ปีที่แล้วๆ มาสือซงเทาปฏิบัติต่อผู้คนอย่างกระตือรือร้นและจริงใจ มนุษยสัมพันธ์ดีเยี่ยม วันถึงแก่กรรมทุกๆ ปีจึงมีสหายเก่าจำนวนไม่น้อยมากราบไหว้เคารพศพ เพียงแต่ทุกคนล้วนเป็นที่รู้กันว่าหลีกเลี่ยงยามฟ้าสาง
นอกจากตัวสือเถี่ยแล้ว ก็มีเพียงศิษย์รับสืบโดยตรงส่วนน้อยเท่านั้น ที่จะเดินทางมาหน้าหลุมฝังศพสือซงเทาพร้อมกับเขาได้
เยี่ยนจ้าวเกอมีใจจะมาที่นี่ แน่นอนว่าสือเถี่ยไม่ปฏิเสธ
หลังจากรอกลุ่มคนของเยี่ยนจ้าวเกอทำความเคารพหลุมฝังศพสือซงเทาด้วยธูปแล้ว สือเถี่ยจึงเอ่ย “พวกเจ้ามีน้ำใจนัก กลับไปพักผ่อนเถิด”
เยี่ยนจ้าวเกอและสวีเฟยสบตากันวูบหนึ่ง ก่อนจะพาอาหู่ปลีกตัวออกไปพร้อมกัน
ระหว่างเดินไปตามทาง เยี่ยนจ้าวเกอหันกายมองกลับไป ก็เห็นเงาร่างของสือเถี่ยยังคงยืนเงียบๆ อยู่ตรงนั้น
สวีเฟยที่อยู่ข้างกายทอดถอนใจ “ท่านอาจารย์ยังคงตำหนิตนเองอยู่”
ครั้นแล้วเยี่ยนจ้าวเกอก็ถอนใจตามเช่นกัน ในฐานะคนส่วนน้อยที่รู้เบื้องหน้าเบื้องหลัง เขารู้ว่าคำพูดของสวีเฟยหมายความเช่นไร
ปีที่ผ่านมา ครอบครัวสือซงเทาทั้งสามประสบเคราะห์ร้ายสิ้นชีพ แท้จริงแล้วสือเถี่ยมีโอกาสเข้าช่วยเหลือ ทว่าประสบกับสถานการณ์อันตรายพอดี ดูแล้วผลประโยชน์สำนักเขากว่างเฉิงก็ได้รับความเสียหายรุนแรงเช่นกัน และในบรรดาผู้คนในเหตุการณ์ ณ ขณะนั้น มีเพียงแค่สือเถี่ยที่มีความสามารถหยุดยั้งได้
ผลลัพธ์คือ เมื่อเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกเช่นนี้ ในที่สุดแล้วสือเถี่ยเลือกที่จะปกป้องคุ้มครองทั้งสำนัก กระนั้นเมื่อตัดสินใจเช่นนี้แล้ว บุตรหลานของเขาเองกลับช่วยเหลือไม่ทันกาล สุดท้ายบิดาต้องฝังศพบุตรชายตนเอง
นี่เป็นความผิดหวังเสียใจชั่วชีวิตของสือเถี่ย เพราะแต่ไหนแต่ไรเขาประพฤติตนด้วยความซื่อสัตย์จริงใจ เพื่อที่จะได้ไม่ละอายต่อฟ้าดิน ละอายต่อญาติของตนเองเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น
จวบจนปัจจุบัน แม้ว่าจะตั้งสุสานฝังเสื้อผ้าและหมวกแล้วก็ตาม ทว่าจริงๆ แล้วสือเถี่ยยังคงไม่ยอมละทิ้งความหวังสุดท้าย ขอแค่มีโอกาส ก็จะรุดหน้าไปสำรวจและสืบหายังสถานที่ในตอนนั้น ปรารถนาว่าจะมีความเป็นไปได้อันน้อยนิด ว่าครอบครัวของสือซงเทายังคงมีชีวิตรอดกลับมาได้ เพราถึงอย่างไรเสียก็ไม่เคยพบซากกระดูกของพวกเขาเสมอมา
