ภาค 3 ธาตุแท้ของวีรบุรุษ บทที่ 211 การตัดสินใจเด็ดขาดของเฟิงอวิ๋นเซิง

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

ดูร่องรอยกาลเวลาที่ประทับไว้ สีหน้าท่าทางเยี่ยนจ้าวเกอห่อเหี่ยวอยู่บ้างอย่างหาได้ยาก

การทดสอบแห่งจันทราครั้งที่สี่ เยี่ยนจ้าวเกอและผู้อาวุโสระดับสูงของสำนักเขากว่างเฉิง ล้วนไม่ได้ให้เฟิงอวิ๋นเซิงเข้าร่วม

สองปีอันสูญเปล่าก่อนหน้านี้ ทำให้ในจุดเริ่มต้นเฟิงอวิ๋นเซิงนั้นล้าหลังกว่าหญิงสาวแห่งจันทราคนอื่นๆ นางจำเป็นต้องใช้เวลาไล่ตามให้ทัน

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ต้องชดเชยความห่างชั้นระหว่างเมิ่งหว่านแห่งสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์

ถึงแม้ว่าจะมีวิธีการหลากรูปแบบของเยี่ยนจ้าวเกอออกมา ทำให้นางรุดหน้าอย่างห้าวหาญรวดเร็ว ทว่าเดิมทีเมิ่งหว่านแห่งสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่ใช่คนที่มักสร้างความยุ่งยาก ยึดกุมมงกุฎแห่งจันทราอย่างน้อยเป็นเวลาอีกสองปี

มงกุฎแห่งจันทรา มีส่วนเพิ่มผลกระทบมหาศาลต่อการฝึกฝนของหญิงสาวแห่งจันทราโดยไม่อาจมองข้ามไปได้

หากคิดอยากที่จะครองอันดับหนึ่งในการทดสอบแห่งจันทรา เฟิงอวิ๋นเซิงยังต้องอดกลั้น ต้องพยายาม และยิ่งต้องการเวลา

เข้าร่วมการทดสอบแห่งจันทรา เพื่อต้องการชนะให้ได้รับมงกุฎแห่งจันทรา

ได้อันดับหนึ่ง นั่นหมายถึงอาวุธศักดิ์สิทธิ์ ไม่ใช่อันดับหนึ่ง ล้วนไม่มีความหมาย

ถึงแม้ว่าจะโหดร้ายอย่างมาก ทว่านี่ก็เป็นความจริงของการทดสอบแห่งจันทรา

ผลการหารือของเยี่ยนจ้าวเกอและกลุ่มคนของฟู่เอินซู คือรอจนกระทั่งการทดสอบแห่งจันทราครั้งถัดไป จึงจะให้เฟิงอวิ๋นเซิงเข้าร่วม

ก่อนหน้านี้ มีเพียงการสงบจิตใจเพื่อจำศีลอดทนอดกลั้น

แท้จริงแล้ว ในการคาดการณ์ล่วงหน้าของเยี่ยนจ้าวเกอ การทดสอบแห่งจันทราครั้งต่อไป ซึ่งก็เป็นการทดสอบแห่งจันทราครั้งที่ห้า ความหวังของเฟิงอวิ๋นเซิงยังคงไม่มากนัก มากกว่านั้นคือเพื่อสั่งสมประสบการณ์การประมือกับหญิงสาวแห่งจันทราคนอื่นๆ ขึ้นอีกขั้น

เคราะห์ดี ที่ก็ไม่ต้องรอคอยเป็นเวลานานจนเกินไปนัก เขากว่างเฉิงยังคอยท่าได้ เพียงแต่ว่าแรงกดดันก็ไม่น้อยเช่นเดียวกัน สถานการณ์ปัจจุบันเปลี่ยนแปลงอย่างมากในชั่วเสี้ยววินาที

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องที่ทำให้เยี่ยนจ้าวเกอและเขากว่างเฉิงสนใจก็คือ หวงกวงเลี่ย จอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ตะวันเยือนแห่งสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ อาจจะออกฌานได้ทุกเมื่อ

ถ้าหากหวงกวงเลี่ยออกจากฌาน พร้อมทั้งยังเลื่อนขึ้นอีกขั้นได้สำเร็จ เช่นนั้นแรงกดดันของสำนักเขากว่างเฉิงก็สูงอย่างยิ่งยวดแล้ว

อีกทั้งการปิดฉากการเปลี่ยนแปลงของทะเลสาบปิดนภา ไม่ได้หมายความว่าภาคีบึงน้ำไร้ขอบเขตและนพยมโลกจะคว่ำธงหยุดลั่นกลองรบเพียงเท่านี้

