ภาค 3 ธาตุแท้ของวีรบุรุษ บทที่ 208 เศษชิ้นส่วนที่ถูกโยนลงมาจากฟากฟ้า

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

ในสมองเยี่ยนจ้าวเกอมีความคิดมากมายปรากฏขึ้นอยู่ชั่วขณะหนึ่ง ต่อเนื่องกันเป็นระลอก

เขาหรี่ตาลงเล็กน้อยชั่วครู่ สงบจิตสงบใจ แววตาสงบเงียบไร้เกลียวคลื่น เผลอเผยเห็นเพียงความใฝ่หาและใฝ่ฝัน ในฐานะศิษย์อ่อนอาวุโสคนหนึ่งที่มีต่อสามสุดยอดวิชาของสำนักเท่านั้น

เยี่ยนจ้าวเกอมองยังไปซินตงผิง อีกฝ่ายผงกศีรษะอย่างไม่ใส่ใจนัก ดังนั้นชยหนุ่มจึงเดินไปยังทางแสงอันโชติช่วงนั่นที่ปรากฏเงาลวงออกมา

เงาสะท้อนม้วนตำรานั่น พลันเกิดธารแสงมากมายตกลงมา ปกคลุมเยี่ยนจ้าวเกอไว้

ในใจเยี่ยนจ้าวเกอมีอักษรจำนวนมากปรากฏให้เห็น ซึ่งก็คือเนื้อหาของวิชาเอกพิสุทธิ์ครึ่งส่วนหลัง

ถึงแม้ว่าจะมีเงาของการสืบทอดสายปราณบริสุทธิ์ก่อนวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่อยู่หลายส่วน ทว่าตั้งแต่ชิวหยวน เฒ่าเบิกฟ้าเริ่มต้นคิดทบทวนทำให้สมบูรณ์ โดยผ่านยอดฝีมือแต่ละสมัยในอดีตของสำนักเขากว่างเฉิง ตัววิชาเอกพิสุทธิ์ก็มีส่วนที่ลึกซึ้งลึกลับอย่างมากแล้ว และยังถือได้ว่าเป็นคัมภีร์วิชาวรยุทธ์ส่วนหนึ่งที่ยอดเยี่ยม

เยี่ยนจ้าวเกอเปรียบเทียบยืนยันความถูกต้องของมัน กับคัมภีร์ที่วังเทพเก็บรักษาไว้ ซึ่งตนเองเคยดูผ่านๆ ก่อนจะพบว่าสิ่งที่ได้รับอุดมสมบูรณ์อย่างมาก

เพียงแต่ว่าสิ่งเหล่านี้ล้วนสามารถค่อยๆ พินิจพิเคราะห์ได้ในภายหลัง สิ่งที่เยี่ยนจ้าวเกอสนใจมากที่สุดในขณะนี้ก็คือ ครั้นสัมผัสกับวิชาลับสืบทอดปราณบริสุทธิ์ จิตสำนึกของตนคล้ายกับข้ามมิติ เบื้องหน้าผุดภาพฉากเมื่อหลายปีก่อนขึ้นมาอีกครั้ง

ภัยพิบัติเกิดขึ้นไปทั่วอย่างไร้ที่สิ้นสุด โกลาหลอลหม่าน ราวกับวันสิ้นโลก

ธารแสงสายหนึ่งตกลงมาจากฟากฟ้า แหวกม่านฟ้าออกชั้นแล้วชั้นเล่า ฉีกความว่างเปล่าอันไร้ที่สิ้นสุด มาถึงยังโลกแปดพิภพ ตกลงที่ระหว่างแนวเทือกเขาลูกหนึ่ง

บนยอดเขาลูกหนึ่งในนั้น ทิ้งร่องรอยที่ทั้งลี้ลับอีกทั้งยังเรียวยาวสายหนึ่ง

หลังจากนั้นไม่รู้ได้ว่าผ่านไปนานกี่ปี วันหนึ่งมีคนเดินทางผ่านสถานที่แห่งนี้ ครั้นสังเกตเห็นร่องรอยที่สลักทิ้งเอาไว้ ก็เกิดความรู้สึกบางอย่างขึ้นในใจ ทั้งยังสังเกตเห็นความลึกล้ำภายในนั้น ด้วยเหตุนี้จึงนั่งทางในอยู่หน้ายอดเขาอยู่หลายวัน เพื่อคิดทบทวนท่วงทำนอง

เยี่ยนจ้าวเกอมองดูรูปร่างหน้าตาของคนผู้นั้น จำได้ว่านั่นก็คือชิวหยวน เฒ่าเบิกฟ้า ปฐมาจารย์ผู้ก่อตั้งสำนักนี่เอง

