ใบหน้าของเจ้าสำนักซวนปิงแดงก่ำ เขากล่าวอย่างกรุ่นโกรธ “ฮั่วอู๋จี๋ เจ้าหยาบคายมากเกินไปแล้ว!”
ฮั่วอู๋จี๋กล่าวโต้ด้วยสีหน้าเย็นชา “เหอะ! หยาบคายหรือไม่นั้นเจ้ารู้ดีที่สุด”
เจ้าสำนักซวนปิงหันไปตะคอกใส่มู่เฉียนซี “ยาแก้พิษ เจ้าเอายาแก้พิษมาเดี๋ยวนี้!”
มู่เฉียนซี “สำนักซวนปิงของท่านก็น่าจะมีนักปรุงยา ไปให้นักปรุงยาของสำนักเจ้าแก้พิษให้เองซี่! อย่ามารบกวนข้า ต่อให้ข้ามีข้าก็ไม่ให้”
เจ้าสำนักซวนปิงโกรธจนใบหน้าเขียวคล้ำ “เจ้า! รนหาที่ตายแล้ว”
เขาจ้องมู่เฉียนซีตาเขม็ง ทว่าในขณะเดียวกันนั้น สายตาที่เย็นชา ไร้ซึ่งอารมณ์และความรู้สึกคู่หนึ่งก็กำลังจ้องมองเขาอยู่เช่นกัน เจ้าสำนักซวนปิงไม่กล้าทำอะไรผลีผลาม เขาเคยต่อสู้กับคนผู้นี้มาแล้ว รู้ดีว่าหากลงมือไปคงจะไม่เป็นการดีนัก
เจ้าสำนักซวนปิง “เจ้าคิดจริง ๆ รึว่าสำนักซวนปิงของข้าจะแก้ไม่ได้ ?” เจ้าสำนักซวนปิงแค่นเสียงก่อนจะพาอีซือเตรียมหันกลับไป
มู่เฉียนซีกล่าวไล่หลัง “ช้าก่อน! เจ้าสำนักซวนปิง ท่านทำผิดกฎการประลอง คิดจะจากไปง่าย ๆ เช่นนี้รึ ?”
เจ้าสำนักซวนปิงกล่าวอย่างโกรธเกรี้ยว “เจ้าทำร้ายซือเอ๋อร์เช่นนี้แล้วะยังไม่พออีกรึ ? เจ้าต้องการสิ่งใดอีก ?”
“เจ้าสำนักซวนปิง เจ้าเองก็อายุมากแล้ว เจ้าแยกไม่ได้หรืออย่างไรว่านั่นมันคนละเรื่องกัน ?” เจ้าสำนักเฟินเทียนกล่าวขึ้น ก่อนจะหันไปกล่าวกับเจ้าสำนักชางเยี่ย “เจ้าสำนักชางเยี่ย เรื่องนี้จะจัดการเช่นไร ? เหตุการณ์เมื่อครู่นั้นทำให้ข้าตกใจจนอกสั่นขวัญหายไม่เบา”
เจ้าสำนักซางเยี่ยตกอยู่ในสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เพราะเขาไม่อาจทำให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่พอใจได้ ทันใดนั้นเอง ฉื่อเอี้ยนกล่าวขึ้นว่า “เอาเช่นนี้ดีหรือไม่ เรื่องที่เจ้าสำนักซวนปิงทำผิดกฎ รางวัลอันดับสองที่เดิมทีถือเป็นของอีซือ ก็เป็นอันยกเลิกและมอบให้กับแม่นางมู่แทน”
เจ้าสำนักซวนปิงได้ยินเช่นนี้ก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ทว่านี่เป็นคำพูดของศิษย์สำนักระดับหนึ่งอย่างสำนักอวิ๋นเยียน ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าขัด
“คุณชายฉื่อหลักแหลมยิ่งนัก!” เจ้าสำนักซางเยี่ยรีบกล่าวชื่นชม เขาเองก็อยากให้ปัญหาขัดข้องหมองเคืองนี้จบลงโดยไว
