ตอนที่ 694

Elixir Supplier

694 ความฝัน

 

“อาจารย์ ผู้หญิงอีกคนมีลูกไม่ได้แล้วใช่ไหม?” พันจวินถามอีกรอบ

 

“มันไม่ใช่แค่เธอมีลูกไม่ได้อีกเท่านั้น แต่ยังมีเรื่องที่ว่า เธอจะอยู่ได้อีกนานแค่ไหนด้วยน่ะสิครับ” หวังเย้าพูด

 

“หา?!” พันจวินตกใจ

 

“ร่างกายของเธอได้รับความเสียหายอย่างหนัก เธอเป็นเหมือนกับต้นไม้ที่รากถูกทำลายลงไป” หวังเย้าพูด “มันยังดูเหมือนต้นไม้ที่เต็มไปด้วยใบก็จริง แต่มันก็คงจะอยู่ได้อีกไม่นาน เพราะรากของมันดูดซึมสารอาหารไม่ได้อีกแล้ว”

 

เขาไม่อยากจะพูดถึงเรื่องนี้เท่าไหร่ แล้วเขาก็ไม่อยากยุ่งกับคนที่ไม่สนใจร่างกายตัวเองแบบผู้หญิงคนนั้นด้วย

 

“ออกไปข้างนอกกันเถอะครับ” หวังเย้าพูด

 

พวกเขาออกมาจากคลินิกและเดินเรียบไปตามทางเดินขึ้นเขา มันเป็นเวลาบ่ายสี่โมง อุณหภูมิเริ่มเย็นลงและอากาศก็ดี ซึ่งเหมาะสำหรับการออกกำลังกายอย่างมาก

 

“ฉันยังสงสัยอยู่อย่างหนึ่ง” พันจวินพูด “อาจารย์รักษาผู้หญิงคนนั้นไม่ได้จริงๆเหรอ?”

 

“ไม่ได้ ผมเห็นได้จากในตาของเธอ” หวังเย้าพูด

 

เขาเรียนรู้ผู้คนจากการมองไปที่นัยน์ตาของพวกเขา

 

“อาจารย์ นี่มันเหมือนไม่ใช่เรื่องจริงเลยนะ” พันจวินพูด

 

“มันก็แค่เรื่องทั่วๆไปเท่านั้น” หวังเย้ายิ้ม

 

“อาจารย์มีความฝันแบบไหนเหรอ?” พันจวินถาม

 

“ความฝันเหรอ?” หวังเย้าถาม “ทำไมอยู่ๆถึงถามแบบนี้ล่ะครับ? มันเป็นคำถามที่ซับซ้อนอยู่นะ!”

 

ในอดีต เขามีความคิดที่จะเริ่มสร้างธุรกิจของตัวเองด้วยที่เพียงไม่ที่เอเคอร์บนเนินเขาหนานชาน และสร้างเงินจากมัน แต่ความเป็นจริงนั้นโหดร้าย แล้วเขาก็ได้รับระบบวิเศษมา ซึ่งทำให้ชีวิตของเขาเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ หลังจากชีวิตขึ้นๆลงๆอยู่พักหนึ่ง เขาก็เริ่มชอบการรักษาขึ้นมา เขาอยู่เพื่อช่วยชีวิตคน ส่วนความฝันของเขานั้น เขาหวังว่าจะสามารถส่งต่อความรู้ของเขาได้ และอยากเห็นว่า เขาจะสามารถประสบความสำเร็จไปได้ไกลสักแค่ไหน

 

“อาจารย์?” พันจวินขัดจังหวะความคิดของเขา

 

“ผมอยากจะสานต่อสำนักแพทย์ปรุงยา” หวังเย้าพูด

 

“แล้วก็จะได้ครองโลก” พันจวินพูด

 

“หืม?” หวังเย้าตกใจ “ทำไมอยู่ๆถึงได้พูดแบบนี้ล่ะครับ?”

