สำหรับพวกลูกศิษย์สำนักอวิ๋นเยียนที่หน้าไม่อายนั้น มู่เฉียนซีเคยพบเจอมาแล้วไม่รู้กี่ครา แต่นางยังคงสงบนิ่งดังเดิม
ศิษย์พี่ผู้อื่นของสำนักที่อยู่ ณ ที่นี้ด้วยนั้นรู้สึกอึดอัดใจเป็นอย่างมาก โลหิตของพวกเขาสูบฉีดพลุ่งพล่านเพราะทนไม่ไหวกับการกระทำอันโอหังของสำนักอวิ๋นเยียน
แต่ผู้อาวุโสของสำนักได้เคยกล่าวสอนพวกเขาเอาไว้ว่า สำนักอวิ๋นเยียนนั้นเป็นสำนักนิกายระดับหนึ่งเพียงหนึ่งเดียวในทวีปเซี่ยโจว ส่วนพวกเขานั้นเป็นเพียงสำนักนิกายครึ่งระดับ จึงมิอาจล่วงเกินพวกนั้นได้ตามใจ
หลังจากที่ได้เข้าไปในแดนลึกลับแล้ว พวกเขานั้นจะต้องแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม ฮั่วอู๋จี๋กล่าวกับเหล่าบรรดาลูกศิษย์
“ต่อจากนี้ไป พวกเจ้าสามารถฝึกแบบรายบุคคลได้ สามารถแยกตัวออกจากกลุ่มได้เลยทว่าอย่าลืมระวังความปลอดภัยด้วย”
“ขอรับ” เหล่าผู้อาวุโสจากไปแล้ว ต่อไปก็ได้เวลาที่บรรดาศิษย์เหล่านี้จะได้ทำตัวกระปรี้กระเปร่ากันแล้ว
มู่เฉียนซีกล่าวขึ้น “ศิษย์พี่ทั้งหลาย ข้าขอปฏิบัติการฝึกเพียงลำพัง พวกท่านระวังความปลอดภัยกันด้วยล่ะ”
ด้วยความสามารถสุดวิปริตของนาง และข้างกายนางนั้นยังมีชิงอิ่งอีกคน พวกเขาจึงไม่ได้กังวลในเรื่องความปลอดภัยของนางเลย
เงาร่างสีม่วงพุ่งผ่านดินแดนลึกลับทางตะวันตกแห่งนี้ ต้องทราบก่อนว่าแดนลึกลับของภาคตะวันตกแห่งนี้นั้น ไม่ได้มีสมบัติอันใดมากมายนัก แต่ทว่าสัตว์วิญาณกลับมีจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว
หลังจากที่ได้ค้นหาอยู่นาน อย่าว่าแต่ยาระดับปฐพี แม้แต่สมุนไพรวิญญาณขั้นสูงก็ยังไม่มี มู่เฉียนซีบ่นพึมพำ “คนที่หุบเขากระจกจันทราคงไม่ได้หลอกข้าหรอกกระมัง สถานที่แห่งนี้มียาระดับปฐพีจริง ๆ หรือ ?”
ทว่าเมื่อมาคิดดูอีกที สำนักอวิ๋นเยียนของสำนักนิกายระดับหนึ่งที่หน้าไม่อายนั้นได้เข้ามาในแดนลึกลับแห่งภาคตะวันตกนี้ ดังนั้นแดนลึกลับแห่งภาคตะวันตกแห่งนี้น่าจะมีสมบัติล้ำค่า มิเช่นนั้นแล้วพวกหน้าไม่อายพวกนั้น ก็คงจะไม่มายังที่แห่งนี้เป็นแน่แท้
เช่นนั้นแล้วมู่เฉียนซีจึงได้พาชิงอิ่งเริ่มออกค้นหา
ในตอนที่นางกำลังตามหายาระดับปฐพีอยู่นั้น กลับรู้สึกได้ว่ามีพลังบางอย่างลอบติดตามนางอย่างเงียบ ๆ โดยใกล้เข้ามามากขึ้นเรื่อย ๆ
ผู้มาเยือนมีกลิ่นอายของการฆ่าฟันอันเยือกเย็น เห็นได้ชัดว่าผู้มาเยือนมิได้เป็นมิตรกับนาง
— ฟึ่บ! ฟึ่บ! ฟึ่บ! —
เงาร่างสีขาวหลายร่างพุ่งเข้ามาทางด้านหน้าของมู่เฉียนซี คนเหล่านี้เป็นกลุ่มคนของสำนักซวนปิงอย่างที่นางคาดเดาไว้จริง ๆ
คนรุ่นหลังและผู้อาวุโสของสำนักซวนปิงเหมือนได้แยกจากกันไปแล้ว แต่ทว่าหลังจากนั้นไม่นาน พวกเขาก็ได้กลับมารวมตัวกันเป็นกลุ่มเดียว
มู่เฉียนซีมองไปที่อีซือด้วยใบหน้าที่จะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้มพร้อมกล่าวขึ้น “แม่นางอีซือ เราได้พบกันอีกแล้ว อาการบาดเจ็บของเจ้านั้นคงดีขึ้นแล้วกระมัง”
ใบหน้าของอีซือแปรเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าว นางกล่าวขึ้นมาด้วยความโกรธขึ้ง “มู่เฉียนซีสตรีร้าย เจ้ายังกล้ามาพูดถึงเรื่องบาดแผลของข้าอีกรึ ? ตอนนี้บนตัวของข้ามีแผลเป็นอยู่แห่งหนึ่งยังไม่หาย น่าเกลียดจะตายชัก”
มู่เฉียนซีกล่าวเย้ยหยัน “เพียงแค่นี้ก็รับไม่ไหวเสียแล้ว ถ้าหากว่าข้าเอาพิษไปใส่บนหน้าเจ้า เจ้าไม่แขวนคอตายเลยรึ ?”
