อวิ๋นหว่านชิ่นรออยู่ข้างนอกผ้าม่านสักพัก ชายหนุ่มยังคงก้มหน้าลงไม่ขยับ นางจึงเทน้ำร้อนผสมน้ำเย็นใส่อ่างทองแดงอยู่ด้านนอก หยิบผ้าฝ้ายสะอาดขึ้นมาพันรอบเสาไว้และยกอ่างน้ำเข้าไปจากด้านหลัง
หากเป็นวันปกติ เขาเห็นนางเข้ามาอย่างนี้หน้าจะต้องเปลี่ยนสีและไล่นางออกไปเป็นแน่
วันนี้เขาจดจ่อมากไปจนไม่รู้ว่ามีคนเข้ามา อวิ๋นหว่านชิ่นนำอ่างทองแดงวางบนโต๊ะเล็กไป พลางแอบมองเขาไปด้วย
เขายังคงก้มหน้ามองกระดาษ เขียนบทกลอนเขียนไปไม่เท่าไหร่ก็หยุดมอง มองไปมองมาจนยิ้มออกมา
ระหว่างยิ้มจมูกก็แดงขึ้นอย่างน่าสงสัย
อ่านจดหมายทางการทหารกลางดึกคนเดียวในห้อง จู่ๆ ก็ยิ้มออกมา?
อวิ๋นหว่านชิ่นเสียวกระดูสันหลังขึ้นมา ไม่ใช่ว่าเหนื่อยเกินไปจนจิตไม่ปกติ….โดนของหรือเปล่า
นางยกอ่างทองแดงอย่าสงสัยค่อยๆ เดินเข้าไป ก้าวเท้าไปข้างหลังเขาชำเลืองมอง
หืม? ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่จดหมายทางการทหาร หลายวันมานี้ที่อวิ๋นหว่านชิ่นเข้าออกห้องจนชินแล้ว กระดาษที่ใช้ทางราชการจะเป็นกระดาษพิเศษ กระดาษจะหนาและออกสีเหลือง เพื่อป้องกันไม่ให้เปียกระหว่างทาง ก่อนหน้านี้ที่เขาส่งจดหมายสงบสุขมาที่พระราชวังเมืองหลวงและจวนฉินอ๋องก็ใช้จดหมายทางราชการ
แต่ว่าตอนนี้กระดาษจดหมายที่เขาเขียนกลับเป็นกระดาษเซวียนจื่อจากเมืองอิ่งโจว กระดาษค่อนข้างบาง สีขาวนวลโดยปกติจะใช้ส่งจดหมายส่วนตัว
ลายมือบนกระดาษของเขามองดูแล้วมีน้ำหนักไม่ขาดไม่เกิน ละเอียดบาง ทั้งยังมีสำนวนเต็มไปด้วยอารมณ์ แผ่การครอบงำไปทั้งพื้นพิภพ
ตัวหนังสือก็เหมือนเขาผู้นี้ ไม่มีคลื่น สงบนิ่งแต่กลับซ่อนบางอย่างไว้
ด้านข้าง หินทับกระดาษทับซองจดหมายสีน้ำตาลไว้
หรือว่าจะเป็นจดหมายบอกเล่าทุกข์สุขที่จะส่งไปจวนฉินอ๋อง
นางอดไม่ได้ที่จะเอียงตัวเดินเข้าไป หัวจดหมายเขียนไว้อย่างชัดเจน ‘ชิ่นเอ๋อร์เมียรักของข้า’ ทำให้นางตัวแข็งทื่อ
เป็นจดหมายที่ส่งไปจวนฉินอ๋องจริงๆ แต่จ่าหน้าซองแบบนี้ไม่ใช่จดหมายบอกเล่าทุกข์สุขที่เคยส่งกลับไปเมื่อคราวก่อน แต่เป็นจดหมายที่ส่งให้นางเพียงคนเดียว
นางใจสั่น ถือโอกาสมองตามมือที่เขียน เห็นเพียงแต่ซองจดหมายสีน้ำตาลข้างๆ ที่ซ้อนทับกันใช้ด้ายแดงผูกเอาไว้ หน้าซองบนสุดมีชื่อตนอยู่ ตัวอักษรนุ่มนวลลึกซึ้ง ผสมกับความอ่อนโยน