 

“อาจารย์ ฉันคาดหวังในตัวอาจารย์เอาไว้มากเลยล่ะ” พันจวินพูด

 

ที่ตีนเขาของเนินเขาหนานชาน พวกเขาเดินดูต้นไม้ที่เพิ่งจะปลูกใหม่ได้ไม่นาน ก่อนจะเดินกลับลงไปด้านล่าง เมื่อพวกเขาเดินไปถึงทางเข้าหมู่บ้าน พวกเขาก็เจอเข้ากับจงอันซินที่ออกมาเดินเล่น หลังจากที่ได้รับการรักษาแล้ว เด็กสาวก็อาการดีขึ้นมากและสามารถกลับได้ในอีกไม่กี่วันที่จะถึง

 

คนนอกที่เข้ามาอยู่ในหมู่บ้านค่อนข้างระมัดระวังที่จะไม่ขึ้นไปบนเนินเขาหนานชาน พวกเขาเพียงมองดูจากที่ไกลๆเท่านั้น เพราะทุกคนต่างก็รู้กฎของหวังเย้าดี เขาไม่ชอบให้ใครขึ้นไปบนนั้น

 

เมื่อพวกเขาเดินมาถึงที่ตีนเขาและมองไปที่ป่าไม้ด้านล่างนั้น จงอันซินก็ถามว่า “พี่คะ เรากำลังจะไปจากที่นี่กันแล้วใช่ไหมคะ?”

 

“อืม พี่ถามหมอหวังดูแล้ว เขาบอกว่า หลังจากที่เธอกินยาหมด เธอก็จะไม่เป็นอะไรแล้วล่ะ” จงหลิวชวนพูด

 

“หนูรู้สึกไม่ค่อยอยากจะไปจากที่นี่เลยค่ะ” เด็กสาวชอบความสงบของหมู่บ้านแห่งนี้

 

“ถ้าเธอชอบ เราอยู่ที่นี่กันต่อก็ได้” จงหลิวชวนพูด

 

“อยู่ที่นี่เหรอคะ?” จงอันซินตกใจกับคำตอบของพี่ชาย

 

“ถ้าเธออยากจะเข้าเรียน เราก็ไปอยู่ที่ตัวเมืองเหลียนชาน แล้วซื้อบ้านเอาไว้ที่นั่นสักหลัง” จงหลิวชวนพูด “แบบนี้ เราจะกลับมาที่นี่เมื่อไหร่ก็ได้”

 

เขาคิดเรื่องนี้เอาไว้แล้ว บ้านส่วนใหญ่เป็นของตระกูลซุน ในระหว่างที่เขาอยู่ที่นี่ เขาได้พูดคุยกับซุนหยุนเชิงอยู่หลายครั้ง การที่พวกเขารู้จักกันแล้ว มันจึงทำให้เรื่องบ้านเป็นเรื่องง่ายสำหรับเขาที่จะจัดการ

 

บ้านคือความอบอุ่นสำหรับพวกเขา พวกเขาอาศัยอยู่ในเมืองจี้ในฐานะของแขก บ้านเกิดจริงๆของพวกเขาอยู่ที่เขตเว่ยชาน เมื่อนานมาแล้ว พ่อแม่ได้พาพวกเขาออกมาจากที่นั่น แต่แล้วก็เกิดเรื่องขึ้น ตอนนี้ พวกเขาจึงเหลือกันอยู่แค่สองคนพี่น้อง พวกเขาไม่มีญาติอยู่ที่บ้านเกิด และแทบจะไม่ได้กลับไปไหว้บรรพบุรุษที่นั่นเลย เมื่อไม่มีการติดต่อกับญาติ สานสัมพันธ์ก็ค่อยๆจางหายไปตามธรรมชาติ สำหรับพวกเขาทั้งสอง มันไม่ใช่เรื่องสำคัญสำหรับพวกเขาอีกต่อไป

 

“เธอคิดว่าไง?” จงหลิวชวนถาม

 

“โอเคค่ะ!” เด็กสาวพูดอย่างมีความสุข

 

หลังจากอยู่ไม่เป็นหลักแหล่งมานาน พวกเขาก็เริ่มรู้สึกเหนื่อยกับวิถีชีวิตแบบนั้น ถ้าพวกเขาสามารถตั้งรกรากอยู่ที่นี่ได้ มันก็เป็นความคิดที่ดีทีเดียว

 

“พี่คะ แล้วเรื่องงานของพี่ล่ะ?” จงอันซินถาม

 

“พี่จะลาออก แล้วค่อยหางานใหม่” จงหลิวชวนพูด

 