ความเย็นยะเยือกของบรรยากาศรอบตั้วนั้นยิ่งทวีความเข้มข้นขึ้น อีซือยิ้มอย่างดุร้ายก่อนจะกล่าวว่า “ข้าไม่เปิดโอกาสเช่นนั้นให้เจ้าแน่ ข้าจะกรีดสร้างรอยแผลบนใบหน้าเจ้าให้ลึกกว่ารอยแผลเป็นของข้า ให้เจ้าตายไปเป็นผีที่น่าเกลียดในปรโลก!”
“เฮ้อ… ข้าได้ยินมาว่าสตรีแต่ละนางแห่งสำนักซวนปิงนั้นราวกับนางฟ้าเทพธิดาบนสวรรค์ แต่มาพบเจ้าวันนี้จึงได้รู้ว่าข่าวลือนั้นอาจจะเชื่อถือไม่ได้”
อีซือแทงกระบี่ไปทางมู่เฉียนซี แต่มู่เฉียนซีกลับหลบหลีกได้อย่างง่ายดาย
อีซือรู้ในทันทีว่าไม่สามารถต่อกรด้วยได้จึงได้รีบร้องตะโกนขึ้น “ท่านอาจารย์ ศิษย์พี่หญิง อาจารย์อา จับตัวนางมู่ผู้นี้ไว้”
แน่นอนว่าอีซือนั้นจะไม่ยอมให้มู่เฉียนซีได้ตายอย่างสบาย ๆ นางจะค่อย ๆ ทรมานมู่เฉียนซีอย่างช้า ๆ จากนั้นค่อยทำให้มู่เฉียนซีกลายเป็นคนอัปลักษณ์นางถึงจะพอใจ
หญิงผู้นี้ได้ทิ้งบาดแผลที่ไม่อาจลบล้างได้ไว้บนผิวขาวดุจหิมะของนาง จึงไม่อาจยอมให้อภัย
ในตอนที่เจ้าสำนักซวนปิงกับศิษย์พี่หญิงผู้นั้นกำลังพุ่งเข้าไป ก็ได้มีเงาสีเขียววาบเข้ามา
ชิงอิ่ง!
เจ้าสำนักซวนปิงกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เป็นเจ้าอีกแล้วที่เข้ามาขัดขวาง! วันนี้ข้าต้องเจอกับเจ้าจัง ๆ สักหน่อยแล้ว”
เขานั้นรู้ดีว่าไม่ว่าอย่างไรชายชุดเขียวจะต้องมาช่วยมู่เฉียนซี และเขาเองมาเพื่อถ่วงเวลาชายชุดเขียวผู้นี้เอาไว้ ส่วนคนที่เหลือตั้งใจให้ไปจัดการกับสาวน้อยมู่ผู้นั้น พวกเขามีกำลังเหลือเฟือที่จะจัดการได้
ทว่าใครจะไปรู้ว่าในตอนนี้เอง มู่เฉียนซีได้เปิดปากกล่าวขึ้นมาด้วยเสียงอันดัง “เสี่ยวหง อู๋ตี้ ออกมา!”
แสงสีแดงเข้มส่องประกายวาบในทันใด “เพลิงเผาสวรรค์!”