จดหมายพวกนี้ นางไม่เคยได้รับแม้แต่ฉบับเดียว เพราะว่าเขารู้จดหมายทุกฉบับที่ส่งไปในพระราชวังไม่ว่าจะเป็นจดหมายราชการหรือจดหมายส่วนตัวจะถูกตรวจสอบเนื้อหาด้านใน
ตัวอักษรเขียนความในใจพวกนี้ล้วนเป็นความลับระหว่างเขากับนาง เขาไม่ยอมให้คนอื่นได้เห็น เขายอมที่จะเขียนออกมาก่อนรอจนกว่าจะได้กลับพระราชวังจึงจะมอบจดหมายทุกฉบับให้แก่นาง
นางไม่เคยคิดเลยว่าอยู่พระราชนิเวศน์ไกลจากนางเป็นร้อยลี้ ทุกๆ วันที่เขาเสร็จจากงานราชการอันเคร่งเครียด ยังสละเวลาอันมีค่าให้กับตนที่ไม่ได้อยู่ข้างกาย ฝีเท้าของนางเหมือนติดอยู่บนพื้น อดไม่ได้ที่จะยื่นหน้าดู อยากจะอ่านเนื้อหาในจดหมายต่อ
ยังไม่ทันเขียนเต็มกระดาษเซวียนจื่อ แสงเทียนในห้องก็สะท้อนเงาหญิงสาว
ดวงตาดำของซย่าโหวถิง รีบหันหลังยื่นแขนคว้าคอนางแน่น ใบหน้าหล่อเหลาแดงก่ำ นึกได้จึงรีบนำที่ทับกระดาษปิดไว้ เอ่ยเสียงต่ำ “บังอาจ!”
เห็นอยู่ว่าเขาโกรธ แต่ยังเหมือน…เขิน?
เขิน? เขาเขิน?
อวิ๋นหว่านชิ่นหลบตัวไม่ทัน รีบจับมือเขาแยกออก ไอไปยิ้มไป “บ่าวเห็นว่าท่านอ๋องกำลังตั้งใจจึงไม่กล้ารบกวน….บ่าวไม่เห็นอะไรทั้งนั้นเพคะ”
มือเขาคลายลง แต่ความโกรธยังไม่ลดลง ดวงตาเย็นชาเหนือคนทั่วไปยิ่งเย็นชาเข้าไปอีก แม้แต่แสงเทียนข้างกายก็ปิดไว้ไม่มิด
นางถือโอกาสรีบถอยออกมา เห็นว่าสีหน้าเขาเหมือนถูกคนรู้ความลับอย่างนั้น แต่กลับกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่ เดินหนีมาตรงม่าน หากว่าเขาโกรธขึ้นมาจะได้หนีทัน นิสัยรนหาที่ตายของนางเอ่ยยั่วยุอยู่ไกลๆ “ท่านอ๋อง จดหมายนั่นเขียนให้นางหรือเพคะ เขียนได้ไม่เลวเลยนะเพคะ!”
เข้ามาในพระราชนิเวศน์ได้ไม่กี่วัน เสียงที่ถูกรมควันของนางก็เริ่มหายดีขึ้น นางแอบไปรมควันอีกครั้งเสียงแตกกว่าเดิมอยู่มาก
พอคำพูดนี้ออกไป ใบหน้าของชายหนุ่มก็ยิ่งแดงขึ้น ลูบแก้มเบาๆ เจ้าเด็กคนนี้เดิมที่ก็กล้าอยู่แล้ว ยิ่งมีความดีติดตัวยิ่งกำเริบเสิบสานเข้าไปอีก เขาตะโกนเรียก “ทหาร!” ไม่ลงโทษเห็นทีจะไม่ได้
อวิ๋นหว่านชิ่นคาดไม่ถึงเลยว่าเขาผู้นี้แค่คำล้อเล่นก็รับไม่ได้ นางเบะปากไม่สนุกเลย แต่หากคิดดูดีๆ ตอนกลางวันอยู่ต่อหน้าขุนนางทหารหลวงหน้าตาน่าเกรงขาม จัดแจงโยกย้ายโยกย้ายกำลังพลและกิจการทางทหาร พอกลับมาที่ห้องกลับเขียนจดหมายไปยิ้มหน้าแดงไป พอถูกคนจับได้เข้าก็รู้สึกเคอะเขินทำตัวไม่ถูก
เจ้าคนนี้ คงไม่ฆ่าคนเพื่อรักษาเกียรติของตนหรอกนะ!
