ภาค 3 ธาตุแท้ของวีรบุรุษ บทที่ 210 การทดสอบแห่งจันทราครั้งที่สี่

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

เตาผลึกหินชั้นในส่งเสียงดังโครมครามออกมา ธารแสงระยิบระยับเปี่ยมไปด้วยสีสัน

แท้จริงแล้วการโคจรภายในเตาหลอมดูเรื่อยเฉื่อยเป็นอย่างยิ่ง เมฆเจือแสงเรืองรองมากมายปกคลุม มองรายละเอียดสภาพการณ์ภายในนั้นได้ไม่เด่นชัดนัก

เยี่ยนจ้าวเกอควบคุมเตาผลึกหินชั้นใน สีหน้าของเขาจริงจังเป็นพิเศษ

ขณะเดียวกันก็มีน้ำอดน้ำทนเป็นพิเศษเช่นกัน เขาต้องการหลอมของวิเศษที่ออกมาจากจิตใจตนเองโดยสมบูรณ์ สอดคล้องเหมาะสมกับวิชาที่ตนศึกษา และสร้างขึ้นด้วยตนเองโดยแท้ เพื่อตัวเองชิ้นหนึ่ง

ชายหนุ่มมีเค้าโครงภายในใจ ต้องพยายามเสาะแสวงผลลัพธ์ที่ดีพร้อมสมบูรณ์สุดกำลัง แผนการนี้ไม่ใช่เรื่องที่จะประสบผลสำเร็จได้โดยง่ายเลย

สำหรับจุดนี้ เยี่ยนจ้าวเกอไม่รีบไม่ร้อน ระหว่างกระบวนการหลอม ก็ปรับเปลี่ยนความคิดเดิมเล็กน้อยให้สมบูรณ์ ตามสถานการณ์ความเป็นจริงอยู่ตลอดเวลาเช่นกัน

ในวันต่อมา เยี่ยนจ้าวเกอใช้เวลาผ่านไปอย่างเต็มอิ่มยิ่งนัก นอกจากบำเพ็ญวิถีวรยุทธ์พัฒนาตนเอง ก็ศึกษาค้นคว้าและคิดทบทวนหลักค่ายกล ทั้งยังขับเคลื่อนเตาผลึกหินชั้นในหลอมของวิเศษ

ระหว่างที่กาลเวลาล่วงเลยไปอย่างรวดเร็ว ก็ผ่านไปเป็นเวลาหลายเดือนแล้ว

หลังจากช่วงเวลานี้เป็นต้นมา เยี่ยนจ้าวเกอเก็บเนื้อเก็บตัวอยู่ในที่พำนักเสมอ น้อยนักจะออกไปที่ใด จนกระทั่งนับวันนับคืนดูแล้ว ใกล้จะถึงฤดูกาลที่พายุนิมิตทมิฬในมหาทะเลทรายแดนตะวันตกของวายุพิภพอ่อนกำลังลงแล้ว ชยหนุ่มถึงได้ออกจากฌาน

“อาหู่ ช่วยข้าติดต่อคนของสำนักที่วายุพิภพ ให้เตรียมของบางอย่างสำรองเอาไว้ล่วงหน้าที” เยี่ยนจ้าวเกอบิดขี้เกียจครั้งหนึ่ง อาหู่ผงกศรีษะตอบรับ แล้วจึงลงไปจัดการธุระให้

เยี่ยนจ้าวเกอหรี่ตาลง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองแสงอาทิตย์เป็นลายพร้อย ที่ลอดผ่านลงมาระหว่างซอกกิ่งก้านและใบไม้ลงในป่าเขา

“การทดสอบแห่งจันทราครั้งที่สี่น่าจะใกล้สิ้นสุดแล้วกระมัง ไม่รู้ได้ว่าผลท้ายที่สุดจะเป็นเช่นไร?”