ทว่าเจ้าสำนักซวนปิงกล่าวอย่างเย็นชา “เหอะ… รางวัลอันดับสอง สำนักซวนปิงก็ไม่ได้อยากได้!” กล่าวจบตาเฒ่าผู้นี้ก็พาอีซือกลับไปรักษาทันที
พิษนั่นร้ายแรงมากราวกับจะคร่าชีวิตของอีซือได้ นางต้องทนทุกข์ทรมานตลอดทั้งยามราตรี
แน่นอนว่ามู่เฉียนซีนั้นจิตใจซื่อสัตย์มากพอ นางไม่ฆ่าศิษย์ที่เป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งของสำนักของผู้อื่นตายอย่างแน่นอน เพื่อหลีกเลี่ยงที่จะไม่ให้เกิดปัญหามากมายตามมา เพราะถ้าหากนางตั้งใจจะให้ตายจริง ๆ ก็คงไม่ทิ้งร่องรอยเอาไว้
ท้ายที่สุดแล้วการประลองครั้งนี้ก็ได้จบลง รางวัลสำหรับผู้ที่ได้อันดับหนึ่งคือยาวิญญาณระดับเจ็ดหนึ่งเม็ด ส่วนรางวัลสำหรับผู้ที่ได้อันดับสองคือยาวิญญาณระดับหกหนึ่งเม็ด รางวัลทั้งสองนี้มู่เฉียนซีมอบให้กับฮั่วอู๋จี๋
ฮั่วอู๋จี๋รู้ดีว่าตระกูลมู่นั้นร่ำรวยเงินทองและมียาวิญญาณมากมาย ดังนั้นเขาจึงรับไว้อย่างไม่เกรงใจ นางมียาดีอยู่มากแล้ว แต่สำนักของเขานั้นขาดแคลนเป็นอย่างมาก เช่นนั้นรับไว้คงไม่น่าเกลียดกระมัง ?
ในค่ำคืนนั้นเอง อีซือนอนกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนเตียงด้วยความเจ็บปวดภายใน ทำให้เจ้าสำนักซวนปิงยกกระบี่ขึ้นมาหลายต่อหลายครั้งด้วยความโกรธขึ้ง ใจร้อนดั่งไฟสุมหมายจะออกไปสังหารมู่เฉียนซีให้รู้แล้วรู้รอด
ไม่ว่าจะเป็นนักปรุงยาของสำนักซวนปิงหรือของสำนักซางเยี่ยก็ไร้ซึ่งหนทางรักษา สุดท้ายเขาไม่กล้าผลีผลาม ได้แต่บากหน้าไปหาฮั่วอู๋จี๋
ฮั่วอู๋จี๋เห็นสีหน้าของเจ้าสำนักซวนปิงย่ำแย่ขึ้นเรื่อย ๆ ก็ลอบสะใจในใจไม่น้อย ในที่สุดตาเฒ่าผู้นี้ก็มีวันนี้จนได้
ฮั่วอู๋จี๋กล่าวขึ้น “ซวนปิง ใช่ว่าข้าจะไม่เคยเตือนเจ้า พิษของหมอปีศาจเจ้าไม่มีวันแก้ได้ ยาแก้พิษก็ไม่มี บางทีศิษย์ของเจ้าอาจจะทรมานแค่คืนนี้คืนเดียวก็ไม่ต้องทรมานอีกต่อไป นางน่าจะหายด้วยเพราะร่างกายที่แข็งแกร่งใจสู้ของนาง นางเป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งของสำนักเจ้า ไม่มีทางที่จะทนต่อความเจ็บปวดนี้ไม่ได้”
เจ้าสำนักซวนปิงกล่าวด้วยความตกใจว่า “หมอปีศาจรึ ?! เจ้าบอกว่าหมอปีศาจ… สตรีผู้น้อยนั่นเป็นหมอปีศาจรึ ?”
