ตอนที่ 695

Elixir Supplier

695 น้ำ

 

“เธอเดินทางตลอดทั้งคืนเลยเหรอ?” หวังเย้าถาม

 

“ค่ะ” เฉาฮุยพูด

 

“แล้วเขาตัดสินใจแล้วเหรอ?” หวังเย้าถาม

 

“ค่ะ เขาตัดสินใจที่จะสารภาพความทั้งหมดที่เขาได้ทำเอาไว้กับตำรวจค่ะ” เฉาฮุยพูด

 

“โอเค หลังจากที่เขาไปสารภาพกับตำรวจแล้ว ผมจะรักษาเขาให้” หวังเย้าพูด

 

“คุณ…” เฉาฮุยพยายามจะพูดอะไรบางอย่างออกไป

 

“เธอไม่เชื่อผมเหรอ?” หวังเย้ารู้ถึงการเดินทางมาในครั้งนี้ของเธอดี

 

“ฉันกังวลนิดหน่อยน่ะค่ะ” เฉาฮุยพูด เธอคิดว่า เธอควรจะทำให้ทุกอย่างมันชัดเจน

 

“ฮาฮา ผมรักษาสัญญาอยู่แล้ว” หวังเย้าพูด

 

เฉาฮุยเงียบไปพักหนึ่ง มันเป็นแค่คำสัญญาปากเปล่าจากหวังเย้า ซึ่งไม่ได้มีความหมายอะไรเลย แต่เธอก็ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว

 

“คุณไปปักกิ่งกับฉันได้ไหมคะ?” เฉาฮุยถาม

 

“นั่นคงจะเป็นไปไม่ได้” หวังเย้าพูด “พูดตามตรงนะ เธอคิดว่าผมสนใจคนพวกนั้นเหรอ? พวกเขาหาเรื่องเองทั้งนั้น”

 

สาเหตุที่เขายอมเสียเวลาคุยกับเฉาฮุย ก็เพราะเธอยังพอมีความดีอยู่บ้าง ถึงเธอจะคอยช่วยเหลือเฉาเหมิง แต่เธอก็มีนิสัยแตกต่างจากเฉาเหมิงอย่างสิ้นเชิง

 

เฉาฮุยเงียบไปอีกครั้ง เธอไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร เธออยู่ในสถานการณ์ที่ต่างออกไป หวังเย้าเป็นผู้ถืออำนาจ เธอไม่มีสิทธิไปเรียกร้องอะไรจากเขาได้เลย

 

บางทีมันอาจจะเป็นกรรมก็ได้ เฉาฮุยคิด

 

“ขอโทษที่มารบกวนนะคะ” หลังจากที่คิดอยู่สักพัก เธอก็พูดออกมา

 

เธอเดินทางทั้งวันทั้งคืนมาหลายพันไมล์ และได้คุยกับหวังเย้ายังไม่ถึงครึ่งชั่วโมงเลยด้วยซ้ำ

 

“ไม่เป็นไร บาย” หวังเย้าพูด

 

เฉาฮุยเดินออกมาจากคลินิกในตอนเที่ยง ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ร้อนที่สุดของวัน

 

จงหลิวชวนและจงอันซินมาที่คลินิกในตอนบ่าย จงอันซินหายดีแล้วและตอนนี้ร่างกายของเธอก็แข็งแรงดี

 

“ทั้งสองคนกำลังจะไปที่ไหนเหรอ?” หวังเย้าถาม

 

“ความจริง เราคิดจะอยู่ที่นี่เลยครับ ผมก็เลยว่าจะซื้อบ้านในหมู่บ้านนี้สักหลัง” จงหลิวชวนพูด

 

เขาตัดสินใจซื้ออพาร์ทเมนต์ในตัวเมืองเหลียนชานไว้ห้องหนึ่ง และซื้อบ้านเอาไว้ที่หมู่บ้านนี้อีกหนึ่งหลัง จงอันซินสามารถพักที่โรงเรียนได้ ส่วนเขาก็จะคอยดูแลเธอโดยพักอยู่ที่อพาร์ทเมนต์ที่ซื้อเอาไว้ในตัวเมือง

 