น่าเสียดายที่เวลาห้าปีผ่านพ้นไป ยังคงไม่ได้อะไรแม้แต่น้อย ความหวังสุดท้ายก็กำลังสูญสิ้นไปทีละนิดๆ
สวีเฟยกระซิบกระซาบกล่าว “หากมีโอกาสอีกครั้ง ท่านอาจารย์จะเลือกทางที่ไม่เหมือนเดิมหรือไม่”
เขารำพึงรำพันกับตนเอง ไม่ได้คาดหวังว่าเยี่ยนจ้าวเกอจะตอบกลับแต่อย่างใด ส่วนเยี่ยนจ้าวเกอก็เดินอยู่ข้างกายเขาอย่างเงียบเชียบ
สวีเฟยทอดถอนใจ กล่าวต่อไปว่า “แม้ว่าจะเศร้าโศกเสียใจ แม้ว่าจะตำหนิตนเอง แม้ว่าจะละอายแก่ใจ แต่ว่าความเป็นไปได้ ยังคงเป็นตัวเลือกที่ไม่ต่างกันกระมัง ท่านอาจารย์เขา…”
เยี่ยนจ้าวเกอเอ่ยถามเสียงเบา “ถ้าหากเป็นศิษย์พี่สวีเล่า ระหว่างภาระหน้าที่ที่แบกเอาไว้ กับญาติตัวเอง ท่านจะเลือกอย่างไร”
หลังจากนิ่งเงียบอยู่เนิ่นนาน สวีเฟยจึงกล่าวตอบ “ข้าไม่รู้ บางทีในตอนที่เผชิญหน้ากับช่วงเวลานั้นจริงๆ ข้าถึงจะให้คำตอบได้กระมัง”
เยี่ยนจ้าวเกอผงกศีรษะ ทั้งสองไม่ได้พูดคุยกันอีก เคียงไหล่รุดไปข้างหน้า ถึงทางแยกจากสายหลักแล้ว จึงกุมกำปั้นที่หน้าอกคารวะต่อกัน กล่าวลากันตรงนี้ ต่างคนต่างกลับที่พำนักของตนเอง
ครั้นถึงที่พำนักของตน เยี่ยนจ้าวเกอนั่งขัดสมาธิตัวตรง ปิดเปลือกตาทั้งสอง สงบจิตสงบใจลง ตกตะกอนความรู้สึกนึกคิด
ประเดี๋ยวเดียว เยี่ยนจ้าวเกอก็ลืมตาขึ้นอีกครั้ง ก่อนจะหยิบยันต์ทองใบหนึ่งออกมาจากหน้าอก
ยันต์ทองใบนี้ เขาได้มาหลังจากที่สังหารเสียจื่ออี้ผู้ตกเป็นมารในเขตไอมาร ตอนอยู่ที่ทะเลสาบปิดนภา
ชายหนุ่มมองดูลายริ้วที่ทั้งลี้ลับอีกทั้งซับซ้อนบนพื้นผิวยันต์ทอง พลางครุ่นคิดอย่างจริงจัง ‘เหมือนกับเป็นอักษรรูปแบบหนึ่งที่พิลึกพิลั่นไม่คุ้นตาเป็นอย่างยิ่ง น่าจะเป็นสิ่งของที่ปรากฏขึ้นหลังเกิดวิกฤตการณ์ใหญ่’
เยี่ยนจ้าวเกอหัวเราะขื่น เหมือนเช่นสิ่งของที่จอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์มังกรน้ำแข็งทิ้งเอาไว้ในตอนแรกไม่มีผิด สิ่งของที่ปรากฏหลังจากวิกฤตการณ์ใหญ่ ทว่าเทียบกับปัจจุบันแล้วกลับค่อนข้างเก่าแก่เสียอย่างนั้น ที่ทำให้เขาจนปัญญามากที่สุดคือ ติดอยู่ที่ช่วงต่อที่ความรู้สะสมของเขาอ่อนที่สุดพอดิบพอดี
ถึงกระนั้น เยี่ยนจ้าวเกอก็กำลังพยายามชดเชยจุดอ่อนในด้านนี้ของเขาอยู่เช่นกัน บัดนี้มองดูยันต์ทองอยู่ กลับไม่ใช่การจัดการที่ไร้การเริ่มลงมือแต่อย่างใด
‘มีบางส่วนคล้ายตัวอักษรของเขตพื้นชายขอบฝั่งเหนือ ที่สืบต่อกันมาในกลุ่มคนส่วนน้อยในพื้นที่เท่านั้นหรือ?’
