที่รับของมาต้องระวังสักหน่อย! ปรากฏว่าพอเปิดของออกมาดูให้ละเอียด ครานี้กลับเป็นผลิตผลทั่วไปทั้งหมดเจ้าค่ะ เป็นเพียงผักสดที่พบเห็นได้ทั่วไป ข้าน้อยไม่วางใจ จึงแบ่งเอาบางส่วนไปปรุงอาหารที่ห้องครัวเล็กด้วยตนเอง หันทั้งหมดเป็นชิ้นๆ ออกมาดูแล้ว….กลับมิได้มีสิ่งใดซ่อนอยู่ข้างในเลยเจ้าค่ะ”

“เช่นนั้นนางก็อยากจะมาพบพวกเราแล้ว” เว่ยฉางอิ๋งยิ้มพลางว่า “ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าครานี้มีเรื่องใดอีก?”

นางหวงจึงถามว่า “ฮูหยินน้อยจะพบนางหรือไม่เจ้าคะ?”

“วันพรุ่งส่งคนไปรับนางมาเถิด” เว่ยฉางอิ๋งคิดสักพักจึงบอกไป

คืนนั้น เว่ยฉางอิ๋งเล่าเรื่องนี้ให้เสิ่นจั้งเฟิงฟัง “ดูท่าว่ากองโจรเขาเหมิงซานจะนั่งไม่ติดแล้ว”

“นี่เป็นเรื่องธรรมดา” เสิ่นจั้งเฟิงปลดเปลื้องเสื้อผ้านางออกอย่างรวดเร็วพลางว่า “ก่อนหน้านี้พวกตี๋พ่ายแพ้ย่อยยับ และแตกออกเป็นสองฝ่ายห้ำหันกันเอง ไล่ต้าหย่งผู้นั้นจึงเกิดความคิดว่าจะเข้ามาสวามิภักดิ์ เวลานี้คำขอสงบศึกของอาอีถ่าหูก็ได้รับการตอบรับแล้ว ไล่ต้าหย่งจะไม่ยิ่งร้อนใจได้อย่างไร?”

“เขาอยู่ที่กว้านโจว หาใช่ที่ซีเหลียงไม่” เว่ยฉางอิ๋งปล่อยให้สามีอุ้มตนเองขึ้นมา แล้วเอื้อมมือไปช้อนคอนางขึ้นมาจูบ พลางเอ่ยยิ้มๆ ว่า “เขาจะร้อนใจอันใด? หรือด้วยกลัวว่าเมื่อเจ้ามีเว้นวางจากพวกตี๋แล้ว ก็จะไม่ละเว้นป้อมตระกูลเฉา? ความสัมพันธ์ของเขากับป้อมตระกูลเฉาแน่นแฟ้นเพียงนั้นเชียวหรือ? เวลานี้แม้แต่ป้อมตระกูลเฉาก็ยังไม่ร้อนใจเช่นนี้เลย!”

เสิ่นจั้งเฟิงเงยหน้าขึ้นมาจากข้างแก้มนาง ยิ้มแล้วว่า “เขาเห็นว่าข้าไปเชิญพี่ส้างกวานมาได้ ทั้งยังมีเวลาว่างจากศึกภายนอกชั่วขณะ กลัวว่าหากช้าไปก้าวหนึ่งก็จะไม่ได้เป็นคนสนิทของข้า!”

“เอ๋ ที่แท้เขาจะมาเป็นคนสนิทของเจ้า?” เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ เพียงแต่นางยังอยากเอ่ยบางสิ่ง เสิ่นจั้งเฟิงกลับทนจะตอบต่อไปไม่ไหวแล้ว… เช้าวันรุ่งขึ้น บ่าวพาเฉายามาหา

เว่ยฉางอิ๋งอยู่พบนางเพียงลำพัง นางถามถึงสุขภาพของจี้กู่ก่อน ได้รู้ว่าจี้กู่สบายดีทุกประการแล้ว และเวลานี้สามารถใช้ไม้คำยันเดินได้แล้วก็รู้สึกยินดีนัก จึงกำชับบ่าวซ้ายขวาว่าให้ส่งของบำรุงร่างกายไปที่คฤหาสน์จี้หยวนอีก

เมื่อทักทายสอบถามกันเสร็จแล้ว เว่ยฉางอิ๋งจึงถามเฉายาอีกว่าก่อนนี้มาหาตนด้วยมีเรื่องใด