ทันทีที่สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ออกมา เหล่ายอดฝีมือระดับราชานั้นก็ไม่มีกำลังพอที่จะต่อสู้สวนกลับเลย
“อู๋ตี้ผู้ไร้เทียมทานในใต้หล้า มาแล้ว!”
เมื่ออู๋ตี้ปรากฏตัวขึ้น มันก็ได้กล่าวคำพูดติดปากของมันออกมาเช่นเคย มันรีบอ้อมไปทางด้านหลังของศัตรูอย่างรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ และทันทีที่สบโอกาส มันก็ได้ใช้กรงเล็บแมวพิฆาตโจมตีอีกฝ่าย
— ปั่ก! ปั่ก! ปั่ก! —
เพียงแค่ตบเข้าไปที่ใบหน้าเพียงเท่านั้น อาจารย์อาผู้ที่อยู่ด้านข้าง พร้อมทั้งศิษย์พี่และศิษย์พี่หญิงต่างได้รับบาดเจ็บอย่างหนัก มีบางคนถึงกับสิ้นชีพหมดลมหายใจไปด้วยกรงเล็บที่ตบข่วนเข้าเพียงครั้งเดียว!
“สัตว์ศักดิ์สิทธิ์! สัตว์ศักดิ์สิทธิ์สองตัว!” เจ้าสำนักซวนปิงกัดฟันกรอด สีหน้าซีดเผือด
สาวน้อยนั่นเป็นสัตว์ประหลาดหรืออย่างไรถึงได้ทำพันธสัญญากับสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่ดุร้ายได้ถึงสองตัว ?
การเข้ามาในแดนลึกลับในครั้งนี้นั้นมีกฎข้อกำหนด ซึ่งข้อกำหนดที่ว่านั้นคือสามารถนำคนระดับจักรพรรดิเข้ามาได้เพียงสามคน ระดับราชาหกคน และผู้เป็นลูกศิษย์วัยหนุ่มสาวอีกสิบคน
เมื่อเขาต้องเผชิญกับชายชุดเขียวที่มีพลังพอ ๆ กันกับเขา และยังมีสัตว์ศักดิ์สิทธิ์อีกสองตัว หากคิดที่จะฆ่าเด็กสาวมู่ผู้นี้ มันไม่ใช่เรื่องง่ายดายแม้แต่น้อย
เขารู้สึกเสียใจภายหลังเข้าให้แล้ว หากรู้แต่แรกว่าสาวน้อยมู่ผู้นี้มีสัตว์ศักดิ์สิทธิ์สองตัว เขาคงไม่เลือกที่จะลงมืออย่างแน่นอน
เจ้าสำนักซวนปิงร้องตะโกน “ฆ่าเด็กสาวคนนั้นซะ! ฆ่านาง!”
ต้องรีบฆ่าเจ้าของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ให้ตายตกไป มิเช่นนั้นแล้วสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานนี้ไม่เป็นผลดีสำหรับพวกเขา
“ฮิ ๆ ๆ พวกเจ้าเพียงไม่กี่คนคิดที่จะทำร้ายนายท่านของข้า ฝันไปเถอะ!” เสี่ยวหงหัวเราะอย่างเย็นชา มันพุ่งเข้าไปกันท่าศัตรูระดับจักรพรรดิผู้หนึ่งไว้ ขณะเดียวกันอู๋ตี้เองก็ได้ขวางอีกผู้หนึ่งเอาไว้เช่นกัน
กล่าวตามตรง คนของสำนักซวนปิงเหล่านี้เมื่อเทียบกับสำนักหมอเทวดาแห่งสำนักนิกายระดับสองแล้ว ช่างห่างชั้นกันมากนัก พวกมันนั้นได้ร่วมต่อสู้กับผู้เป็นนายในการสู้กับกลุ่มคนของสำนักหมอเทวดาอย่างไม่มีขาดตกบกพร่อง ส่วนคนเหล่านี้ ไม่ต้องคิดว่าจะสามารถต่อกรได้
เหล่าผู้ที่เป็นระดับราชานั้นได้ถูกกวาดล้างไปสิ้น ส่วนผู้ที่เป็นระดับจักรพรรดิก็ได้ถูกขวางเอาไว้
ในวันนี้ผู้ที่สามารถจะต่อกรกับมู่เฉียนซีได้มีเพียงลูกศิษย์ของบางสำนักที่เป็นปรมาจารย์ภูตเท่านั้น
เมื่อเห็นอาจารย์อาถูกสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ของมู่เฉียนซีจัดการ และเมื่อพวกเขาเห็นมู่เฉียนซีที่สู้อยู่ ก็เกิดความรู้สึกเหมือนกำลังเผชิญกับสัตว์ร้ายที่น่าหวั่นเกรงหรือน้ำที่โหมท่วมอย่างเกรี้ยวกราด บางคนถึงกับคิดที่จะหนีไปอย่างหัวซุกหัวซุน ไม่อยากที่จะสู้ต่อ พวกเขานั้นไม่อยากที่จะเข้าไปตายเปล่า
อัจฉริยะที่ถูกเลี้ยงดูมาในสำนักเหล่านี้ ถึงแม้ว่าพวกเขาจะมีการประลองกันอยู่เป็นครั้งคราว แต่ก็ได้ผ่านศึกที่ชี้ชะตาเป็นตายเช่นนี้มาน้อยมาก เมื่อได้พบเจอกับสถานการณ์ที่จะทำให้พวกเขาตายได้จริง ๆ ใจของพวกเขารับไม่ไหวจึงได้คิดถอย
ในเวลานี้เอง อีซือกล่าวขึ้น “จัดการฆ่ามู่เฉียนซีเสีย! หากใครสามารถตัดหัวของนางมู่ผู้นั้นได้ ข้าจะแต่งงานด้วย!”