หลังเยี่ยนจ้าวเกอพิจารณาใคร่ครวญอยู่ชั่วครู่ เขาก็สั่งบ่าวรับใช้ “ไปนำตำราด้านอักษรโบราณที่สืบทอดต่อกันในพื้นที่ส่วนเหนือของเกาะจินมาให้ข้า มีเท่าใดก็นำมาเท่านั้น ยุคสมัยยิ่งเก่ายิ่งดี”
ในบรรดาเกาะทั้งหกของอัสนีพิภพ เขตพื้นที่ที่อยู่ด้านเหนือติดกับทะเลน้ำชายขอบฝั่งเหนือ ก็คือเกาะจิน
ไม่นานนักก็มีจอมยุทธ์ชุดดำส่งของที่เยี่ยนจ้าวเกอต้องการมา
หลังจากใช้เวลาสำรวจอย่างละเอียดพักหนึ่ง ในใจเยี่ยนจ้าวเกอก็ค่อยๆ รู้ว่าจะต้องทำเช่นไร เขาเคาะนิ้วลงบนยันต์ทองนั่นเบาๆ ปลายนิ้วเลื่อนไปตามริ้วลวดลายยันต์ทอง วาดรอยทีละเส้น
รอยเหล่านั้นคงอยู่บนพื้นผิวยันต์ทอง ยาวนานไม่สลายไป
เยี่ยนจ้าวเกอชักนิ้วมือกลับ เพ่งมองลายเส้นบนยันต์ทองที่มีแนวโน้มว่าจะครบถ้วนสมบูรณ์อย่างถี่ถ้วน สุดท้ายตบฝ่ามือลงไปบนยันต์สีทอง
ยันต์ทองพลันปะทุแสงแวววาวเจิดทันใด กลายเป็นแสงเรืองรองเป็นดวงๆ มลายหายไปในที่สุด
เห็นดังนั้น ใบหน้าเยี่ยนจ้าวเกอกลับเผยเห็นรอยยิ้มพอใจ จากนั้นก็เห็นแสงทองเป็นดวงๆ เหล่านั้นพลิ้วไหว เกาะกลุ่มไม่กระจัดกระจาย กลายเป็นหมอกแสงโดยรอบ ลอยอยู่ในกลางอากาศ
ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าลึกคำหนึ่ง ประหนึ่งกับวาฬดูดน้ำก็ไม่ปาน หมอกแสงโดยรอบเหล่านั้นพลันถูกเขาสูดเข้าไปจนหมดสิ้นทันที
มีเสี้ยวขณะหนึ่ง ที่ภายในใจเยี่ยนจ้าวเกอ บังเกิดความรู้สึกร้อนระอุขึ้น
ด้วยระดับพลังฝึกปรือของเยี่ยนจ้าวเกอในตอนนี้ แต่ละอวัยวะภายในร่างกายล้วนผ่านการฝึกฝนและทดสอบมาอย่างโชกโชนแล้ว
ความรู้สึกไม่สบายเกิดขึ้นในชั่วเสี้ยววินาทีเท่านั้น จากนั้นไม่นานนักก็ค่อยๆ หายไป
เยี่ยนจ้าวเกอสำรวจภายในร่างกายตนเอง เขาพบว่าแสงทองเป็นดวงๆ ปลิวไหวไม่หยุด กระจายติดอยู่บนพื้นผิวเส้นเลือดทุกเส้น ประหนึ่งชุบแสงสีทองพร่างพราวให้แก่เส้นเลือดภายในร่างกายตนชั้นหนึ่ง
ต่อให้เป็นเส้นเลือดที่เล็กที่สุด ละเอียดเป็นเส้นฝอยที่สุด ก็ไม่เว้นเช่นกัน
เขาหายใจขับสารพิษอย่างสงบเงียบ ระหว่างที่เลือดลมโคจรอยู่นั้น เลือดหลั่งไหลประดุจหินหนืดที่ร้อนผ่าว ส่งเสียงคำรามกึกก้องออกมา
หลังจากโคจรปราณจิตราสามสิบหกรอบแล้ว เยี่ยนจ้าวเกอจึงเก็บกระบวนท่า แสงทองทอประกายบนผิวหนังวับวาบแล้วก็หายไป