เฉายาที่ในคำบอกเล่าของฉีซานพ่อบ้านของคฤหาสน์จี้หยวนบอกว่าไม่อยู่ในจารีตธรรมเนียม ไม่เคารพผู้ใหญ่ ยามอยู่ต่อหน้าเว่ยฉางอิ๋งกลับเหนียมอายตลอดเวลา เมื่อได้ยินนางเอ่ยถามดังนี้ ก็ไม่เอ่ยให้มากความ พลันล้วงเอาจดหมายฉบับหนึ่งออกมาจากในอก แล้วมอบให้สืออวี่ที่อยู่ข้างล่างโถงให้ส่งขึ้นไปให้นาง

เว่ยฉางอิ๋งกลับไม่รับจดหมายมา เพียงแต่กวาดตามองยามสื่ออวี่ยื่นขึ้นมาให้ และเห็นว่าบนซองจดหมายไม่มีตัวอักษรแม้สักตัว จึงถามเฉายาว่า “นี่คือ?”

เฉายาเอ่ยตอบเสียงเบาว่า “ท่านตาให้มา ให้ข้ามอบให้แก่ฮูหยินน้อย”

สอบถามไปอีกสองสามคำ ก็เห็นว่าเด็กหญิงตัวน้อยผู้นี้เอาแต่ก้มหน้าลงมือบิดชายเสื้อเท่านั้น

ดีชั่วในจดหมายเขียนสิ่งใด เว่ยฉางอิ๋งก็พอจะเดาได้บ้างอยู่แล้ว จี้กู่ก็อยู่ในตัวเมืองซีเหลียง …เว่ยฉางอิ๋งถูกฉีซานมาฟ้องสองสามครั้งจึงรู้สึกไม่ใคร่ดีกับเฉายาเท่าใด เมื่อเห็นดังนี้แล้วก็ไม่มีอารมณ์จะกระเซ้านาง จึงบอกให้นางกลับไป

เมื่อสืออวี่พาเฉายาออกไปแล้ว เว่ยฉางอิ๋งจึงมอบจดหมายให้นางหวงเอาไปเปิดข้างๆ อย่างไรเสียจดหมายบางๆ เช่นนี้ ต่อให้มีลูกไม้ใดก็เพียงแค่มียาพิษเท่านั้น สิ่งที่นางหวงผู้ซึ่งร่ำเรียนวิชามาจากจี้ชวี่ปิ้งไม่กลัวที่สุดก็คือพิษที่เอง

พักหนึ่งจากนั้น นางหวงตรวจสอบเสร็จแล้วก็ส่งคืนให้เว่ยฉางอิ๋ง “บนจดหมายไม่มีลูกไม้ใดเจ้าค่ะ”

เว่ยฉางอิ๋งพยักหน้า ความจริงแล้วนางก็รู้สึกว่าไม่ว่าจะเป็นจี้กู่เองหรือว่าไล่ต้าหย่งที่เขียนจดหมายฉบับนี้ ล้วนเป็นไปไม่ได้ว่าจะมีลูกไม้ใดอยู่ เพียงแต่ผู้สูงศักดิ์ต้องระวังเอาไว้ก่อน การที่ต้องตรวจสอบจดหมายที่มาอย่างปัจจุบันทันเช่นนี้ให้เรียบร้อยก่อนจึงรับมาอ่านในมือ ก็เป็นสิ่งที่ทำมาจนเป็นความเคยชินแล้ว

เมื่อรับจดหมายมาแล้ว เว่ยฉางอิ๋งยังไม่ทันอ่าน ก็มองเห็นคนปรากฏตัวขึ้นที่ธรณีประตู กลับเป็นเสิ่นจั้งเฟิงเข้ามา สีหน้าของเขาค่อนข้างแปลกประหลาด ดูคล้ายว่าร้องไห้ก็ไม่ใช่หัวเราะก็ไม่เชิง

เว่ยฉางอิ๋งจึงว่างจดหมายลงแล้วถามว่า “เป็นอันใดหรือ?”

