เพราะว่าเขาต้องให้ความสำคัญกับการเปลี่ยนแปลงของเมืองเยี่ยนหยาง นางยิ่งไม่สามารถนิ่งดูดายได้ จะต้องช่วยให้เขาผ่านพ้นด่านนี้ไปให้ได้
หากว่านางเปิดเผยฐานะของตนออกไป นางจะถูกตัดขาดจากเรื่องนี้เป็นแน่ เขาคงไม่ให้นางไปติดต่อกับกองกำลังผ้าเหลืองอีก
นางนำกองจดหมายวางกลับไปที่โต๊ะ “จดหมายพวกนี้ ท่านนำไปให้นางด้วยตัวเองจะดีกว่าเพคะ”
ซย่าโหวถิงตกใจไม่กล้างมองหน้านาง เจ้าเด็กคนนี้เอาความกล้ามาจากไหนเยอะแยะ เขากลับได้ยินสิ่งที่นางเอ่ยกับตน “บ่าวได้ยินจากใต้เท้าซือมาว่าท่านอ๋องเพิ่งจะอภิเษกกับพระชายา พวกท่านทั้งสองยังไม่ได้ผ่านวันเวลาอันดีด้วยกันเลย ท่านจะส่งจดหมายนี้ไปก่อน พระชายาจะมีความคิดเช่นไรเพคะ จะไม่คิดว่าปณิธานของท่านคือเมืองอยู่คนอยู่ เมืองล่มสลายคนตายหรือเพคะ คนกลับไปไม่ได้ พระชายาจะต้องการของตายพวกนี้ทำไมเพคะ ต่อให้ท่านจะเขียนจากใจจริง เขียนได้งดงามเพียงใดก็เป็นเพียงคำพูดไร้สาระ หากท่านเป็นห่วงพระชายาอยากดูแลพระชายาจริงๆ ก็ควรนำชีวิตกลับไปให้พระชายาให้ได้นะเพคะ”
เมืองอยู่คนอยู่ เมืองล่มสลายคนตาย คำพูดพวกนี้ดึงสติของซย่าโหวถิงกลับมา
เจ้าเด็กคนนี้ คาดไม่ถึงว่าจะเดาใจของตนออกได้
แสงไฟสั่นไหว ชายนุ่มนิ่งเงียบ นั่งบนเก้าอี้พนักพิงสูงไม่ขยับ มองไม่ออกว่าดีใจหรือโกรธ
อวิ๋นหว่านชิ่นกลั้นหายใจ รอดูปฏิกิริยาโต้ตอบเขา
ชั่วครู่ คิ้วขวดคลายลงเขายิ้มมุมปากถากถางเล็กน้อย “ได้ยินคำพูดของเจ้าเช่นนี้ เหมือนว่าเจ้าจะมีคนรักแล้วหรือ”
อวิ๋นหว่านชิ่นนิ่งอึ้งตอบไปตามน้ำ “มีเพคะ ทำไมจะไม่มีล่ะเพคะ”
ในห้องเงียบชั่วขณะหนึ่ง บุรุษหนุ่มเอ่ยหยอกล้อ “นึกไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะมีคนชอบด้วย ผู้นั้นคงจะถูกนกจิกตาบอดกระมัง”
อวิ๋นหว่านชิ่นหัวเราะตอบ “เพคะ ผู้นั้นยังถูกโคลนพอกไว้ที่ศีรษะด้วยเพคะ”
ซย่าโหวถิงคิ้วยิ่งขมวดขึ้นไปอีก เจ้าเด็กคนนี้เสียสติไปแล้ว แปลกเสียจริง คนที่รักนางได้จะเป็นคนปกติดีที่ไหนกันก็คงจะพอๆ กัน แต่ทว่าถูกนางเปลี่ยนเรื่องพูดคุยเช่นนี้ จากที่คร่ำเครียดอยู่ก็ผ่อนคลายลงได้มาก เขาโบกมือ “ออกไปเถอะ”
อวิ๋นหว่านชิ่นเกรงว่าเขายังเก็บความคิดด้านลบไว้อยู่ มองจดหมายที่พลิ้วไหวบนโต๊ะ “ถ้าอย่างนั้นจดหมายกองนี้…”
ชายหนุ่มยื่นมือออกมาดึงจดหมายกลับไป เอ่ยด้วยน้ำเสียงเหนื่อยล้า “ไม่เพียงแต่กล้าหาญแล้วยังจู้จี้จุกจิกอีก”
อวิ๋นหว่านชิ่นวางใจ ยกอ่างทองแดงโค้งตัว “อย่างนั้นบ่าวขอตัวเพคะ”
เดินถึงประตูก็ได้ยินเสียงเขาตะโกนมาอีก