“ฟังดูเข้าท่าดีนะครับ” หวังเย้าพูดด้วยรอยยิ้ม

 

ชาวบ้านที่เคยอาศัยอยู่ในหมู่บ้านเลือกที่จะย้ายออกไป ในขณะที่คนนอกกลับเลือกที่จะย้ายเข้ามาอยู่แทน

 

ในทางกลับกัน เจิ้งเหว่ยจวินก็เตรียมที่จะเดินทางออกจากหมู่บ้านแล้ว เขาไม่จำเป็นต้องนั่งรถเข็นอีกต่อไป และใช้ไม้เท้าช่วยพยุงตัวแทน เขาสามารถเดินได้ด้วยตัวเองแล้ว และมักจะเดินไปรอบๆหมู่บ้านอยู่เป็นประจำ

 

“ลุงครับ เราคงต้องจากที่นี่ไปเร็วๆนี่แล้วสินะ” เจิ้งเหว่ยจวินพูด

 

“อืม ลุงรู้ว่าเราต้องไป” เจิ้งชื่อฉงพูด

 

“ผมไม่อยากไปจากที่นี่เลย ผมชอบที่นี่มาก” เจิ้งเหว่ยจวินพูด

 

ยิ่งเขาอยู่ที่หมู่บ้านนี้นานเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งชอบที่นี่มากขึ้นเท่านั้น หมู่บ้านเป็นที่ที่เงียบสงบและผ่อนคลาย เจิ้งเหว่ยจวินไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องการต่อสู้, แผนลอบกัด, และเรื่องสกปรกๆในโลกของธุรกิจ เขาไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องการต่อสู้ในหมู่เครือญาติ

 

ในหมู่บ้านมีรถเข้าออกอยู่แค่ไม่กี่คัน และจำนวนคนอยู่อาศัยก็มีเพียงน้อยนิด มันไม่มีเสียงอึกทึกของโรงงาน และเป็นสถานที่ที่ใช้ชีวิตไปอย่างช้าๆ ผู้คนใช้เวลาไปกับสิ่งต่างๆ เขามักจะนั่งดื่มชาและใคร่ครวญเกี่ยวกับกับชีวิตของตัวเองในเวลาที่ไม่ได้ทำอะไร

 

หลังออกไปจากหมู่บ้านแล้ว เขาก็ต้องบอกลาชีวิตที่แสนสงบสุขและกลับเข้าสู่โลกของความเป็นจริง

 

“เธอไม่ได้เป็นคนของที่นี่” เจิ้งชื่อฉงพูด

 

ชีวิตของคนคนหนึ่งอาจจะถูกกำหนดเอาไว้ตั้งแต่ที่เขาหรือเธอลืมตาขึ้นมาดูโลกใบนี้แล้ว มันเป็นโชคชะตาที่จะเกิดมารวยหรือจน, เกิดเป็นยอดคนหรือเป็นแค่คนที่ไม่มีใครจดจำ

 

เจิ้งเหว่ยจวินเงียบไป “ผมเริ่มรู้สึกอิจฉาหมอหวังซะแล้วสิ”

 

“เขาไม่ได้เกี่ยวข้องกับทางโลกแล้ว” เจิ้งชื่อฉงพูด

 

ถึงหวังเย้าจะมีการสื่อสารกับคนไข้ จากการรักษาคนในคลินิกของเขาเอง แต่เขาก็แทบจะไม่ปรากฏตัวในโลกภายนอกเลย เขาไม่ใช่ฤษี แต่ระหว่างเขากับคนแบบซุนหยุนเชิงและเจิ้งเหว่ยจวินนั้นมีความแตกต่างขนาดใหญ่อยู่

 

ตอนบ่าย มีคนไข้มาแค่ไม่กี่คนเท่านั้น หวังเย้าจึงปิดคลินิกเร็วกว่าปกติ เมื่อเขากลับไปถึงที่บ้าน เขาก็พบว่า แม่ของเขากำลังทำความสะอาดกระต่ายป่าตัวหนึ่งอยู่

 

“แม่เข้าไปในเมืองมาเหรอครับ?” หวังเย้าถาม

 