เสิ่นจั้งเฟิงหัวเราะพลางว่า “ข้านึกขึ้นมาได้ว่าพี่ส้างกวานตามพวกเรามาที่ตัวเมืองซีเหลียง แม้จะจัดที่พักให้เขา ทว่าแต่ไรมาข้างกายเขาก็มีเพียงบ่าวคนหนึ่งเท่านั้น หรือว่าควรต้องเพิ่มสาวใช้ไว้รับใช้เขาอีกสักคนสองคน จึงจะมาบอกกับเจ้าสักคำ …ไม่คิดว่าระหว่างทางบังเอิญไปพบกับหัวหน้าป้อมน้อยเฉานั่นเข้า”

“เฉายาเป็นเช่นใดหรือ?” เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยถามอย่างใคร่รู้ “หรือนางพูดจาไม่สำรวมใดกับเจ้า?” ฉีซานบอกเสมอว่าปกติแล้วเฉายามักจะด่าทอไปมากับจี้กู่ ไม่เคยเรียกจี้กู่ต่อหน้าว่าท่านตาเลย ล้วนเรียกแต่ว่า ‘ตาแก่ไม่ยอมตาย’ อกตัญญูยิ่งนัก …คงมิใช่ว่าพอเฉายาออกไปจากข้างหน้าตนแล้วก็เผยธาตุแท้นี้ออกมา แล้วบังเอิญไปพบกับเสิ่นจั้งเฟิงเข้า?

ทว่าเสิ่นจั้งเฟิงส่ายหน้า บอกว่า “บ่าวพานางเดินออกไปข้างนอก แล้วบังเอิญไปพบข้าระหว่างทาง บ่าวจึงเตือนให้นางคารวะและทักทายข้า ปรากฏว่าแม่นางน้อยผู้นี้เงยหน้าขึ้นมามองข้า แล้วสีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที ราวกลับถูกข้าทำให้ตกใจเช่นนั้น นางรีบคารวะอย่างลนลาน แล้วดึงแขนเสื้อบ่าวเอาไว้แน่นๆ คล้ายเอาบ่าวมาเป็นโล่กันลูกธนูแล้วรีบจากไปอย่างรวดเร็ว”

เว่ยฉางอิ๋งได้ยินก็ไม่เข้าใจนัก กล่าวว่า “หรือนางทำความผิดใดไว้? เพียงแต่ยามอยู่ต่อหน้าข้าเมื่อครู่นี้กลับเรียบร้อยเสียยิ่งนัก”

เสิ่นจั้งเฟิง บอกว่า “นั่นน่ะสิ เสิ่นเตี๋ยบอกว่าคงเพราะนางตื่นคน? แต่ข้าคิดว่ามิใช่ว่าคราก่อนนางก็เคยเจอข้ามาแล้วหนหนึ่งหรอกหรือ? อีกประการตอนนางยังไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามองข้า ก็ไม่เห็นว่านางจะกลัวดังนี้เลย”

“ภายหลังให้ฉีซานสอบถามดูสักหน่อย” แม้จะเป็นเพราะสามีเข้ามาทำให้เว่ยฉางอิ๋งไม่ทันได้อ่านจดหมาย แต่ก็กวาดตาไปเห็นตอนต้นของจดหมายว่า “ไล่ต้าหย่งแห่งกองโจรเขาเหมิงซานขอคารวะ” จึงส่งจดหมายไปให้เขา “เจ้ามาได้จัดหวะพอดี จดหมายนี้เขียนให้เจ้า”

เสิ่นจั้งเฟิงรับจดหมายมาดูอย่างละเอียด เว่ยฉางอิ๋งเองก็ขยับเข้ามาดูใกล้ๆ ด้วย เมื่อทั้งสอง สามีภรรยาอ่านจดหมายจบก็ล้วนยิ้มออกมาน้อยๆ

จดหมายนี้มิใช่แค่ไล่ต้าหย่งหัวหน้ากองโจรเขาเหมิงซานเป็นคนเขียนมาเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นไล่ต้าหย่งยังแสดงความประสงค์ว่าอยากมาสวามิภักดิ์อย่างชัดเจนยิ่งนัก

“ดูท่าว่าไล่ต้าหย่งและป้อมตระกูลเฉาจะมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งต่อกันจริงดังว่า มิใช่แค่ป้อมตระกูลเฉาไปลักลอบซื้อเกลือจากเขาธรรมดาๆ เท่านั้น” เว่ยฉางอิ๋งกุมแขนสามี เอียงหัวพลางว่า “เขาจะมาสวามิภักดิ์กับเจ้าแต่กลับไม่ลืมจะฝากให้ป้อมตระกูลเฉานำมาด้วย”