ฮั่วอู๋จี๋ “ไม่ได้เป็นเช่นนั้น แต่สาวน้อยผู้นำตระกูลมู่กับหมอปีศาจมีความสัมพันธ์ที่สนิทสนมใกล้ชิดกันอย่างมาก หมอปีศาจมียาพิษ นางก็มียาพิษ ดังนั้นเจ้าอย่าไปทำให้นางขุ่นเคืองจะดีกว่า แล้วเจ้าก็อย่ามาโทษสหายเก่าแก่อย่างข้าว่าไม่เตือนเจ้าล่ะ”
เดิมทีนั้นเจ้าสำนักซวนปิงคิดจะแก้แค้นมู่เฉียนซี แต่เมื่อเขาได้ยินชื่อของหมอปีศาจ เขาละทิ้งความคิดนั้นไปโดยปริยาย
ทุกวันนี้หอหมอปีศาจมีความสำคัญในทางตกของเซี่ยโจวอย่างมาก ศิษย์หลาย ๆ สำนักต่างก็ต้องการไปซื้อยาที่หอหมอปีศาจ เมื่อรู้ว่ายาของหอหมอปีศาจนั้นทั้งคุณภาพดีและราคาถูก ทุกคนต่างก็ไม่ไปซื้อที่อื่นอีก
หลังจากที่อีซือได้ผ่านพ้นความเจ็บปวดทรมานราวกับจะได้ไปเยือนแดนนรกในคืนที่ผ่านมา นางก็พบกับรอยบาดแผลน่าเกลียดบนไหล่ของตน นางแทบคลั่ง ในใจว้าวุ่นประสงค์จะออกไปฆ่ามู่เฉียนซีให้ได้
“บัดซบ! มู่เฉียนซี ข้าจะฆ่าเจ้า!”
เจ้าสำนักซวนปิง “ซือเอ๋อร์ใจเย็นลงก่อน อย่าได้หุนหันพลันแล่นไป”
“จะใจเย็นได้รึท่านอาจารย์ ? ท่านอาจารย์ดูข้าสิ น่าเกลียดเช่นนี้ ข้าไม่อาจทนได้” ดวงตาของอีซือแดงก่ำเพราะความความโกรธเคือง
เจ้าสำนักซวนปิงพยายามกล่าวให้อีซือสงบลง “มู่เฉียนซีผู้นั้นมีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับหมอปีศาจ มิเช่นนั้นเจ้าเด็กอวดดีนั่นจะมียาพิษแปลกประหลาดมากมายได้เช่นนี้หรือ ตอนนี้ไม่ใช่โอหาสดีที่เราจะลงมือ รอให้ถึงดินแดนลึกลับทางตกก่อน เราจะทำให้นางหายสาบสูญไปจากโลกนี้โดยที่ไม่มีผู้ใดรู้เลยทีเดียว”
อีซือจับแขนเจ้าสำนักซวนปิง ใบหน้าเริ่มฉายแววสุขใจ “ข้ารู้อยู่แล้วว่าท่านอาจารย์รักข้ามากเพียงใด”
สามอันดับสำนักแรกก็คือสำนักเฟินเทียน สำนักซวนปิง และสำนักชางเยี่ย
ทั้งศิษย์และเจ้าสำนักทั้งสามสำนักได้เตรียมตัวที่จะเข้าไปสู่ดินแดนลึกลับทางตกแล้ว สัตว์วิญญาณที่บินได้นับไม่ถ้วนบินลงสู่กลางป่า ในที่สุดก็มาถึงดินแดนที่รกร้างของทางตก
ทุกคนกล่าวขึ้นด้วยความฉงนสงสัยว่า “สถานที่นี้คือดินแดนลึกลับทางตกเช่นนั้นรึ ? เป็นไปไม่ได้!”