ครั้นผุดลุกขึ้นจากพื้นมา ชายหนุ่มลูบคางของตนเอง “มีบางเรื่อง เหมือนกับจะวางเป็นประเด็นสำคัญได้แล้วเช่นกัน”
ขณะที่คิดเช่นนี้ เยี่ยนจ้าวเกอก็สะบัดมือ แสงสว่างไสวสองสามสายส่องสว่างวาบผ่านไปลอยอยู่ในอากาศ กลับเป็นอาวุธวิญญาณระดับล่างแต่ละชิ้น
เสื้อเกราะภูผาวิญญาณ กระบี่เผาไหม้ กระบี่ผนึกหมอก กงจักรเพลิงสุริยะ กระบี่อัสนีทองคำม่วง และดาบอัสนีบิน
นอกจากดาบแสงคลื่นคราม อาวุธวิญญาณระดับกลาง กับกระบี่วิญญาณมังกรมรกต ของล้ำค่าติดกายเสมอมาของเยี่ยนจ้าวเกอเองแล้ว อาวุธวิญญาณระดับล่างโดยส่วนมากที่อยู่ในมือเยี่ยนจ้าวเกอตอนนี้ล้วนอยู่ที่นี่แล้ว
จะว่าไปแล้ว ทั้งหมดล้วนเป็นอาวุธรบติดป้ายสืบทอดหลักของดินแดนศักดิ์สิทธิ์อื่นทั้งสิ้น
เจ้าของเดิมของอาวุธวิญญาณเหล่านี้ แบ่งออกเป็น หลิวเซิ่งเฟิง จ้าวฮ่าว เสียจื่ออี้ เซียวเซิง เยี่ยนซ่าน และหลินโจว
เพียงแค่รายนามพวงนี้ กับอาวุธวิญญาณแต่ละชิ้นเหล่านี้ ก็เพียงพอที่จะทำให้จอมยุทธ์รุ่นเดียวกันคนอื่นชื่นชมสิ่งที่ได้เห็นว่าดีงามอย่างที่สุดแล้ว
หากเยี่ยนจ้าวเกอนำอาวุธที่ยึดมาจากศัตรูของตนเปิดเป็นงานชุมนุมแสดงอาวุธ คาดว่าคงจะมีคนไม่น้อยโกรธจนกระอักเลือดออกมา
ด้วยพลังฝึกปรือของเยี่ยนจ้าวเกอในตอนนี้นั้น โดยส่วนมากในชั่วขณะเดียวกัน สามารถขับเคลื่อนอาวุธวิญญาณระดับล่างได้เพียงแค่ชิ้นเดียวเท่านั้น มากกว่านั้นละก็ หากไม่สลับเปลี่ยนใช้ ก็ต้องนำมาใช้เป็นอาวุธลับ อาศัยชั่วครู่ที่ตัดการเชื่อมต่อนั้นระเบิดพลังโจมตีศัตรู หรือไม่ก็ตรึงอาวุธวิญญาณของคู่ต่อสู้
มีอาวุธวิญญาณมาก ทุบคู่ต่อสู้ให้สิ้นไปเสีย ประโยคนี้ไม่ใช่แค่ล้อเล่นเท่านั้น
เมื่อเยี่ยนจ้าวเกอจนบรรลุระดับมหาปรมาจารย์แล้ว อาวุธวิญญาณเหล่านี้จึงจะสามารถใช้พร้อมกันตามต้องการได้
เพียงแต่ชายหนุ่มมีความคิดอื่น แม้ว่าด้วยความเร็วในการพัฒนาของตน ระดับมหาปรมาจารย์ไม่ได้ห่างไกลแต่อย่างใดก็ตาม
หลังจากครุ่นคิดอีกครั้งครู่หนึ่ง เยี่ยนจ้าวเกอก็ชี้นิ้วเบาๆ เก็บเสื้อเกราะภูผาวิญญาณ กงจักรเพลิงสุริยะ และดาบอัสนีบิน เหลือไว้เพียงแค่กระบี่เผาไหม้ กระบี่ผนึกหมอก และกระบี่อัสนีทองคำม่วง อาวุธชนิดกระบี่สามเล่มเท่านั้น
จากนั้นเยี่ยนจ้าวเกอก็พลิกฝ่ามือ กลางฝ่ามือมีกิ่งไผ่เพิ่มขึ้นมากิ่งหนึ่ง