ชายหนุ่มรำพึงรำพันกับตนเอง ครุ่นคิดไปพลาง ยกขาก้าวเดินไปพลาง

การทดสอบแห่งจันทราครั้งที่สี่ สำนักเขากว่างเฉิงยังคงเป็นผู้นั่งชม ไม่ได้เข้าร่วมประลอง

ถึงแม้ว่าจันทรากายของเฟิงอวิ๋นเซิงจะฟื้นคืนกลับมาแล้วก็ตาม ทว่ายังคงมุ่งฝึกปรืออยู่

ไม่ว่าจะเป็นเยี่ยนจ้าวเกอหรือฟู่เอินซู รวมถึงยอดฝีมือระดับสูงแห่งกว่างเฉิง แม้ว่าพวกเขาจะรู้สึกร้อนรนอยู่ภายในใจ กระนั้นกลับไม่ได้ให้เฟิงอวิ๋นเซิงเข้าร่วมการทดสอบแห่งจันทราครั้งที่สี่โดยเป็นที่รู้กัน

ไม่มีเหตุผลอื่น เฟิงอวิ๋นเซิงยังต้องการเวลา มาชดเชยสองปีก่อนหน้าที่เสียไปเปล่าๆ

คู่ต่อสู้ก็กำลังพัฒนา อีกทั้งยังทุ่มสุดกำลังเช่นเดียวกัน รุดหน้าอย่างว่องไว ไม่ใช่ยืนอยู่กับที่รอให้เฟิงอวิ๋นเซิงไล่ตามไป

ขณะที่เยี่ยนจ้าวเกอครุ่นคิดไปพลาง เขาก็มาถึงหุบเขาเล็กที่เฟิงอวิ๋นเซิงอยู่แล้ว

ที่แห่งนั้น เห็นได้ดังคาดว่าเฟิงอวิ๋นเซิงเหมือนเช่นอดีตที่ผ่านมา ฝึกฝน หมั่นบำเพ็ญเพียรอย่างหนัก

มือที่กำดาบของนางมั่นคงเสมอมา ทว่าลึกเข้าไปในแววตา คล้ายกับมีเปลวเพลิงลอยขึ้นสูง ยิ่งคุโชนขึ้น

คนนอกมักจะเข้าใจได้ยากยิ่ง คนคนหนึ่งได้รับแล้วสูญเสียอีกครั้ง หลังจากตกลงมาถึงจุดต่ำสุด ตอนที่มีโอกาสหนึ่งที่จะสูญเสียแล้วกลับมาได้รับใหม่อีกครั้งวางอยู่ตรงหน้า จะระเบิดพลังงานเช่นไรออกมา

สภาพจิตใจและความตั้งใจของเฟิงอวิ๋นเซิง ล้วนเป็นตัวเลือกต้นๆ แรงกดดันที่มีทั้งหมด ต่างก็ถูกเปลี่ยนเป็นแรงผลักดันทั้งสิ้น ทำให้นางเผาไหม้ตัวเองตลอดเวลา

แม้ว่าจะไม่ถูกเขากว่างเฉิงส่งเข้าร่วมการทดสอบแห่งจันทราเป็นการชั่วคราว นางก็เข้าใจได้เช่นกัน เพียงแค่พยายามพัฒนาตัวเองให้มากขึ้นเท่านั้น

เยี่ยนจ้าวเกอนั่งอยู่ที่เดิมเงียบๆ มองดูเฟิงอวิ๋นเซิงฝึกยุทธ์

บริเวณอีกฝั่งหนึ่ง ก็มีคนอีกคนหนึ่งกำลังฝึกฝนอย่างเป็นระบบระเบียบ

คนผู้นั้นคือเด็กคนชายที่ขณะนี้ยังอายุไม่ถึงสิบสองปี แต่กลับฝึกปราณกลายเป็นจิตรา เหยียบก้าวสู่ระดับปรมาจารย์แล้ว!

อิงหลงถูทำลายสถิติของเยี่ยนตี๋ บิดาของเยี่ยนจ้าวเกอได้สำเร็จ กลายเป็นปรมาจารย์ที่อ่อนเยาว์ที่สุด นับตั้งแต่โลกแปดพิภพมีการบันทึกมาหลังจากวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่

เด็กชายในขณะนี้กำลังรวมจิตใจจดจ่อ ในแววตาส่องประกายสติปัญญาที่ยามปกติไม่มี ฝึกยุทธ์โดยไม่สะเปะสะปะแม้แต่น้อย ระดับความใจจดใจจ่อไม่ได้ด้อยไปกว่าเฟิงอวิ๋นเซิงที่อยู่ข้างๆ แม้สักนิด