ภาพฉากนี้ เป็นเหตุการณ์ที่ผ่านมาของแสงแห่งเทพที่ตกลงบนพื้น ทิ้งรอยสลักเอาไว้ ชิวหยวนนั่งหันหน้าชนยอดเขา นั่งทางในตระหนักในสัจธรรม ค่อยๆ สรุปรวบรวมรังสรรค์วิชาเอกพิสุทธิ์ออกมา

แสงแห่งเทพ อาจจะเป็นพลังของยอดฝีมือจากวังเทพท่านใดท่านหนึ่ง ก่อเกิดควันหลง หรืออาจจะเป็นซากปรักหักพังตกลงมา หลังจากวังเทพดับสูญ

ตอนที่เยี่ยนจ้าวเกอเข้าใกล้เงาสะท้อนของแท่นประทับหมึกชิ้นนั้นอีกครั้ง เบื้องหน้าพลันมืดมิด คล้ายเกิดความรู้สึกฟ้าดินพังครืน

หลังจากผ่านการคิดทบทวนร่องรอยสลัวๆ ที่ทิ้งเอาไว้ในแท่นประทับหมึกชิ้นนี้ ในใจเยี่ยนจ้าวเกอพลันเข้มงวด ระหว่างที่ภาพในสมองเปลี่ยน เขาเหมือนกับมองเห็นเศษชิ้นส่วนของสิ่งของบางอย่างที่เลือนราง ทะลุผ่านกาลอวกาศชั้นแล้วชั้นเล่า ร่วงลงมาจากท้องฟ้า ตกลงสู่โลกแปดพิภพ

เมื่อชิวหยวนได้รับของชิ้นนี้แล้ว เขาใช้มันเป็นรากฐาน สร้างวิชาฝ่ามือนภากว่างเฉิงออกมา

แม้ว่าภาพจะเรียบง่ายไม่ละเอียดนัก ทว่าเยี่ยนจ้าวเกอรู้สึกได้ว่าตนเองกำลังรู้สึกหวาดหวั่น เพราะรู้ว่าเศษชิ้นส่วนของสิ่งสิ่งนั้นมีสำคัญยิ่ง

เยี่ยนจ้าวเกอมองดูอย่างละเอียด ยามเศษชิ้นส่วนนั่นร่วงลง เขาเห็นเงาคนผู้หนึ่งได้อย่างเลือนราง จากความว่างเปล่าที่แหวกออกเป็นโพรงเป็นทางมุ่งขึ้นข้างบน

เศษชิ้นส่วนประหนึ่งกับหล่นลงมาโดยไม่ได้เจตนา แต่ถูกคนผู้นี้ตั้งใจทิ้งลงมาโดยเฉพาะ

เสียดายเพียงแต่ว่า การทิ้งร่องรอยความคิดอันเรียบง่ายไว้นี้ หยุดอยู่ที่ชิวหยวนสร้างวิชาฝ่ามือนภากว่างเฉิงออกมา

ชายหนุ่มหงุดหงิดขัดเคืองอยู่บ้าง

หลังจากสงบสติอารมณ์ลงแล้ว เยี่ยนจ้าวเกอจึงครุ่นคิด ‘เศษชิ้นส่วนนี้ ไม่เคยได้ยินผู้ใดเอ่ยถึงมาก่อน เป็นเพราะหายสาบสูญไปนานแล้ว หรือเป็นเพราะสำคัญอย่างยิ่งยวด มีเพียงแค่ผู้อาวุโสระดับสูงคนสำคัญที่สุดในสำนักถึงจะเข้าใจสถานการณ์ กระทั่งส่งต่อจากเจ้าสำนักรุ่นสู่รุ่นอย่างนั้นหรือ?’

เยี่ยนจ้าวเกอพ่นปราณอันขุ่นมัวออกมายาวๆ คำหนึ่ง ปรับสภาพอารมณ์ให้อ่อนโยน ‘งงงวยไม่มีทางออก ข้อสงสัยกลับจะยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ เสียด้วยซ้ำไป แต่ก็มากไปด้วยเบาะแสและทิศทางอยู่บ้าง’

เขาฝังข้อสงสัยที่ไม่อาจหาทางออกได้ชั่วคราวสู่ก้นบึ้งจิตใจ แล้วจึงเริ่มทำความเข้าใจในความลี้ลับของวิชาฝ่ามือนภากว่างเฉิงอย่างถี่ถ้วน