กิ่งไผ่สีเข้มหม่นกิ่งหนึ่ง ที่เปล่งประกายแสงม่วงออกมาเลือนราง
ทันทีที่เปิดเตาผลึกหินชั้นในแล้ว เยี่ยนจ้าวเกอก็นำกิ่งไผ่นั้น กับอาวุธวิญญาณระดับล่างทั้งสามชิ้น ใส่เข้าไปในนั้นพร้อมกัน
———————————————–
บทที่ 210 การทดสอบแห่งจันทราครั้งที่สี่
เตาผลึกหินชั้นในส่งเสียงดังโครมครามออกมา ธารแสงระยิบระยับเปี่ยมไปด้วยสีสัน
แท้จริงแล้วการโคจรภายในเตาหลอมดูเรื่อยเฉื่อยเป็นอย่างยิ่ง เมฆเจือแสงเรืองรองมากมายปกคลุม มองรายละเอียดสภาพการณ์ภายในนั้นได้ไม่เด่นชัดนัก
เยี่ยนจ้าวเกอควบคุมเตาผลึกหินชั้นใน สีหน้าของเขาจริงจังเป็นพิเศษ
ขณะเดียวกันก็มีน้ำอดน้ำทนเป็นพิเศษเช่นกัน เขาต้องการหลอมของวิเศษที่ออกมาจากจิตใจตนเองโดยสมบูรณ์ สอดคล้องเหมาะสมกับวิชาที่ตนศึกษา และสร้างขึ้นด้วยตนเองโดยแท้ เพื่อตัวเองชิ้นหนึ่ง
ชายหนุ่มมีเค้าโครงภายในใจ ต้องพยายามเสาะแสวงผลลัพธ์ที่ดีพร้อมสมบูรณ์สุดกำลัง แผนการนี้ไม่ใช่เรื่องที่จะประสบผลสำเร็จได้โดยง่ายเลย
สำหรับจุดนี้ เยี่ยนจ้าวเกอไม่รีบไม่ร้อน ระหว่างกระบวนการหลอม ก็ปรับเปลี่ยนความคิดเดิมเล็กน้อยให้สมบูรณ์ ตามสถานการณ์ความเป็นจริงอยู่ตลอดเวลาเช่นกัน
ในวันต่อมา เยี่ยนจ้าวเกอใช้เวลาผ่านไปอย่างเต็มอิ่มยิ่งนัก นอกจากบำเพ็ญวิถีวรยุทธ์พัฒนาตนเอง ก็ศึกษาค้นคว้าและคิดทบทวนหลักค่ายกล ทั้งยังขับเคลื่อนเตาผลึกหินชั้นในหลอมของวิเศษ
ระหว่างที่กาลเวลาล่วงเลยไปอย่างรวดเร็ว ก็ผ่านไปเป็นเวลาหลายเดือนแล้ว
หลังจากช่วงเวลานี้เป็นต้นมา เยี่ยนจ้าวเกอเก็บเนื้อเก็บตัวอยู่ในที่พำนักเสมอ น้อยนักจะออกไปที่ใด จนกระทั่งนับวันนับคืนดูแล้ว ใกล้จะถึงฤดูกาลที่พายุนิมิตทมิฬในมหาทะเลทรายแดนตะวันตกของวายุพิภพอ่อนกำลังลงแล้ว ชยหนุ่มถึงได้ออกจากฌาน
“อาหู่ ช่วยข้าติดต่อคนของสำนักที่วายุพิภพ ให้เตรียมของบางอย่างสำรองเอาไว้ล่วงหน้าที” เยี่ยนจ้าวเกอบิดขี้เกียจครั้งหนึ่ง อาหู่ผงกศรีษะตอบรับ แล้วจึงลงไปจัดการธุระให้
เยี่ยนจ้าวเกอหรี่ตาลง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองแสงอาทิตย์เป็นลายพร้อย ที่ลอดผ่านลงมาระหว่างซอกกิ่งก้านและใบไม้ลงในป่าเขา
“การทดสอบแห่งจันทราครั้งที่สี่น่าจะใกล้สิ้นสุดแล้วกระมัง ไม่รู้ได้ว่าผลท้ายที่สุดจะเป็นเช่นไร?”