เขาไม่สามารถบอกน้องสาวของเขาได้ว่า เขาเคยทำงานอะไรมาก่อน เพราะสำหรับเขามันเป็นงานที่น่าอาย มันเป็นงานที่ต้องเสียเลือดเนื้อและมีความเสี่ยงสูง เขาไม่อยากจะทำงานนี้อีกต่อไปแล้ว นอกจากเงินที่เอามาใช้สำหรับรักษาน้องสาวของเขาแล้ว เขาก็ยังพอมีเงินเก็บอยู่บ้าง และมันมากพอที่จะซื้อห้องสวีทในเมืองรองอย่างเมืองจี้หรือเมืองเต๋าได้สบายๆ

 

และมันก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับพวกเขาเลย ที่จะซื้อบ้านสักหลังอยู่ในในเขตเล็กๆหรือหมู่บ้านเล็กๆ และทำการตกแต่งอีกเล็กน้อย เงินที่เหลือจะถูกเก็บเอาไว้ในธนาคารเพื่อเอาดอกเบี้ยจากธนาคาร และมันก็มากพอสำหรับให้พวกเขาใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน

 

“เราจะบอกหมอหวังไหมคะ?” จงอันซินถาม

 

“ไว้พี่ค่อยหาเวลาบอกเขาทีหลังแล้วกัน” จงหลิวชวนพูด

 

“อาจารย์ ฉันจะกลับแล้วนะ” พันจวินพูด

 

“ขับรถดีดีล่ะ” หวังเย้าพูด

 

รถค่อยๆหายไปทางทิศเหนือของหมู่บ้าน ส่วนหวังเย้าก็กลับไปที่บ้าน

 

 

ภายในโรงพยาบาลที่ปักกิ่ง

 

“หมอ หมอช่วยคิดวิธีรักษาอย่างอื่นจะได้ไหมครับ?” เฉาเหอและเฉาฮุยอยู่ภายในออฟฟิสของแพทย์มาเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว

 

หลังจากรักษามาได้หลายวัน อาการของเฉาเหมิงก็ไม่ดีขึ้นเลย เขายังคงไม่สามารถทานอะไรได้ หลังจากที่ทานเข้าไป เขาก็จะอาเจียนออกมาจนหมด อาการของเขาทำให้แพทย์สับสน

 

“เราพยายามถึงที่สุดแล้ว” แพทย์พูด “แต่พวกคุณก็ต้องเตรียมใจเอาไว้บ้างนะครับ”

 

“หมอให้หมอจีนมาดูอาการเขาจะได้ไหมครับ?” เฉาเหอถาม

 

“เราขอให้หมอจากแผนกแพทย์แผนจีนมาดูอาการของเขาแล้ว” แพทย์พูด “แต่พวกเขาก็ทำอะไรไม่ได้เหมือนกัน”

 

คนไข้รายนี้มีปัญหาที่ลำไส้และกระเพาะอาหาร เมื่อไหร่ที่เขาทานอาหารเข้าไป ร่างกายก็จะเกิดการต่อต้านอย่างรุนแรง ไม่ว่าจะเป็นอาหารแบบไหนก็ไม่สามารถย่อยได้ สิ่งนี้ส่งผลให้กระเพาะได้รับความเสียหายและส่งผลให้เกิดเลือดออกในกระเพาะ พวกเขาเลือกที่จะรักษาแบบประคับประคองอาการไปเรื่อยๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำกันทั่วไป แต่ถ้าอาการยังคงเป็นแบบนี้ต่อไป ร่างกายก็อาจจะทรุดได้

 

“ขอบคุณครับ” เฉาเหอพูด

 

“ครับ พวกคุณก็ต้องพักผ่อนเหมือนกันนะครับ” แพทย์พูด “อย่าหักโหมจนเกินไปล่ะ”

 

ทั้งสองเดินออกมาจากออฟฟิสของแพทย์ และเดินไปหยุดคุยกันที่มุนหนึ่งของทางเดิน

 

“คงไม่มีทางอื่นแล้วล่ะ” เฉาเหอพูด

 

“ไปคุยกับพี่ใหญ่กันเถอะ” เฉาฮุยพูด “เขาอาจจะตายได้เลยนะ!”