มีเพียงเวลานี้เท่านั้น เขาถึงจะไม่มีท่าทางที่อืดอาดเหมือนเช่นวันธรรมดาทั่วไป

เลือดลมร่างกายอันทรงอานุภาพทะยานสูงขึ้นตามการออกหมัดของเขา ยิ่งไปกว่านั้นคือเหนือชั้นกว่าจอมยุทธ์ระดับเดียวกันจำนวนมาก

เยี่ยนจ้าวเกออมยิ้มมองดูพวกเขาทั้งสองฝึกหมัด บริเวณไกลออกไป พ่านพ่าน หมีสยงเมายักษ์กำลังนั่งอยู่บนพื้น ป้อนอาหารเข้าไปในปากของตัวเองด้วยความเบื่อหน่ายยิ่ง ทันทีที่มันมองเห็นเยี่ยนจ้าวเกอปรากฎตัวขึ้น ดวงตาพลันทอประกาย วิ่งมุ่งมาทางนี้

“ตามศิษย์น้องเฟิง เจ้ากลับมีลาภปากเสียอย่างนั้น” เยี่ยนจ้าวเกอหัวร่อพลางกอดพ่านพ่านไว้ พร้อมกับลูบหัวอันใหญ่โตของมัน

โร่วโร่วสุนัขตัวเล็กที่เฟิงอวิ๋นเซิงเลี้ยงไว้ ก็คุ้นเคยกับเยี่ยนจ้าวเกอนานแล้วเช่นกัน ยามนี้แม้จะไม่ถลันขึ้นมาเหมือนเช่นพ่านพ่าน ทว่าก็ส่ายหางน้อยๆ ของตนด้วยความดีใจเช่นกัน

อิงหลงถูกฝึกหมัดครั้งสุดท้ายเสร็จสิ้น เก็บท่าแล้ว ครั้นมองเห็นเยี่ยนจ้าวเกอ ดวงตาของเขาพลันเปล่งประกาย เดินมุ่งมาทางเยี่ยนจ้าวเกอเช่นกัน ยิ้มกล่าวด้วยความเหนียมอายอยู่บ้าง “ศิษย์พี่เยี่ยน”

เยี่ยนจ้าวเกอยิ้มเอ่ย “ระหว่างฝึกฝน มีปัญหาอะไรหรือไม่?”

เด็กชายเกาศีรษะ พยายามสรุปภาษาของตนเอง “ก่อนหน้านี้ได้ยินศิษย์พี่ท่านหนึ่งเอ่ยขึ้นว่า ความเร็วและพลังยากที่จะคำนึงถึงพร้อมๆ กัน ซ้ำยังเอาสำนักเขาไร้พรมแดนกับตำหนักอัสนีสวรรค์มาเปรียบเทียบ แต่รู้สึกว่า ที่เขากล่าวคล้ายกับมีตรงไหนไม่ถูก”

เมื่อได้ยินดังนั้น เยี่ยนจ้าวเกอก็ยิ้มขึ้น ฮานหลงเอ๋อร์ซื่อตรงใช้ได้ แต่ไม่รู้ได้ว่าข้อสงสัยของเขานี้ได้เอ่ยขึ้นต่อหน้าศิษย์น้องร่วมสำนักผู้นั้นหรือไม่

“ที่เขาพูดก็ถูกต้อง แต่ก็ไม่ถูกต้องอยู่ในที” เยี่ยนจ้าวเกออธิบาย “กล่าวว่าความเร็วและพลังยากจะคำนึงถึงพร้อมๆ กันเพียงอย่างเดียว นับว่าไม่ถูกต้องนัก เฉกเช่นกำปั้นของเจ้า ต่อยหมัดออกไป หมัดเจ้าเร็ว เช่นนั้นพลังที่แฝงอยู่ในหมัดนี้ก็ไม่อ่อนแอเป็นแน่”

“มักกล่าวกันว่าการรุกโจมตีของตำหนักอัสนีสวรรค์ ว่องไวดุจสายฟ้า รุนแรงดุจฟ้าคำราม ครึ่งประโยคหน้าพูดถึงความเร็ว ครึ่งประโยคหลังก็ชมว่าพลังของพวกเขารุนแรงเช่นกัน”