นางรีบเอ่ย “ท่านเขียนได้ไม่เลวก็คือตอนนี้เขียนจดหมายรักไม่ต้องใช้กระดาษเซวียนจื่อบ่อยๆ มันเชยไปแล้ว บ่าวได้ยินมาว่ากระดาษเซวียเทาก็ไม่เลว กระดาษสีชมพูอ่อน บนช่องตารางมีลายดอกไม้ เป็นสิ่งที่สตรีชอบกันนัก ครั้งหน้าท่านอ๋องใช้กระดาษเซวียเทา นางต้องชอบใจเป็นแน่ ”
น้ำเสียงโกรธเคืองของชายหนุ่มเงียบลง สีหน้าคลายความโกรธปรายตามองจดหมายฉบับนั้น กลัวจะเสียหน้าจึงไม่กล้าถามออกไป
อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นว่าเขาคลายโกรธลงจึงเผยรอยยิ้ม “บ่าวไม่กล้าโกหกท่านอ๋องหรอกเพคะ”
ครู่ใหญ่เขาจึงเอ่ยปากเหมือนไม่ใส่ใจฟัง อืม คิดเสียว่านางทำดีชดเชยความผิด เขาโบกมือ ทหารที่ได้ยินเขาเรียกรีบวิ่งเข้ามา
ในห้องกลับมาเงียบอีกครั้ง
อวิ๋นหว่านชิ่นยกอ่างทองแดงและผ้าฝ้ายมาวางไว้ข้างมือเขา “ท่านอ๋องล้างมือเถอะเพคะ”
ซย่าโหวถิงมองหญิงสาวอยู่สักพัก ในใจรู้สึกอ้างว้าง รีบล้างมือให้สะอาดหลังเช็ดมือเสร็จ ขมวดคิ้ว “เสร็จแล้ว”
อวิ๋นหว่านชิ่นยกอ่างทองแดงวางไว้ด้านข้าง กำลังคิดจะออกไปกลับได้ยินเขาเอ่ย “เจ้ารอก่อน”
อย่างไรเสียก็นางก็เห็นแล้ว ซย่าโหวถิงพับจดหมายที่เขียนเสร็จใส่ในซองสีน้ำตาลปิดผนึก ด้ายแดงผูกเข้ากับจดหมายส่งกลับบ้าน เขายกขึ้นมา “หลังจากออกไปก็เอาไปให้ใต้เท้าซือ บอกว่าข้าให้หาโอกาสในสองวันนี้ส่งกลับไปที่จวน”
อวิ๋นหว่านชิ่นรับไว้ ปากไวเอ่ย “ไม่เก็บรวมรวมไว้ให้ดีหรือเพคะ พอถึงเวลาท่านอ๋องก็เอากลับไปให้นางด้วยก็พอ ทำไมถึงต้องส่งไปด้วย”
ซย่าโหวถิงไม่คิดว่าดวงตาคู่นี้ของนางจะปราดเปรียวมาก สิ่งที่ควรเห็นและไม่ควรเห็นนางล้วนเห็นหมดแล้ว สีหน้าเข้มงวด แววตาดุจดวงดาราส่องประกายมองมาที่นาง
อวิ๋นหว่านชิ่นกลืนคำพูด เห็นว่าทางทางของเขากลับมาอีก เสียงที่พูดออกไปไม่สนใจทั้งนั้น “เพคะ จะนำไปส่งตอนนี้เลยเพคะ”
นางเข้าใจความหมายของเข้าในพริบตาเดียว
ไม่ว่าผลลัพธ์ของการจลาจลในเยี่ยนหยางจะเป็นอย่างไร จำต้องมีการปราบปารมโจรร้ายอยู่รอมร่อ
ในเมื่อต้องต่อสู้กับศัตรู ยากที่จะหลีกเลี่ยงอันตราย ถ้าหากว่าเขาเป็นแม่ทัพเองก็ยากที่จะหลบหนี
หากเกิดเรื่องอะไรเกินขึ้น ต่อให้ตัวคนกลับไปไม่ได้ อย่างน้อยก็ยังมีจดหมายพวกนี้เป็นเพื่อนคุยปลอบใจนาง
ซย่าโหวถิงเห็นนางถือจดหมายไม่พูดไม่จา ขมวดคิ้ว “ไม่ได้ยินหรือ ยังไม่ออกไปส่งให้ใต้เท้าซืออีก”
อวิ๋นหว่านชิ่นมองเขา แม้ว่าสถานการณ์จะไม่เลวร้ายที่สุด แต่ว่าเขากลับวางแผนรองรับเหตุการณ์ที่เลวร้ายที่สุดไว้แล้ว
อีกเพียงนิดเดียวเท่านั้น นางก็อดไม่ได้ที่จะเปิดโปงฐานะของตน แต่สุดท้ายก็สูดลมหายใจเข้า หยิกฝ่ามือตัวเองกลั้นไว้ต่อไป