เพราะฉะนั้นยังนับว่ามีเวลาจำกัด ถึงกระนั้นก็ตาม จากการคิดคำนวณคร่าวๆ ของเยี่ยนจ้าวเกอ หากไม่เกิดเหตุไม่คาดฝันมากนัก รอจนกระทั่งการทดสอบแห่งจันทราครั้งที่หก ก็จะเป็นจังหวะโอกาสในการปลดปล่อยพลังของเฟิงอวิ๋นเซิง

ทว่าเหตุไม่คาดฝันครั้งใหญ่ กลับปรากฏขึ้นแล้วเสียอย่างนั้น

เหตุไม่คาดฝันไม่ได้อยู่ที่เฟิงอวิ๋นเซิงหรือเขากว่างเฉิง แต่อยู่ที่บุคคลอื่น

ในตอนแรกที่ประมือกับหลินโจว อีกฝ่ายเผยเบาะแสที่เขารู้เกี่ยวกับเฟิงอวิ๋นเซิงออกมา ทั้งยังล่วงรู้เรื่องที่เยี่ยนจ้าวเกอใช้ประโยชน์จากบ่อน้ำพุวิเศษเมฆหยินหยางของเขานิมิตเมฆ ช่วยเฟิงอวิ๋นเซิงฟื้นคืนจันทรากายอีก

สำหรับเรื่องเบาะแสของหลินโจว เยี่ยนจ้าวเกอมีแผนอยู่ในใจคร่าวๆ เขาแปลกใจมาโดยตลอดว่าหลินโจวล่วงรู้เรื่องเกี่ยวกับเฟิงอวิ๋นเซิงได้อย่างไร

ตามการคิดคำนวณของเยี่ยนจ้าวเกอ หากไม่มีตนเองเข้าไปยุ่ง เกินกว่าครึ่งเฟิงอวิ๋นเซิงคงจะไม่กราบเข้าเป็นศิษย์สำนักเขากว่างเฉิงแน่นอน ถ้าหากหลบหนีการไล่สังหารของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ไปได้ เกินกว่าครึ่งจะต้องกราบเป็นศิษย์ภายใต้เมืองทะเลมรกตแน่

ก่อนหน้านี้ฐานะเดิมนางคือศิษย์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ และยังเป็นหญิงสาวแห่งจันทราอีกด้วย กระนั้นเรื่องที่ทิ้งการฝึกฝนจันทรากายไปนานเป็นที่รู้กันถ้วนทั่ว เยี่ยนจ้าวเกอยังเข้าใจได้

แต่หลินโจวรู้ได้อย่างไรเล่า ว่าเยี่ยนจ้าวเกอใช้ศาสตร์วิชาหยินหยางส่งเสริมกัน ช่วยเฟิงอวิ๋นเซิงฟื้นฟูจันทรากาย?

เมืองทะเลมรกตมีศาสตร์ที่คล้ายกันอย่างนั้นหรือ?

หรือว่าหลินโจวเองครุ่นคิดวิธีการเช่นนี้ออกมาด้วย?

หากเป็นอย่างหลังละก็ จริงๆ แล้วเยี่ยนจ้าวเกอไม่กังวลแต่อย่างใด เรื่องที่กังวลคือ มีผู้อื่นศึกษาทดลองวิธีนี้ออกมา แล้วหลินโจวล่วงรู้เข้า

หลินโจวรู้ดีว่าไม่สำคัญ กำลังในการแข่งขันของหญิงสาวแห่งจันทราตำหนักอัสนีสวรรค์ไม่ได้สูงแต่อย่างใด จุดสำคัญอยู่ที่ในยุคนั้น เจ้าของเดิมของวิธีนี้คือผู้ใด

เมืองทะเลมรกตนั้นช่างเถิด ทว่าที่เยี่ยนจ้าวเกอสงสัยเป็นที่สุดคือ ผู้ที่มีความเป็นไปได้มากที่สุดที่ศึกษาทดลองวิธีนี้ออกมา แท้จริงแล้วคือสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์

ประการแรก แต่ไหนแต่ไรพวกเขาก็ฝึกฝนปราณสุริยันบริสุทธิ์แล้ว ทั้งนังศึกษาอย่างลึกซึ้ง พัฒนาถึงที่สุดแล้วพลิกย้อนกลับ มีหลักการร่วมกัน ประการที่สอง พวกเขาเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่สัมผัสเรียนรู้มงกุฎแห่งจันทราเป็นระยะเวลานานที่สุด