“เปล่าหรอกจ๊ะ เจ๋อเชิงเอามาให้น่ะ แม่บอกให้เขาเอากลับไปแล้ว แต่เขาก็ทิ้งเอาไว้ที่นี่แล้วก็หนีไปเลย เขาดูผอมลงไปเยอะเลยนะ” จางซิวหยิงพูด

 

“หวังเจ๋อเชิงเหรอครับ?” หวังเย้าถาม

 

“ใช่จ๊ะ ลูกก็รู้นี้ ว่าเมื่อก่อนเขาเคยทำไม่ดีกับลุงยี่หลงเอาไว้มาก แล้วก็เป็นพวกขี้เกียจสันหลังยาวอีกด้วย แต่ตอนนี้ เขากลับเปลี่ยนไปกลายเป็นอีกคนเลยนะ” จางซิวหยิงพูด

 

ทุกคนในหมู่บ้านต่างก็เห็นความเปลี่ยนแปลงของเขากันทั้งนั้น

 

“เขาเปลี่ยนไปแล้วล่ะครับ” หวังเย้าพูด

 

“ลูกอยากให้แม่เอากระต่ายไปทำเป็นอะไรดีจ๊ะ? เอาผัดกับซีอิ๋วดีไหม?” จางซิวหยิงถาม

 

“แล้วแต่แม่เลยครับ ผมกินได้หมด” หวังเย้าพูด

 

หลังจากทานอาหารเย็นเสร็จแล้ว หวังเย้าก็อยู่คุยเป็นเพื่อนพ่อกับแม่ของเขาต่ออีกสักพัก เขาออกจากบ้านมาในตอนสามทุ่มเพื่อกลับขึ้นไปบนเนินเขาหนานชาน ด้านนอกไร้ผู้คน มีเพียงไฟข้างถนนที่ยังคงส่องสว่างอยู่เท่านั้น

 

บรื้น! มีเสียงมอเตอร์ไซด์ขี่เข้ามาในหมู่บ้านจากทางเหนือ และหยุดอยู่ไม่ไกลจากหวังเย้ามากนัก

 

“สวัสดี หมอหวัง” เขาก็คือ หวังเจ๋อเชิง

 

“สวัสดีครับ พี่กลับมาซะดึกเลยนะครับ” หวังเย้าพูด

 

“อืม ฉันเพิ่งออกกะพิเศษมาน่ะ” หวังเจ๋อเชิงพูด

 

มันไม่ได้ดึกสำหรับหวังเจ๋อเชิงเลยด้วยซ้ำ เพราะปกติเขามักจะกลับมาหลังสี่ทุ่มไปแล้ว แต่เพราะสองสามวันที่ผ่านมา เจ้านายของไม่ค่อยมีงานให้ทำเท่าไหร่ ทั้งๆที่ตัวเขาอยากทำงานเพื่อหาเงินให้ได้เยอะๆ

 

หวังเจ๋อเชิงที่อยู่ใต้แสงไฟดูเหนื่อยล้าอย่างมาก เพราะเขาต้องทำงานติดต่อกันถึง 10 ชั่วโมงในทุกๆวัน งานของเขาเป็นงานที่ใช้แรง ดังนั้น มันจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เขาจะเหนื่อยอย่างสาหัส

 

“ผมบอกแล้วไม่ใช่เหรอครับ ว่าอย่าทำงานหนักเกินไป พี่ต้องพักผ่อนให้เพียงพอด้วยนะครับ” หวังเย้าพูด

 

“ฉันรู้ ฉันขอหยุดพรุ่งนี้ไว้แล้วล่ะ” หวังเจ๋อเชิงพูด

 

เขาเหนื่อยมาก แต่ชีวิตของเขาก็เหมือนได้ถูกเติมเต็ม และตัวเขาก็ไม่มีทางเลือกมากด้วย

 

“พี่น่าจะลองทำงานอย่างอื่นดูนะครับ” หวังเย้าพูด

 

“งานแบบไหนล่ะ?” หวังเจ๋อเชิงถาม

 

“ปลูกสมุนไพรยังไงล่ะครับ” หวังเย้าพูด

 

“แล้วใครจะมาอยากได้สมุนไพรที่ฉันปลูกล่ะ?” หวังเจ๋อเชิงถาม

 