“มิเช่นนั้นก็จะไม่ฝากจดหมายฉบับนี้มาจากทางจี้กู่แล้ว” เสิ่นจั้งเฟิงยิ้มจางๆ พลางว่า “ทว่าในเมื่อในจดหมายก็บอกไว้ดังนี้แล้ว กองโจรในกว้านโจวเหตุใดจึงได้สนิทชิดเชื้อกับป้อมซึ่งเป็นแหล่งพำนักของผู้อพยพชาวซีเหลียงของเรา คิดว่าสอบถามสักคำก็จะรู้แล้ว …ป้อมตระกูลเฉามีประชากรในป้อมสามพันคน อื่ม เสิ่นเตี๋ยเจ้าไปเชิญท่านอาเก้ามาที่คฤหาสน์ดั้งเดิมสักหน”

ท่านอาเก้าก็คือเสิ่นตงไหล ซึ่งเวลานี้เป็นผู้ตรวจการเมืองซีเหลียง

เนื่องจากเงื่อนไขที่ไล่ต้าหย่งเสนอเพื่อแลกกับการมาสวามิภักดิ์นั้น นอกจากจะให้ทุกคนในกองโจรเขาเหมิงซานได้รับการนิรโทษแล้ว กลับยังเรียกร้องให้ผู้อพยพในป้อมตระกูลเฉากลับคืนภูมิลำเนาได้ ยิ่งไปกว่านั้นยังขอให้แบ่งที่นาเอาไว้ให้ทำกินด้วย

สำหรับเสิ่นจั้งเฟิงแล้ว ทั้งสองประการนี้ล้วนไม่ยากเย็น ประการแรกนั้นเพียงเขาเขียนจดหมายไปที่ราชสำนัก แล้วให้เสิ่นเซวียนกับเสิ่นโจ้วไปเจรจากับแต่ละตระกูลสักหน่อยก็ได้แล้ว นั่นเพราะ…ฮ่องเต้โปรดฟังข่าวดี รังเกียจข่าวร้าย โดยเฉพาะข่าวที่ในบ้านเมืองมีพวกกองโจรปรากฏตัวขึ้นมา ฮ่องเต้ทรงไม่โปรดฟังเป็นที่สุด ทุกคราที่มีขุนนางรายงานข่าวทำนองนี้ขึ้นไปก็อดจะถูกฮ่องเต้กริ้วไม่ได้

นานวันเข้า ข่าวที่เกี่ยวกับกองโจรจึงไม่มีคนนำมารายงานไปเสียเลย จะว่าไปแล้วกองโจรเขาเหมิงซานก็ออกอาละวาดในกว้านโจวมาหลายปีแล้ว แต่จนบัดนี้ ฮ่องเต้ก็ล้วนไม่ทรงทราบเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย ฉะนั้นหากจะนิรโทษพวกเขา เพียงแค่หารือกับตระกูลตวนมู่ซึ่งเป็นผู้ดูแลผู้ตรวจการแผ่นดินสักหน่อย แล้วก็ล้างข้อหาของเขาให้หมดเป็นอันพอ

ส่วนประการหลังนั้นก็ยิ่งไม่ยากเข้าไปอีก เพียงแค่บอกกล่าวกับเสิ่นตงไหลว่าให้บันทึกรายชื่อผู้อพยพในป้อมตระกูลเฉาเหล่านั้นลงในบัญชีราษฎร์ใหม่อีกครั้ง และแบ่งสรรที่นาให้แต่ละครอบครัวอีกสักเล็กน้อย …ซึ่งความจริงแล้วในจำนวนนั้นก็มีบางคนที่เดิมทีมีที่นาอยู่แล้ว เพียงแต่ทนภาษีที่สูงเกินไปไม่ไหวจึงทิ้งที่นาแล้วหนีอยู่ที่ ป้อมตระกูลเฉา เพียงแต่นำที่นาเดิมคืนให้แก่คนเหล่านี้ แล้วลดอัตราภาษีลงสักหน่อยเป็นพอแล้ว

เห็นชัดว่าเสิ่นจั้งเฟิงอยากจัดการทั้งสองเรื่องนี้ให้เสร็จสิ้นในทันใด จึงส่งคนไปเรียกเสิ่นตงไหลมาในยามนี้เลย

เดิมทีเสิ่นตงไหลก็ไม่ได้มีความสามารถอันใด ล้วนอาศัยบิดาที่รู้จักเลือกข้างอย่างถูกต้องและว่องไงจึงคว้าได้ตำแหน่งผู้ตรวนการซีเหลียงนี้มาได้ เขาย่อมไม่ปฏิเสธความประสงค์ของเสิ่นจั้งเฟิง