อีซือนั้นเป็นหญิงงามอันดับหนึ่งของสำนักซวนปิง ทั้งยังเป็นศิษย์รักของเจ้าสำนักซวนปิง การที่จะได้แต่งงานกับนางล้วนเป็นเรื่องที่เหล่าศิษย์บุรุษทุกคนในสำนักซวนปิงใฝ่ฝัน
เมื่ออีซือตะโกนข้อเสนอที่หอมหวานเช่นนี้ออกมา เหล่าบรรดาลูกศิษย์บุรุษของสำนักซวนปิงหลายคนเอาชนะความกลัวได้ พุ่งเข้าไปทางมู่เฉียนซีในทันใด
มีกระบี่และดาบที่เย็นเฉียบจำนวนมากมุ่งมาที่นาง ในตอนนั้นเอง กระบี่มังกรเพลิงของมู่เฉียนซีส่องแสงวาบออกมา!
— ตูม! ตูม! ตูม! —
“มังกรเพลิงสังหาร!”
อีซือนั้นเป็นศิษย์อันดับหนึ่งในศิษย์รุ่นเดียวกันของสำนักซวนปิง นางแข็งแกร่งกว่าศิษย์คนอื่น ๆ หลายเท่า นางคิดว่าการเข้ารุมมู่เฉียนซีจะสามารถเอาชนะนางได้ แต่ทว่านั่น นางคิดผิดมหันต์!
มีคนมากมายที่ล้อมโจมตีมู่เฉียนซี แต่ทว่าไม่มีใครที่แข็งแกร่งพอจะเอาชนะนางได้เลย ในทางกลับกัน มู่เฉียนซีนั้นทำให้พวกเขาที่ไม่ค่อยมีประสบการณ์ในการต่อสู้ วิ่งมั่ว ๆ ซั่ว ๆ กันเสียเอง
มู่เฉียนซีโยนขวดยาขวดหนึ่งออกมา ยกยิ้มมุมปากอย่างกรุ้มกริ่มก่อนจะกล่าว “เหอะ! ข้าเล่นกับพวกเจ้ามามากพอแล้ว ลองลิ้มชิมรสชาติของนี่ดูหน่อยเป็นอย่างไร ?!”
— เพล้ง! —
เมื่อขวดยาของมู่เฉียนซีแตกกะจาย รอบ ๆ ที่แห่งนั้นก็ได้เกิดหมอกสีดำคลาคลุ้งบดบังและรบกวนการมองเห็นของพวกเขา
อีซือกล่าวด้วยเสียงเคร่งขรึม “บัดซบ! เจ้าใช้วิธีสกปรกเช่นนี้อีกแล้ว”
“แล้วการที่พวกเจ้าหมาหมู่จะมารุมฆ่าข้ามันใสสะอาดนักรึ ?! เช่นนั้นข้าเอาไพ่ตายบางอย่างออกมาใช้คงไม่ผิดหรอกกระมัง จงเพลิดเพลินกับของขวัญของพวกเจ้าเถอะ!”
“แค่ก ๆ ๆ รีบกลั้นหายใจเร็วนั่นมันพิษล้วน ๆ! ใช้พลังวิญญาณป้องกันพิษนี้เร็วเข้า!” เจ้าสำนักซวนปิงรีบกล่าวเตือนลูกศิษย์ของตน
เวลานี้สถานการณ์เป็นไปอย่างโกลาหลวุ่นวาย
.