ชายหนุ่มรำพึงรำพันกับตนเอง ครุ่นคิดไปพลาง ยกขาก้าวเดินไปพลาง
การทดสอบแห่งจันทราครั้งที่สี่ สำนักเขากว่างเฉิงยังคงเป็นผู้นั่งชม ไม่ได้เข้าร่วมประลอง
ถึงแม้ว่าจันทรากายของเฟิงอวิ๋นเซิงจะฟื้นคืนกลับมาแล้วก็ตาม ทว่ายังคงมุ่งฝึกปรืออยู่
ไม่ว่าจะเป็นเยี่ยนจ้าวเกอหรือฟู่เอินซู รวมถึงยอดฝีมือระดับสูงแห่งกว่างเฉิง แม้ว่าพวกเขาจะรู้สึกร้อนรนอยู่ภายในใจ กระนั้นกลับไม่ได้ให้เฟิงอวิ๋นเซิงเข้าร่วมการทดสอบแห่งจันทราครั้งที่สี่โดยเป็นที่รู้กัน
ไม่มีเหตุผลอื่น เฟิงอวิ๋นเซิงยังต้องการเวลา มาชดเชยสองปีก่อนหน้าที่เสียไปเปล่าๆ
คู่ต่อสู้ก็กำลังพัฒนา อีกทั้งยังทุ่มสุดกำลังเช่นเดียวกัน รุดหน้าอย่างว่องไว ไม่ใช่ยืนอยู่กับที่รอให้เฟิงอวิ๋นเซิงไล่ตามไป
ขณะที่เยี่ยนจ้าวเกอครุ่นคิดไปพลาง เขาก็มาถึงหุบเขาเล็กที่เฟิงอวิ๋นเซิงอยู่แล้ว
ที่แห่งนั้น เห็นได้ดังคาดว่าเฟิงอวิ๋นเซิงเหมือนเช่นอดีตที่ผ่านมา ฝึกฝน หมั่นบำเพ็ญเพียรอย่างหนัก
มือที่กำดาบของนางมั่นคงเสมอมา ทว่าลึกเข้าไปในแววตา คล้ายกับมีเปลวเพลิงลอยขึ้นสูง ยิ่งคุโชนขึ้น
คนนอกมักจะเข้าใจได้ยากยิ่ง คนคนหนึ่งได้รับแล้วสูญเสียอีกครั้ง หลังจากตกลงมาถึงจุดต่ำสุด ตอนที่มีโอกาสหนึ่งที่จะสูญเสียแล้วกลับมาได้รับใหม่อีกครั้งวางอยู่ตรงหน้า จะระเบิดพลังงานเช่นไรออกมา
สภาพจิตใจและความตั้งใจของเฟิงอวิ๋นเซิง ล้วนเป็นตัวเลือกต้นๆ แรงกดดันที่มีทั้งหมด ต่างก็ถูกเปลี่ยนเป็นแรงผลักดันทั้งสิ้น ทำให้นางเผาไหม้ตัวเองตลอดเวลา
แม้ว่าจะไม่ถูกเขากว่างเฉิงส่งเข้าร่วมการทดสอบแห่งจันทราเป็นการชั่วคราว นางก็เข้าใจได้เช่นกัน เพียงแค่พยายามพัฒนาตัวเองให้มากขึ้นเท่านั้น
เยี่ยนจ้าวเกอนั่งอยู่ที่เดิมเงียบๆ มองดูเฟิงอวิ๋นเซิงฝึกยุทธ์
บริเวณอีกฝั่งหนึ่ง ก็มีคนอีกคนหนึ่งกำลังฝึกฝนอย่างเป็นระบบระเบียบ
คนผู้นั้นคือเด็กคนชายที่ขณะนี้ยังอายุไม่ถึงสิบสองปี แต่กลับฝึกปราณกลายเป็นจิตรา เหยียบก้าวสู่ระดับปรมาจารย์แล้ว!