เยี่ยนจ้าวเกอยกฝ่ามือของตนขึ้น ยื่นออกไปข้างหน้า “แต่การที่พวกเราออกกระบวนท่าไป เกี่ยวพันไปถึงปัญหาของการปลดปล่อยพลัง เชื่อมการสะสมพลังและการปล่อยพลังเข้าด้วยกัน จากนั้นจึงจะเป็นการรุกโจมตีที่แท้จริง”

“แต่ในกระบวนการสะสมพลังปล่อยพลังนี้ ก็เกี่ยวพันถึงการเลือกความเร็วและพลังแล้ว ในสถานการณ์โดยส่วนมากแล้ว การสะสมพลังยิ่งเต็มที่มากเท่าใด การปล่อยพลังยิ่งรุนแรงมากเท่านั้น แต่เวลาที่ใช้ก็ยิ่งยาวนานด้วยเช่นกัน”

ชายหนุ่มองไปยังอิงหลงถู “มักกล่าวกันว่าตำหนักอัสนีสวรรค์และสำนักเขาไร้พรมแดนต่างคนต่างก็สุดขั้ว ฝ่ายหนึ่งเร็วฝ่ายหนึ่งช้า จริงๆ แล้วความแตกต่างของพวกเขาก็อยู่ที่ตรงนี้”

อิงหลงถูพยักหน้าด้วยความเหม่อลอยอยู่บ้าง “เป็นการเลือกพลังเร็วช้าของทั้งกระบวนการปล่อยพลังกระบวนท่านี้ออกไป ซึ่งไม่ใช่ปล่อยพลังออกไปแล้ว คำนึงถึงแต่ความเร็วในการออกมือ”

เยี่ยนจ้าวเกอยิ้มกล่าว “ถูกต้อง ตำหนักอัสนีสวรรค์และสำนักเขาไร้พรมแดน แทนที่จะกล่าวว่าความเร็วในการออกกระบวนท่าช้าเร็วมีความแตกต่าง ไม่สู้กล่าวว่าความเร็วในการเปลี่ยนกระบวนท่าช้าเร็วมีความแตกต่างน่าจะดีกว่า”

“ในด้านลักษณะเด่นของพลัง ทั้งสองสำนักล้วนเดินไปบนลู่ทางอันแข็งแกร่งห้าวหาญ ตำหนักอัสนีสวรรค์รุนแรงกว่า ส่วนสำนักเขาไร้พรมแดนทรงพลังกว่า”

ขณะทั้งสองกล่าวไปพลาง อาหู่ก็มาถึงยังภายในหุบเขา เขาเดินมาทางเยี่ยนจ้าวเกอ ใบหน้าเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มเบิกบาน

“คุณชาย ข้าติดต่อไปทางวายุพิภพตามที่ท่านสั่งแล้วขอรับ” รายงานข้อมูลตามปกติให้เรียบร้อยก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นอาหู่จึงพูดกลั้วหัวเราะว่า “แล้วก็ผลการทดสอบแห่งจันทราครั้งที่สี่ออกมาแล้วขอรับ เมิ่งหว่านแห่งสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์พลั้งพลาดแล้ว!”

เยี่ยนจ้าวเกอเลิกคิ้วเล็กน้อย “เล่ามาสิว่าเกิดอะไรขึ้น”

อาหู่ยิ้มกล่าวด้วยความดีใจว่า “ร่างกายเมิ่งหว่านเองคล้ายกับเกิดปัญหาบางอย่างขึ้น ผลคือเพลี่ยงพล้ำในการช่วงชิงรอบสุดท้าย”

ชายหนุ่มมุ่นคิ้วเล็กน้อย “ผู้อาวุโสสำนักที่ร่วมชม มีภาพบันทึกกลับมาหรือไม่?”

อาหู่ผงกศีรษะ “มีขอรับ”

ดูฉากการประลองจริงแล้ว เยี่ยนจ้าวเกอไม่เพียงไม่รู้สึกดีใจเท่านั้น สีหน้ากลับจะเปลี่ยนเป็นผึ่งผายจริงจังขึ้นมาเสียด้วยซ้ำไป “กลัวสิ่งใดก็มักจะเป็นเช่นนั้น เหตุการณ์ที่แย่ที่สุดปรากฏขึ้นแล้ว”

……….