อวิ๋นหว่านชิ่นหยุดเท้า มีอะไรอีก ได้ยินเสียงเขาสั่งออกมาว่า “เจ้าไปให้ป้าที่ดูแลเรื่องงานเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เจ้าสักชุด”
หญิงสาวใส่ชุดลายดอกตามด้วยเสื้ออ่าว เสื้อด้านข้างมีรูขาดเล็กๆ อยู่หลายรู เสื้อใส่บนตัวผอมบางของนางได้พอดี ไม่มีเกินสักนิดมองดูแล้วบางมากเกรงว่าจะป้องกันความหนาวจากเมืองเยี่ยนหยางไว้ไม่ไหว
อวิ๋นหว่านชิ่นหันหน้ามายิ้ม “ขอบพระทัยท่านอ๋องมากเพคะ!” ดึงม่านแล้วจากไป
หันมายิ้ม ผ้าม่านทำให้คนจากไป ผ้าม่านพลิ้วไหวนำลมบางเข้ามาในห้อง ความอบอุ่นกระจายทั่วห้อง
จมูกของซย่าโหวถิงคล้ายได้กลิ่นหอมที่คุ้นเคย เป็นกลิ่นเฉพาะตัวติดตัวของนาง เป็นกลิ่นที่ออกมาจากร่างกายของนาง กลิ่นลอยรอบตัว กลิ่นแป้งร่ำน้ำปรุงหรือเขม่าน้ำมันก็ปิดไว้ไม่มิด
ก่อนหน้านี้ไม่ได้สังเกตุ วันนี้เป็นครั้งแรกที่ได้อยู่กับเด็กคนนี้ตามลำพัง นางอยู่นานมากจนกลิ่นตัวหอมจากตัวก็กระจายออกมา
แม้ว่ากลิ่นหอมจะจางลงและหายไปอย่างรวดเร็ว แต่เขากลับได้กลิ่นอย่างชัดเจน
ใจลอยอยู่สักพัก เขาลุกขึ้นเดินไปตรงผอบ ยื่นมือดับกำยาน กลิ่นหอมจางๆ ในห้องยังหลงเหลืออยู่
เป็นไปได้อย่างไร เขาน่าจะคิดมากเกินไปกระมัง
เขานึกขึ้นมาก็หัวเราะเยาะตนเองเบาๆ ทำไมจึงมางมงายในสถานภาพแบบนี้
ทั้งหมดนี้ไม่เกี่ยวกับตัวนางเลยสักนิด นี่เขาไม่หยุดมองหาเงาของนางเลยหรือ
ทว่ารูปร่างเหมือนกันเล็กน้อย บางครั้งแววตาก็คล้าย แต่ว่าหญิงสาววัยนี้คล้ายๆ กันก็เป็นเรื่องปกติไม่ใช่หรือ
ผู้คนในโลกนี้มีมากมาย ต่างก็มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว แต่เขารักนางเพียงผู้เดียวใครที่ไหนจะเข้ามาแทนที่ได้
วันที่สอง อวิ๋นหว่านชิ่นทำงานที่ได้รับมอบหมายเสร็จแล้วจึงเดินไปรับเสื้ออ่าวจากป้าอู๋อีกครั้ง
ป้าอู๋ทราบคำสั่งตั้งนานแล้ว ได้เตรียมเสื้ออ่าวตัวใหม่พับไว้อย่างเรียบร้อย เพียงเจอหน้าชิ่งเอ๋อร์ก็ยิ้มและส่งของไป แถมยังใส่กาน้ำร้อนทองแดงลายต้นต้นไห่ถ่าง เอ่ยเสียงต่ำ “ใต้เท้าซือสั่งไว้”
อวิ๋นหว่านชิ่นกอดไว้ กล่าวขอบคุณกับป้าอู๋จึงเดินออกมา
ระหว่างทางกลับห้องนางได้เดินผ่านโรงครัว เห็นว่ากลุ่มคนแบกผักสดเข้าออกมุ้ง ทุกคนสวมเสื้อผ้าหยาบเหมือนประชาชนคนธรรมดา ชุดไม่เหมือนทหารหรือบ่าวในพระราชนิเวศน์ นางไม่นึกสงสัย ยากที่จะให้คนนอกเข้ามา ฝีเท้าเดินช้าลง พลางตะโกนถามทหารตรวจตราตรงหน้า “พี่ชาย พวกเขาไม่ใช่คนในพระราชนิเวศน์ใช่หรือไม่ ที่นี่เข้มงวดไม่ให้คนนอกเข้ามาไม่ใช่หรือ”