เนื่องด้วยสาเหตุบางประการ ชายหนุ่มเข้าใจลึกซึ้งในวิชาลับวิชานี้ คล่องมือเสียยิ่งกว่าวิชาเอกพิสุทธิ์ก่อนหน้านี้อีก

หลังจากทั้งหมดสิ้นสุดลงแล้ว เยี่ยนจ้าวเกอก็ลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ แล้วจึงคารวะซินตงผิง “รบกวนท่านอาจารย์ลุงแล้วขอรับ”

ซิงตงผิงมองชายหนุ่มอย่างลึกซึ้งแวบหนึ่ง ก่อนจะส่ายศีรษะ “ไม่เป็นไร ลงไปตั้งใจฝึกฝนเถิด”

เยี่ยนจ้าวเกอออกจากหอคัมภีร์ยุทธศาสตร์ อาหู่ก็ได้พาพ่านพ่านมาคอยท่าอยู่นอกประตูเรียบร้อยแล้ว ครั้นเห็นชายหนุ่มออกมา จึงยิ้มอย่างเบาปัญญา “คุณชาย ไขปัญหาได้แล้วหรือขอรับ”

“กลืนพุทราทั้งลูก[1]ก็เท่านั้น กลับไปค่อยๆ คิดทบทวนฝึกฝน” เยี่ยนจ้าวเกอโบกไม้โบกมือ “ตอนนี้กลับก่อนเถิด”

พ่านพ่านกระโจนขึ้นมาอีกครั้ง คราวนี้เยี่ยนจ้าวเกอไม่ได้หยุดยั้งมัน กอดเจ้าก้อนขนตัวนี้เอาไว้

พ่านพ่านในตอนนี้มีขนาดร่างใกล้เคียงกับในความทรงจำของเยี่ยนจ้าวเกอ แม้ว่ารูปร่างจะดูใหญ่ขึ้นเล็กน้อย ทว่าก็ไม่ถึงกับไม่เหมือนก่อนหน้านี้เช่นนั้น ที่พลังราวกับช้างสารบุกโจมตีก็ไม่ปาน

ครั้นกลับถึงที่พำนักแล้ว เยี่ยนจ้าวเกอก็สงบจิตสงบใจฝึกฝน

วันหนึ่ง ชายหนุ่มเดินออกไปข้างนอก หันหน้าเข้าหาตะวันรับแสงรุ่งอรุณ ในใจพลันเกิดความคิดบางอย่าง เขาคิดไตร่ตรองวันเวลาในใจเงียบๆ สักหน่อย ก่อนจะเดินไกลออกไปอีก

อาหู่ตามอยู่ข้างกาย เอ่ยถามด้วยความใคร่สงสัย “คุณชายขอรับ นี่จะไปที่ใดหรือ?”

เยี่ยนจ้าวเกอทอดถอนใจ “ไปหาท่านอาจารย์ลุง วันนี้เป็นวันถึงแก่กรรมครอบครัวของศิษย์พี่สือ ข้าเองก็จะไปปักธูปเช่นกัน”

ชายร่างโตกะพริบตาปริบๆ แม้ปฏิกิริยาของเขาดูจะไม่เข้าใจว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่ก็ไม่พูดไม่จา ตามติดหลังกายเยี่ยนจ้าวเกออย่างว่าง่าย

พวกเขาเดินทางมุ่งไปตามทางในภูเขา เมื่อปีนขึ้นบนเนินเขาเล็กลูกหนึ่ง ก็พบทั้งสองคนยื่นอยู่ตรงนั้นดังคาด

ชายทรงพลังรูปร่างสูงใหญ่ผู้หนึ่ง ซึ่งก็คืออาจารย์ลุงใหญ่สือเถี่ยนั่นเอง

ด้านหลังเขา สวีเฟยยืนอยู่

สีหน้าท่าทางสวีเฟยเคร่งขรึมน่าเคารพ ครั้นเขาเห็นเยี่ยนจ้าวเกอกับอาหู่มาถึง ก็พยักหน้าให้ทั้งคู่เบาๆ รอยยิ้มของเขาในวันนี้ ไม่ได้แฝงความผ่อนคลายและกล้าได้กล้าเสียเหมือนแต่ก่อน

สือเถี่ยหันศีรษะมองมา “จ้าวเกอมาแล้วหรือ? ช่างมีน้ำใจนัก”

เยี่ยนจ้าวเกอคารวะสือเถี่ย “ท่านอาจารย์ลุงใหญ่ ขอแสดงความเสียใจด้วยขอรับ”

ใบหน้าสือเถี่ยเงียบเฉยเหมือนเช่นเคย “ข้าไม่เป็นไร”