อิงหลงถูทำลายสถิติของเยี่ยนตี๋ บิดาของเยี่ยนจ้าวเกอได้สำเร็จ กลายเป็นปรมาจารย์ที่อ่อนเยาว์ที่สุด นับตั้งแต่โลกแปดพิภพมีการบันทึกมาหลังจากวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่
เด็กชายในขณะนี้กำลังรวมจิตใจจดจ่อ ในแววตาส่องประกายสติปัญญาที่ยามปกติไม่มี ฝึกยุทธ์โดยไม่สะเปะสะปะแม้แต่น้อย ระดับความใจจดใจจ่อไม่ได้ด้อยไปกว่าเฟิงอวิ๋นเซิงที่อยู่ข้างๆ แม้สักนิด
มีเพียงเวลานี้เท่านั้น เขาถึงจะไม่มีท่าทางที่อืดอาดเหมือนเช่นวันธรรมดาทั่วไป
เลือดลมร่างกายอันทรงอานุภาพทะยานสูงขึ้นตามการออกหมัดของเขา ยิ่งไปกว่านั้นคือเหนือชั้นกว่าจอมยุทธ์ระดับเดียวกันจำนวนมาก
เยี่ยนจ้าวเกออมยิ้มมองดูพวกเขาทั้งสองฝึกหมัด บริเวณไกลออกไป พ่านพ่าน หมีสยงเมายักษ์กำลังนั่งอยู่บนพื้น ป้อนอาหารเข้าไปในปากของตัวเองด้วยความเบื่อหน่ายยิ่ง ทันทีที่มันมองเห็นเยี่ยนจ้าวเกอปรากฎตัวขึ้น ดวงตาพลันทอประกาย วิ่งมุ่งมาทางนี้
“ตามศิษย์น้องเฟิง เจ้ากลับมีลาภปากเสียอย่างนั้น” เยี่ยนจ้าวเกอหัวร่อพลางกอดพ่านพ่านไว้ พร้อมกับลูบหัวอันใหญ่โตของมัน
โร่วโร่วสุนัขตัวเล็กที่เฟิงอวิ๋นเซิงเลี้ยงไว้ ก็คุ้นเคยกับเยี่ยนจ้าวเกอนานแล้วเช่นกัน ยามนี้แม้จะไม่ถลันขึ้นมาเหมือนเช่นพ่านพ่าน ทว่าก็ส่ายหางน้อยๆ ของตนด้วยความดีใจเช่นกัน
อิงหลงถูกฝึกหมัดครั้งสุดท้ายเสร็จสิ้น เก็บท่าแล้ว ครั้นมองเห็นเยี่ยนจ้าวเกอ ดวงตาของเขาพลันเปล่งประกาย เดินมุ่งมาทางเยี่ยนจ้าวเกอเช่นกัน ยิ้มกล่าวด้วยความเหนียมอายอยู่บ้าง “ศิษย์พี่เยี่ยน”
เยี่ยนจ้าวเกอยิ้มเอ่ย “ระหว่างฝึกฝน มีปัญหาอะไรหรือไม่?”
เด็กชายเกาศีรษะ พยายามสรุปภาษาของตนเอง “ก่อนหน้านี้ได้ยินศิษย์พี่ท่านหนึ่งเอ่ยขึ้นว่า ความเร็วและพลังยากที่จะคำนึงถึงพร้อมๆ กัน ซ้ำยังเอาสำนักเขาไร้พรมแดนกับตำหนักอัสนีสวรรค์มาเปรียบเทียบ แต่รู้สึกว่า ที่เขากล่าวคล้ายกับมีตรงไหนไม่ถูก”
เมื่อได้ยินดังนั้น เยี่ยนจ้าวเกอก็ยิ้มขึ้น ฮานหลงเอ๋อร์ซื่อตรงใช้ได้ แต่ไม่รู้ได้ว่าข้อสงสัยของเขานี้ได้เอ่ยขึ้นต่อหน้าศิษย์น้องร่วมสำนักผู้นั้นหรือไม่
“ที่เขาพูดก็ถูกต้อง แต่ก็ไม่ถูกต้องอยู่ในที” เยี่ยนจ้าวเกออธิบาย “กล่าวว่าความเร็วและพลังยากจะคำนึงถึงพร้อมๆ กันเพียงอย่างเดียว นับว่าไม่ถูกต้องนัก เฉกเช่นกำปั้นของเจ้า ต่อยหมัดออกไป หมัดเจ้าเร็ว เช่นนั้นพลังที่แฝงอยู่ในหมัดนี้ก็ไม่อ่อนแอเป็นแน่”
“มักกล่าวกันว่าการรุกโจมตีของตำหนักอัสนีสวรรค์ ว่องไวดุจสายฟ้า รุนแรงดุจฟ้าคำราม ครึ่งประโยคหน้าพูดถึงความเร็ว ครึ่งประโยคหลังก็ชมว่าพลังของพวกเขารุนแรงเช่นกัน”