ต่อให้ไม่มีข้อมูลจากวัตถุตกทอดก่อนวิกฤตการณ์ที่เพียงพอ ภายใต้การศึกษาค้นคว้าแรมเดือนแรมปีของยอดฝีมือในสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ ก็เป็นไปได้อย่างมากที่จะมีผลพวงเช่นกัน

นี่เป็นเรื่องที่เยี่ยนจ้าวเกอสนใจมาโดยตลอด

บัดนี้ การคาดเดาล่วงหน้าที่เลวร้ายที่สุดกลายเป็นจริง

เยี่ยนจ้าวเกอมองดูกระบวนการประลองของเมิ่งหว่านและผู้คน จึงรู้ได้ว่า ตัวนางเองเกิดปัญหาขึ้นจริงๆ ทว่าไม่ใช่การบาดเจ็บทางร่างกายเหมือนเช่นตอนประลองจันทรากายครั้งที่สองนั้น

ทว่าเป็นทดลองวิธีฝึกฝนหยินหยางส่งเสริมกันอยู่ในช่วงเริ่มต้นพอดี นางยังไม่คุ้นเคยนัก ด้วยเหตุนี้จึงส่งผลกระทบต่อการสำแดงพลัง

แม้ว่าสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์กับตำหนักอัสนีสวรรค์จะเป็นพันธมิตรกัน วิธีการรูปแบบนี้ หลินโจวก็ไม่แน่ว่าจะบอกสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์

ยิ่งไปกว่านั้น หญิงสาวแห่งจันทราของตำหนักอัสนีสวรรค์ก็มีเค้าไม่ต่างกัน ทว่ายังไม่เท่าเมิ่งหว่าน

นั่นหมายความว่า แท้จริงแล้วหลินโจวก็แค่รับรู้ว่ามีวิธีหยินหยางส่งเสริมกันอยู่ ถึงกระนั้นกลับไม่เข้าใจรายละเอียดแต่อย่างใด ตำหนักอัสนีสวรรค์ก็เริ่มทดลองทำตั้งแต่ต้น หลังจากที่ได้รับแนวคิดนี้ในระยะอันใกล้

ทางฝั่งสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์นั้น แม้ว่าจะไม่เหมือนเช่นเยี่ยนจ้าวเกอทางฝั่งนี้ ทว่าก็อยู่บนลู่ทางที่อยู่ต้องแล้วเช่นกัน

ไม่เหมือนเหตุสุดวิสัยคราที่แล้ว การที่เมิ่งหว่านชวดมงกุฎแห่งจันทราคราวนี้ เป็นความสูญเสียในแผนการที่สำนักศักดิ์สุริยันสามารถรับได้

การจำศีลชั่วคราว ก็เพื่อความได้เปรียบกับอำนาจการปกครองในภายภาคหน้า

สามารถคาดการณ์ได้ล่วงหน้าว่าจะสูญเสียมงกุฎแห่งจันทราไปอีกครา ซึ่งอย่างน้อยสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ที่หวงกวงเลี่ยยังไม่ได้ออกจากฌาน ภายในปีถัดไปจะตรึงรักษามันไว้ได้อีกครั้ง

ทว่าในตอนที่พวกเขาผงาดขึ้นมาใหม่ในครั้งถัดไป ก็จะระเบิดพลังที่น่าหวาดกลัวยิ่งกว่าออกมา

ยิ่งไปกว่านั้น ผู้ที่ชนะการทดสอบแห่งจันทราครั้งที่สี่ ก็คือศิษย์หอคลื่นโหมที่วางตัวเป็นกลางอย่างเคร่งครัด สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ก็ยิ่งผ่อนสบาย

จะว่าไปแล้ว ครั้งนี้ศิษย์หอคลื่นโหมก็เข้าร่วมการทดสอบแห่งจันทราเป็นครั้งแรกเช่นกัน ผลสุดท้ายครองอันดับหนึ่งได้ในครั้งเดียว ถึงแม้ว่าจะมีสาเหตุมาจากร่างกายเมิ่งหว่านเกิดปัญหาขึ้นก็ตาม กระนั้นความสามารถของนางกดหญิงสาวแห่งจันทราจากเมืองทะเลมรกต สำนักเขาไร้พรมแดน และตำหนักอัสนีสวรรค์ ได้ทั้งสามสำนัก ดูแล้วตระเตรียมตัวมาหลายปีแล้วเช่นกัน ปกติถ่อมตนไม่แสดงฝีมือ ครั้นสำแดงพลังก็แสดงอิทธิฤทธิ์อันน่าตื่นตะลึงออกมา