จากนั้นเสิ่นจั้งเฟิงจึงเขียนจดหมายตอบไปว่าเงื่อนไขทั้งสองข้อนี้เขาล้วนสามารถตกลงได้ ยิ่งไปกว่านั้นตนเองก็เริ่มลงมือจัดการให้แล้วด้วย

ไล่ต้าหย่งผู้นั้นก็กลับทำการรวดเร็วนัก เมื่อได้รับจดหมายตอบแล้วก็พาคนในกองโจรที่มีฝีมือไม่ธรรมดามาสิบกว่าคน ปลอมตัวแต่งการเป็นขบวนพ่อค้าและเดินทางเข้าตัวเมืองซีเหลียง และเช่นเดิมเขาขอให้จี้กู่ช่วยเหลือเพื่อขอเข้าไปพบเสิ่นจั้งเฟิง

“ท่านหมายถึงท่านลุงไล่ที่มาจากอำเภอข้างๆ?” เว่ยฉางอิ๋งได้ฟังเฉายาที่เข้าประตูมาอีกพูดดังนี้ก็ยิ้มน้อยๆ ออกมา คิดในใจว่าความสัมพันธ์ของไล่ต้าหย่งและป้อมตระกูลเฉาลึกซึ้งไม่เบาทีเดียว ให้เฉายาเรียกเขาว่าท่านลุง หรือจะสาบานเป็นพี่น้องกับมู่ชุนเหมี่ยนแล้ว? เมื่อเป็นดังนี้ ที่ในข่าวลือบอกว่ามู่ชุนเหมี่ยนแอบคบหากับไล่ต้าหย่งผู้นี้กลับคล้ายว่าจะไม่จริงเสียแล้ว

ทว่าเรื่องเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องเล็ก …เว่ยฉางอิ๋งตั้งสติ แล้วทำตามที่เสิ่นจั้งเฟิงสั่งไว้ก่อนหน้านี้ คือให้เฉายานำความไปบอกแก่ท่านลุงของนาง และสอนให้เขาเข้า หมิงเพ่ยถังมาทางประตูมุมกำแพงในอีกสองวันให้หลัง ถึงยามนั้นจะมีคนนำทางเขาเข้ามา

สองวันต่อมา เว่ยฉางอิ๋งส่งบ่าวที่เก็บความลับได้ดีไปรอนำทางที่ประตูมุมกำแพง และให้พาคนไปที่ลานบ้านเล็กที่ค่อนข้างไม่พลุกพล่านในเรือนชั้นหน้า เสิ่นจั้งเฟิงจะไปรออยู่ที่นั่น …เรื่องเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องงาน เว่ยฉางอิ๋งจึงไม่เอ่ยถามให้มากความ และจึงไปดูแลงานต่างๆ ในเรือนหลังที่คั่งค้างมาตอนที่ตนออกไปจากตัวเมืองซีเหลียง

ปรากฏว่าจนถึงหลังเที่ยง เว่ยฉางอิ๋งทานอาหารเที่ยงอยู่เพียงลำพัง และกำลังจะไปงีบพักสักหน่อย เยียนอวี่สาวใช้รุ่นเล็กที่คัดเลือกมาจากบ่าวที่เกิดในบ้านตระกูลเสิ่นก็วิ่งตาลีตาลานเข้ามา แล้วสอบถามสาวใช้ที่ยืนประสานมืออยู่ที่ระเบียงทางเดินว่าตอนนี้เว่ยฉางอิ๋งหลับไปแล้วหรือไม่ จากนั้นก็พุ่งหัวเข้ามาในห้อง ไม่รอให้สาวใช้รุ่นใหญ่เอ็ด นางก็รายงานไปอย่างมีน้ำโหว่า “ฮูหยินน้อยเจ้าคะ คนกลุ่มนั้นที่ท่านให้ข้าน้อยพาไปพบกับคุณชายในลานเล็กที่มุมทางทิศอีสานเมื่อครู่นี้ พวกเขาจะให้คุณชายรับอนุเจ้าค่ะ!”

________________________________

[1] โส่วอู ในภาษาจีนแต้จิ๋วเรียกว่า “สิวโอว” เป็นยาบำรุงเลือด และบำรุงกระดูก