 

เฉาเหอถอนหายใจ ไม่มีใครคิดว่าเรื่องมันจะกลายเป็นแบบนี้ไปได้

 

ภายในห้องคนไข้ มีคนไข้หลายคนกำลังนอนพักรักษาตัวอยู่ พวกเขาอ่อนแอ, ใบหน้าซีดเซียว, และไม่สามารถทานอาหารเหลวได้ พวกเขาสามารถมีชีวิตอยู่ได้ด้วยสารอาหารจากน้ำเกลือเท่านั้น พวกเขาไม่สามารถลุกออกจากเตียงนอนได้ และไม่มีแม้แต่แรงที่จะกลับตัว

 

“เป็นยังไงบ้าง?” น้ำเสียงของเฉาเหมิงดังพอให้ตัวเองได้ยินเท่านั้น มันราวกับควันบุหรี่ ที่เมื่อเป่าออกมาแล้วมันก็ปลิวหายไป

 

“ไม่ดีเลย มันแย่มากเลยล่ะ” เฉาเหอพูด “หมอบอกว่า ให้เราลองไปคุยกับจิตแพทย์ดู ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไป อาจจะเป็นอันตรายถึงชีวิตได้เลย”

 

“ไม่มีทางอื่นแล้วเหรอ?” หลังจากพูดออกไปแล้ว เฉาเหมิงก็แทบจะไร้เรี่ยวแรง ราวกับหมดหนทางแล้ว

 

“เราลองทั้งแพทย์แผนตะวันตกและแผนจีนแล้ว” เฉาเหอพูด “ที่นี่เป็นโรงพยาบาลที่ดีที่สุดของจีนแล้ว แล้วไม่กี่วันก่อน เฉาฮุยก็ไปที่หมู่บ้านนั้นและติดต่อกับหมอหวังดูแล้ว”

 

“เขาว่ายังไงบ้าง?” เฉาเหมิงถาม

 

“เรื่องอาการป่วยของพี่ เขาสามารถรักษาให้หายได้ แต่พี่ต้องสารภาพผิดและรับโทษทางกฎหมาย” เฉาเหอพูด

 

ความเงียบเข้าปกคลุมพวกเขา เขาต้องเลือกระหว่างความตายกับเข้าคุกเพื่อให้มีชีวิตรอดต่อไป ชีวิตหรืออิสระ? ทั้งหมดนี้จำเป็นต้องพิจารณาให้ถี่ถ้วน

 

“เขารักษาฉันได้แน่เหรอ?” ความคิดของเฉาเหมิงเริ่มผ่อนคลายลง ชีวิตสำคัญที่สุด

 

“เขาบอกว่าได้” เฉาเหอพูด

 

“ลองไปคุยกับเขาอีกรอบดู” เฉาเหมิงพูด

 

เฉาฮุยออกเดินทางไปยังจังหวัดฉีในคืนนั้น เธอพักอยู่ที่เมืองจี้หนึ่งคืน ในตอนเช้า เธอก็เดินทางต่อไปยังห่ายชิวอย่างเร่งรีบ เธอหารถมาคันหนึ่งและมุ่งหน้าสู่หมู่บ้านกลางเขาทันที เมื่อไปถึง เธอก็พบว่า ประตูคลินิกปิดอยู่

 

เธอไม่ได้จากไปไหน และรอคอยอยู่ที่ใต้ต้นจินเหอตรงด้านนอกกำแพง

 

เพื่อที่จะเดินทางมาที่นี่ให้เร็วที่สุด เธอจึงไม่ได้ทานข้าวกลางวัน เธอมีเพียงขนมปังและน้ำหนึ่งขวดเท่านั้น แสงแดดร้อนแรง เมื่ออยู่ภายใต้ร่มไม้จึงรู้สึกเย็นขึ้น

 

หวังเย้าเดินกลับมาจากที่บ้านและเห็นเฉาฮุยกำลังยืนอยู่ใต้ร่มไม้

 

“ทำไมเธอถึงมาที่นี่อีกล่ะ?” หวังเย้าถาม

 

“ฉันมาหาคุณค่ะ” ท่าทีของเฉาฮุยดูนอบน้อมมาก

 

ครั้งนี้ เธอตั้งใจมาเพื่อสงบศึก เขาสามารถรักษาเฉาเหมิงได้ ทั้งที่เขาสามารถเลือกที่จะปฏิเสธ และทำเป็นหลับหูหลับตาไม่สนใจใยดีชีวิตของคนคนหนึ่งได้

 

“เรามาคุยกันเถอะค่ะ” เธอพูด

 

“เข้ามานั่งข้างในก่อนสิ” หวังเย้ามองไปที่ใบหน้าของหญิงสาวที่เต็มไปด้วยเหงื่อ