“ผมไงครับ” หวังเย้าพูดด้วยรอยยิ้ม

 

“แต่ฉันไม่เคยปลูกสมุนไพรมาก่อนเลยนะ” หวังเจ๋อเชิงพูด

 

“พี่เคยทำไร่มาก่อนไม่ใช่เหรอครับ?” หวังเย้าถาม “มันก็คล้ายๆกันนั่นแหละ”

 

หวังเจ๋อเชิงเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดออกมาว่า “ฟังดูเข้าท่าดีนะ ไว้ฉันจะลองดูแล้วกัน”

 

“ดีครับ” หวังเย้าพูด

 

“ขอบคุณนะ” หวังเจ๋อเชิงพูดขอบคุณอย่างจริงใจ

 

“กลับบ้านได้แล้วครับ ที่บ้านคงกำลังรอพี่อยู่” หวังเย้าพูด

 

รถมอเตอร์ไซด์ของหวังเจ๋อเชิงเลี้ยวที่สุดปลายสะพานหิน จากนั้นก็มุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตก ก่อนที่จะหายไปในความมืด

 

หวังเย้ามีความคิดที่จะสอนคนปลูกสมุนไพรอยู่นานแล้ว หลังจากที่เขาตัดสินใจก่อตั้งบริษัทยาขึ้นมา เขาก็จำเป็นต้องหาแหล่งผลิตสมุนไพรให้เร็วที่สุด บริษัทของเขาจะต้องใช้สมุนไพรไม่ใช้สารเคมี

 

พื้นที่ในแปลงสมุนไพรของเขานั้นมีจำกัดและไม่สามารถปลูกสมุนไพรจำนวนมากได้ แล้วภายในแปลงสมุนไพรก็ยังมีสมุนไพรรากปลูกอยู่หลายชนิดด้วย เขาจำเป็นต้องหาพื้นที่ปลูกสมุนไพรธรรมดาที่อื่นแทน เขาไม่สามารถสั่งสมุนไพรจากพ่อค้าคนกลางได้ เพราะเขาจะไม่สามารถควบคุมคุณภาพของสมุนไพรได้เลย ดังนั้น เขาจึงต้องการให้ชาวบ้านที่ไม่ได้ย้ายเข้าไปอยู่ในเมืองปลูกสมุนไพรให้กับเขา

 

เขายังคิดที่จะปลูกสมุนไพรที่เนินเขาตงชาน เพราะเนินเขาซีชานได้กลายเป็นสถานที่แห่งความตายไปแล้ว มันจึงไม่ใช่เรื่องที่ดีที่จะปลูกพืชพรรณที่นั่น

 

และนั่นก็เป็นเหตุผลที่หวังเย้าพูดเรื่องนี้กับหวังเจ๋อเชิง

 

ภายในหมู่บ้านเงียบสงัด

 

“ปลูกสมุนไพรเหรอ?” ภรรยาของหวังเจ๋อเชิงแปลกใจ “ทำไมอยู่ๆพี่ถึงได้คิดอยากจะปลูกสมุนไพรล่ะ?”

 

“เมื่อกี้ฉันเจอกับเสี่ยวเย้ามาน่ะสิ แล้วเขาก็เป็นคนบอกเรื่องนี้กับฉันเอง” หวังเจ๋อเชิงพูด

 

“แต่เราไม่เคยปลูกสมุนไพรมาก่อนเลยนะ” ภรรยาของเขาพูด

 

“ฉันว่าไม่น่าจะยากหรอก คงจะคล้ายๆกับการทำไร่นั่นแหละ แล้วเธออยู่บ้านก็ไม่มีอะไรทำอยู่แล้วนี่นา” หวังเจ๋อเชิงพูด

 

“ก็ได้ งั้นเรามาลองกันสักตั้งแล้วกัน” ภรรยาของเขาพูด

 

“พรุ่งนี้ฉันไม่ทำงานพอดี เดี๋ยวฉันจะลองไปคุยเรื่องนี้กับเสี่ยวเย้าดูก่อน” หวังเจ๋อเชิงพูด

 

“ก็ดีนะ” ภรรยาของเขาพูด