ทหารตรวจตราตอบ “คนพวกนี้เป็นเกษตรกรที่ปลูกผักในชานเมืองเยี่ยนหยาง วันนี้นำผักมาส่งให้พวกเรา ไม่รู้ว่าเมืองเยี่ยนหยางจะถ่วงเวลาไปถึงเมื่อไร เสบียงในพระราชนิเวศน์มีจำกัด หากว่าหนาวกว่านี้หิมะตกลงปิดถนนเกรงว่าจะหาเสบียงยาก องค์ชายสามสั่งไว้ก่อนหน้านี้แล้วให้หาเกษตรกรเข้ามาส่งเสบียงเก็บไว้ก่อน ไม่แน่ว่าจะได้ใช้ตอนไหน
อวิ๋นหว่านชิ่นพยักหน้า เดินผ่านทหารตรวจตราไป กำลังจะเดินเข้าไปในโรงครัว เห็นชายหนุ่มใส่เสื้ออ่าวแขนสั้นสีคล้ำ แบกเข่งผักกาดขาวหัวใหญ่ ใช้สายตาส่งสัญญาณมองมาที่ตน
ใจนางสั่นไหว คนที่หลี่ว์ปาส่งมาพิจารณาอยู่สักพักเดินเข้าไปไม่กี่ก้าว หันไปถอนสายบัวกับผู้ดูแลงานในโรงครัว “นายท่าน บ่าวเป็นมาทำธุระให้ห้องใหญ่เจ้าค่ะ ท่านอ๋องส่งบ่าวให้มาดูเสบียงที่ส่งเข้าด้วยตัวเองเจ้าค่ะ” มองชายหนุ่มที่แบกเข่งผักกาดข้าวหัวใหญ่อีกครั้ง ยิ้มไปชี้ไปทางไม่ไกลมากนัก “ตรงนี้คนเยอะ ตรงนั้นสว่างกว่าลองย้ายไปฝั่งโน้นดีกว่าเจ้าค่ะ”
ผู้ดูแลงานคุ้นหน้าคุ้นตานาง อีกทั้งได้ยินเสียงแตกเป็นเป็ดของนาง ก็ทราบว่าเป็นชิ่งเอ๋อร์หญิงสาวที่เพิ่งเข้าพระราชนิเวศน์มาใหม่ที่มักกจะเข้าห้องท่านอ๋องอยู่บ่อยๆ ก็ไม่ได้เอ่ยอะไรมาก “พวกเจ้าไปเถอะ”
อวิ๋หว่านชิ่นนำทางคนพวกนั้นไปด้านข้าง หลีกเหลี่ยงสายตาของผู้คนรับใช้ในโรงครัว หาเหตุผลให้เกษตรกรไม่กี่คนให้อยู่ก่อน บอกใบ้ให้ชายหนุ่มเสื้ออ่าวแขนสั้นเสื้อคล้ำคนนั้นให้ตามตนมาคนเดียว
ทั้งสองปลีกตัวออกมาซ่อนตรงมุมกำแพง อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นชายหนุ่มสำรวจตนเองสักพัก เอ่ยเสียงต่ำ “เจ้าคือชิ่งเอ๋อร์ใช่ไหม พี่ใหญ่หลี่ว์ปาส่งข้ามาถามไถ่ชิ่งเอ๋อร์ เจ้ามาหลายวันแล้วคงชินกับทางในพระราชนิเวศน์ดี เขาฝากมาบอกว่าให้ข้าพาเจ้าออกไป ถึงตอนนั้นฝั่งพี่ใหญ่หลี่ว์ปาก็ทำงานได้ง่ายขึ้นแล้ว”
อวิ๋นหว่านชิ่นเอ่ย “เจ้าไปบอกพี่ใหญ่หลี่ว์ เผาพระราชนิเวศน์ไม่ได้”
ชายหนุ่มยืนหน้าแห้ง ถอยหลังไปหนึ่งก้าว เสียงต่ำลงกว่าเดิมเกิดอาการโทสะแล้ว “ชิ่งเอ๋อร์เจ้าหมายความว่าอย่างไร หรือว่าเจ้าเข้าร่วมกับพวกขุนนางแล้วทรยศพวกเรางั้นหรือ”
อวิ๋นหว่านชิ่นหัวเราะเยาะ “เจ้าพูดแบบนี้หมายความว่าอะไร หากข้าจะทรยศกองกำลังผ้าเหลืองจะคิดหาวิธีไม่ให้กองกำลังทหารสกุลเฉินเข้ามาโจมตีเมืองหรือ ในเมื่อเจ้ามีความสามารถเข้ามาได้ก็ไปถามเอาเองแล้วกันว่าใครกันเป็นคนยับยั้งไม่ให้ทหารสกุลเฉินเข้ามา ไม่อย่างนั้น ตอนที่ข้าเห็นเจ้าก็เรียกให้คนมามัดตัวเจ้าไปตั้งนานแล้ว! ยังจะมากระซิบกระซาบกับเจ้าอยู่ที่นี่อีกหรือ”