“ได้ยินมาว่าดินแดนลึกลับทางตกมีของล้ำค่าอัจฉริยะมากมาย แต่ที่นี่กลับไม่มีอะไรเลย”
“อา…”
ในเวลานี้เอง เจ้าสำนักซางเยี่ยได้เอาป้ายหยกออกมาและโยนขึ้นไปกลางอากาศ มีแสงปรากฏขึ้นจากป้ายหยกนั่น จากนั้นมันกลายเป็นประตูแสง
เจ้าสำนักซางเยี่ยกล่าว “หลังจากนี้ครึ่งเดือน ประตูนี้จะเปิดขึ้นอีกครั้ง เพื่อเป็นการฝึกฝนของศิษย์ทุกคน ศิษย์ทุกคนจะแยกทางกับอาจารย์ตรงนี้ หลังจากที่พวกเจ้าเข้าไปในประตูนี้แล้ว จงเก็บเกี่ยวประสบการณ์ให้ได้มากที่สุดและเก็บเกี่ยวของมีค่าให้เร็วที่สุด อ้อ นอกจากนี้ จงอย่าลืมปกป้องดูแลความปลอดภัยของตัวเอง มันเป็นสิ่งสำคัญที่สุด จงจำเอาไว้…”
“ขอรับ!” เหล่าศิษย์รับคำอย่างแข็งขัน
เวลานี้มีร่างของใครบางคนเดินเข้ามา ฉื่อเอี้ยนกล่าวขึ้นว่า “เจ้าสำนักชางเยี่ย สำหรับดินแดนลึกลับทางตกแห่งนี้ พวกเราก็มีความสนใจเป็นอย่างมาก ไม่ทราบว่าพวกเราจะขอเข้าไปด้วยได้หรือไม่ ?”
ผู้ที่มากับฉื่อเอี้ยนนั้นมีผู้อาวุโสผมหงอกผู้หนึ่ง เขากล่าวขึ้นว่า “พอดีข้าว่าง ๆ ได้ยินฉื่อเอ๋อร์พูดถึงดินแดนลึกลับทางตก ถึงแม้ว่าดินแดนลึกลับที่รกร้างเช่นนี้ของทางตกในเซี่ยโจวจะไม่มีอะไรที่ถูกใจข้า แต่ในเมื่อผ่านมาแล้ว ข้าก็อยากจะเข้าไปดูสักหน่อย”
ได้ยินวาจาของผู้มาเยือน ใบหน้าเจ้าสำนักทั้งสามสำนักพลันแข็งทื่อไปพร้อม ๆ กัน การมาชมการประลองของฉื่อเอี้ยนก่อนหน้านี้นั้นไม่ใช่เรื่องบังเอิญเสียแล้ว พวกเขาทุกคนรู้สึกได้!
ตาเฒ่าของสำนักอวิ๋นเยียนผู้นี้ วางแผนที่จะเข้ามาในดินแดนลึกลับทางตก เห็นได้ชัดว่าเขาปรารถนาอยากจะได้ แต่ยังเสแสร้งแกล้งทำเป็นบอกว่าไม่สนใจ
สมบัติล้ำค่าในดินแดนลึกลับทางตกของเซี่ยโจวมีอยู่อย่างจำกัด หากมีคนเข้าไปมากกว่าที่กำหนด โอกาสที่จะได้ของล้ำค่านั้นก็จะน้อยลง แต่เมื่อเผชิญหน้ากับผู้อาวุโสของสำนักอวิ๋นเยียนเช่นนี้ อีกทั้งผู้อาวุโสผู้นี้ก็มีพลังอยู่ในขั้นจักรพรรดิแห่งภูตระดับสูงสุดแผ่กระจายออกมาซึ่งอันตรายอย่างยากที่จะหาสิ่งใดมาเปรียบเปรย
หากพวกเขากล้ากล่าวคำว่า ‘ไม่’ มีหวังตาเฒ่าผู้นี้ต้องฆ่าทำลายล้างทั้งสำนักของพวกเขาเป็นแน่
เจ้าสำนักชางเยี่ยยิ้มเจื่อน ๆ “นับว่าเป็นเกียรติของพวกเรายิ่งนักที่ผู้อาวุโสของสำนักระดับหนึ่งอย่างสำนักอวิ๋นเยียนสนใจ เชิญท่านผู้อาวุโส…”
ผู้อาวุโสพยักหน้า พาฉื่อเอี้ยนและคนอื่น ๆ เข้าไปในประตูแสงเป็นกลุ่มแรก
พวกเขาถอนหายใจอย่างจนปัญญา ใต้หล้านี้ผู้แข็งแกร่งเท่านั้นที่เป็นใหญ่ ขอเพียงแค่มีพลังที่แข็งแกร่งก็สามารถเอาชนะทุกสิ่งอย่าง
จากนั้นมู่เฉียนซีและคนอื่น ๆ ก็พากันเข้าสู่ประตูแสงแห่งดินแดนลึกลับนี้ .
.