เยี่ยนจ้าวเกอยกฝ่ามือของตนขึ้น ยื่นออกไปข้างหน้า “แต่การที่พวกเราออกกระบวนท่าไป เกี่ยวพันไปถึงปัญหาของการปลดปล่อยพลัง เชื่อมการสะสมพลังและการปล่อยพลังเข้าด้วยกัน จากนั้นจึงจะเป็นการรุกโจมตีที่แท้จริง”
“แต่ในกระบวนการสะสมพลังปล่อยพลังนี้ ก็เกี่ยวพันถึงการเลือกความเร็วและพลังแล้ว ในสถานการณ์โดยส่วนมากแล้ว การสะสมพลังยิ่งเต็มที่มากเท่าใด การปล่อยพลังยิ่งรุนแรงมากเท่านั้น แต่เวลาที่ใช้ก็ยิ่งยาวนานด้วยเช่นกัน”
ชายหนุ่มองไปยังอิงหลงถู “มักกล่าวกันว่าตำหนักอัสนีสวรรค์และสำนักเขาไร้พรมแดนต่างคนต่างก็สุดขั้ว ฝ่ายหนึ่งเร็วฝ่ายหนึ่งช้า จริงๆ แล้วความแตกต่างของพวกเขาก็อยู่ที่ตรงนี้”
อิงหลงถูพยักหน้าด้วยความเหม่อลอยอยู่บ้าง “เป็นการเลือกพลังเร็วช้าของทั้งกระบวนการปล่อยพลังกระบวนท่านี้ออกไป ซึ่งไม่ใช่ปล่อยพลังออกไปแล้ว คำนึงถึงแต่ความเร็วในการออกมือ”
เยี่ยนจ้าวเกอยิ้มกล่าว “ถูกต้อง ตำหนักอัสนีสวรรค์และสำนักเขาไร้พรมแดน แทนที่จะกล่าวว่าความเร็วในการออกกระบวนท่าช้าเร็วมีความแตกต่าง ไม่สู้กล่าวว่าความเร็วในการเปลี่ยนกระบวนท่าช้าเร็วมีความแตกต่างน่าจะดีกว่า”
“ในด้านลักษณะเด่นของพลัง ทั้งสองสำนักล้วนเดินไปบนลู่ทางอันแข็งแกร่งห้าวหาญ ตำหนักอัสนีสวรรค์รุนแรงกว่า ส่วนสำนักเขาไร้พรมแดนทรงพลังกว่า”
ขณะทั้งสองกล่าวไปพลาง อาหู่ก็มาถึงยังภายในหุบเขา เขาเดินมาทางเยี่ยนจ้าวเกอ ใบหน้าเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มเบิกบาน
“คุณชาย ข้าติดต่อไปทางวายุพิภพตามที่ท่านสั่งแล้วขอรับ” รายงานข้อมูลตามปกติให้เรียบร้อยก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นอาหู่จึงพูดกลั้วหัวเราะว่า “แล้วก็ผลการทดสอบแห่งจันทราครั้งที่สี่ออกมาแล้วขอรับ เมิ่งหว่านแห่งสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์พลั้งพลาดแล้ว!”
เยี่ยนจ้าวเกอเลิกคิ้วเล็กน้อย “เล่ามาสิว่าเกิดอะไรขึ้น”
อาหู่ยิ้มกล่าวด้วยความดีใจว่า “ร่างกายเมิ่งหว่านเองคล้ายกับเกิดปัญหาบางอย่างขึ้น ผลคือเพลี่ยงพล้ำในการช่วงชิงรอบสุดท้าย”
ชายหนุ่มมุ่นคิ้วเล็กน้อย “ผู้อาวุโสสำนักที่ร่วมชม มีภาพบันทึกกลับมาหรือไม่?”
อาหู่ผงกศีรษะ “มีขอรับ”
ดูฉากการประลองจริงแล้ว เยี่ยนจ้าวเกอไม่เพียงไม่รู้สึกดีใจเท่านั้น สีหน้ากลับจะเปลี่ยนเป็นผึ่งผายจริงจังขึ้นมาเสียด้วยซ้ำไป “กลัวสิ่งใดก็มักจะเป็นเช่นนั้น เหตุการณ์ที่แย่ที่สุดปรากฏขึ้นแล้ว”
…………..