ถึงแม้ว่าหอคลื่นโหมจะวางตัวเป็นกลางอย่างเข้มงวด ทว่าก็เผชิญกับการคุกคามของปีศาจอัคคีทางทะเลตะวันออกเหมือนเช่นเมืองทะเลมรกต การได้รับมงกุฎแห่งจันทรา มีส่วนช่วยพวกเขาอย่างมหาศาล

ทว่าหากไร้ซึ่งเหตุสุดวิสัย ก็จะเป็นครั้งนี้แล้ว

ปีหน้าเมิ่งหว่านที่เตรียมตัวอย่างเหมาะสมถึงที่สุด เกินกว่าครึ่งก็จะเล่นบทราชาหวนกลับมาทวงบัลลังก์อีกครั้ง

เยี่ยนจ้าวเกอค่อยๆ ขมวดคิ้วขึ้น “คราวนี้แย่จริงๆ เสียแล้ว…”

ขณะที่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้น เฟิงอวิ๋นเซิงที่ยืนเก็บดาบอยู่อีกด้านเห็นวเยี่ยนจ้าวเกอมาถึง จึงยิ้มทักทาย “ศิษย์พี่เยี่ยน”

คิ้วเยี่ยนจ้าวเกอพลันแผ่คลายออก ยิ้มเอ่ยปากชมว่า “เพลงดาบดี”

หญิงสาวมองเยี่ยนจ้าวเกอวูบหนึ่ง “ศิษย์พี่เยี่ยน ผลการประลองครั้งที่สี่ออกมาแล้วใช่หรือไม่ ยังคงเป็นเสี่ยวเมิ่งครองอันดับหนึ่งหรือ?”

เยี่ยนจ้าวเกอส่ายศีรษะ “ไม่ใช่”

เฟิงอวิ๋นเซิงประหลาดใจอยู่บ้าง ส่วนเยี่ยนจ้าวเกอทอดถอนใจ “แต่ว่า ผลลัพธ์นั้นแย่ยิ่งกว่าเมิ่งหว่านเป็นเจ้ามือเสียอีก”

หลังอธิบายเรื่องราวให้เข้าใจแล้ว สีหน้าท่าทางเฟิงอวิ๋นเซิงเปลี่ยนเป็นหนักอึ้ง ทว่าอารมณ์สงบเงียบ

นางกำด้ามดาบ “ข้าจะพยายามขึ้นอีกแน่นอน!”

แม้ว่าจะมีความคิดเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ แต่เฟิงอวิ๋นเซิงก็ไม่รู้สึกว่ามีความหวังเช่นกัน เพียงแค่พยายามสุดกำลังตนเองเท่านั้น

นางผู้ที่แต่ไหนแต่ไรมาเข้มแข็งโดดเดี่ยว ไม่ยอมพึ่งพาคนอื่น บัดนี้เผยเห็นสีหน้าคาดหวังเล็กน้อยเป็นครั้งแรก พลางจดจ้องไปยังเยี่ยนจ้าวเกอ “ศิษย์พี่เยี่ยน ท่านยังมีวิธีอื่นอีกใช่หรือไม่?”

เปลือกตาของเยี่ยนจ้าวเกอลู่ลง “…ไม่มี”

เฟิงอวิ๋นเซิงมองเยี่ยนจ้าวเกออย่างสงบเงียบ ไม่พูดไม่จา ทั้งสองหันหน้าเข้าหากันอย่างเงียบเชียบ

หลังจากนั้นเนิ่นนาน เฟิงอวิ๋นเซิงจึงเอ่ยเสียงเบาว่า “ศิษย์พี่เยี่ยน ข้ายอมรับว่าในใจข้ามีทั้งไม่ยินยอม หวังเกินตัว เพ้อฝัน”

“แต่เมื่อเดินมาถึงวันนี้แล้ว ข้าต้องการชนะการทดสอบแห่งจันทรา ไม่ใช่เพื่อตัวข้าเองมาตั้งนานแล้ว”

“เพื่อศิษย์อาจารย์สำนักที่รับข้าไว้ เพื่ออาจารย์ที่อบรมสั่งสอนข้า เพื่อท่าน ศิษย์พี่เยี่ยนที่ปกป้องข้าในตอนแรก ข้าล้วนต้องชนะเป็นแน่!”

เฟิงอวิ๋นเซิงมองตรงไปยังเยี่ยนจ้าวเกอ “ไม่ว่าจะวิธีใด ข้าล้วนยินดีลอง ไม่ว่าจะยากลำบากแสนเข็ญสักเพียงใด ข้าล้วนยินดีทนทั้งสิ้น…ไม่สิ ข้าจำเป็นต้องทนให้จงได้!”

………..