เขาผินศีรษะกลับไปข้างหน้าใหม่อีกครั้ง สายตาตกอยู่บนเนินดินหลุมฝังศพลูกหนึ่ง แม้ว่าจะเรียบง่าย แต่ก็สะอาดเรียบร้อย ไม่เห็นหญ้ารกใดๆ ปะปน

หน้าหลุมฝังศพตั้งป้ายศิลาสลักชื่อผู้ตายไว้ เขียนอักษร ‘สุสานของสือซงเทาลูกรัก’ เอาไว้

ทั้งสองฟากของหลุมนี้ ยังตั้งแบ่งออกเป็นอีกสองหลุม

เยี่ยนจ้าวเกอและอาหู่ต่างก็นิ่งเงียบไม่เอ่ยพูด ทั้งสองหลุมนั้น หน้าหลุมต่างก็มีป้ายตั้งเอาไว้เช่นกัน อธิบายฐานะตัวตนของเจ้าของ แบ่งออกเป็นลูกสะใภ้และหลานชายของสือเถี่ย

จริงๆ แล้วทั้งสามหลุม ล้วนเป็นหลุมฝังเสื้อผ้าและหมวก ทว่าสิ่งนี้กลับยิ่งทำให้ในใจคนทวีความอึดอัดใจ เพราะครอบครัวสือซงเทาทั้งสามคนประสบเคราะห์สิ้นชีพ แม้แต่กระดูกก็หากลับมาไม่ได้

กลุ่มคนของเยี่ยนจ้าวเกอยืนอยู่หลังสือเถี่ยเงียบๆ แต่ไรบิดาส่งบุตรสู่สุขคติ ก็ล้วนเป็นความโศกเศร้ามหาศาล

ชายหนุ่มมองดูชื่อของสือซงเทา ในสมองผุดเงาร่างของชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลายืนตระหง่านคนหนึ่ง ใบหน้าองคาพยพทั้งห้ามีส่วนคล้ายคลึงกับสือเถี่ยอยู่เก้าส่วนเต็มๆ บุตรบิดาทั้งสองแทบจะถอดแบบเดียวกันออกมา

ตัวเยี่ยนจ้าวเกอเองก็ไม่เคยสัมผัสกับศิษย์พี่สือท่านนี้ด้วยตัวเองมาก่อน สำหรับความเข้าใจที่มีต่อเขา ล้วนมีที่มามาจากความทรงจำร่างกายเจ้าของร่างเดิม

อายุอานามของสือซงเทามากกว่าสวีเฟยช่วงหนึ่ง นามกรของเขาขจรขจายไปทั่วโลกแปดพิภพ ในตอนที่ถูกยกย่องว่าเป็นบุตรสวรรค์โปรดปรานรุ่นใหม่ของสำนักเขากว่างเฉิง เยี่ยนจ้าวเกอยังคงเป็นเด็ก เพิ่งจะเริ่มฝึกยุทธ์

เทียบกับสือเถี่ยที่แข็งแกร่ง ซื่อตรง ไม่ประจบสอพลอ และเคร่งขรึมจริงจังแล้ว สือซงเทาอ่อนโยนกว่าบ้าง กระนั้นบุตรบิดาทั้งสองต่างก็มีจิตใจโอบอ้อมอารีเหมือนกัน

สวีเฟยกับเยี่ยนจ้าวเกอ ตอนยังอ่อนเยาว์ล้วนได้รับการชี้แนะและดูแลจากศิษย์พี่อาวุโสกว่าท่านนี้มากมาย

สือซงเทาในขณะนั้น ก็เป็นบุตรสวรรค์โปรดปรานที่จิตใจฮึกเหิมเช่นกัน และยิ่งสมรสกับคู่ชีวิต ให้เกิดบุตรอย่างรวดเร็ว เต็มไปด้วยความสุขชื่นมื่นถึงที่สุด

แม้แต่สือเถี่ยก็มีความสุขที่ครอบครัวได้อยู่ร่วมกันพร้อมหน้าในช่วงหลายปีนั้นเช่นกัน ยามปกติบนใบหน้าล้วนปรากฏรอยยิ้มออกมามากมาย

ทว่าน่าเสียดาย ปัจจุบันทั้งหมดนี้ ล้วนกลายเป็นเพียงอดีต

สือเถี่ยยืนอยู่ตรงนั้น ทั้งคนประหนึ่งกับรูปปั้นก็ไม่ปาน แทบจะยื่นอยู่กับที่ไปแล้วเป็นพันปี

………………..

[1] กลืนพุทราทั้งลูก หมายถึง ศึกษาโดยไม่มีการคิด วิเคราะห์ แยกแยะ