อารมณ์โกรธของชายหนุ่มค่อยๆ คลายลง เขาลูบทั่วตัวน้ำเสียงรู้สึกผิด “เป็นข้าเองที่ใจร้อน ชิ่งเอ๋อร์ไม่ผิดแต่ว่าที่เจ้าบอกว่าไม่ต้องเผาพระราชนิเวศน์หมายความว่าอะไร พี่ใหญ่หลี่ว์เตรียมการมาตั้งนานแล้วรอก็แต่ชิ่งเอ๋อร์นำทาง เพียงเอ่ยออกมาก็ลงมือได้ทันที”
อวิ๋นหว่านชิ่นนัยน์ตาวาบไหว “ข้าอยู่มาหลายวันแล้ว ค่ายบัญชาการนี้ช่างกว้างใหญ่คาดเดายาก ด้านหน้ามีทหารลาดตระเวนอยู่มาก ด้านหลังพระราชนิเวศน์ของท่านอ๋องก็มีสนามฝึกโจมตี ตรวจตราอยู่ทั้งวัน เผาพระราชนิเวศน์อันตรายและเสียผลประโยชน์จริงๆ อีกอย่างเจ้าเห็นแล้ว พวกเขากำลังตุนเสบียงจากประชาชนชาวเมือง หากจะโจมตีให้สำเร็จ พวกเราจะต้องโจมตีกี่ครั้งกัน ค้าขายไม่คุ้มทุนจะทำอะไรได้ เจ้าไปบอกกับพี่ใหญ่หลี่ว์ปาห้ามทำเด็ดขาด!”
ชายหนุ่มฟังอย่างหมดหวัง แต่ยังคงลังเล “พวกเราโจมตีตอนดึก ประกอบกับชิ่งเอ๋อร์นำทางทำไมจะไม่สำเร็จล่ะ ต่อให้ข้ากลับไปบอก เกรงว่าพี่ใหญ่หลี่ว์ปาก็ไม่ยอมเลิกลาหรอก”
ตอนนี้จะต้องวางแผน ห้ามไม่ให้พวกเขาโจมตีตอนกลางคืน
จะยุติการตัดสินใจที่เดือดผล่านของหลี่ว์ปา จำต้องมีแผนการที่ได้ประโยชน์มากกว่ามาเบี่ยงเบนความสนใจของเขา
อวิ๋นหว่านชิ่นเอ่ย “เจ้ากลับไปบอกลูกพี่ อดทนไว้ก่อนข้าจะหาวิธีให้พวกเขาจับฉินอ๋องไว้ได้”
ชายหนุ่มตะลึง “จริงหรือ ชิ่งเอ๋อร์วางแผนจัดการไว้อย่างไร…”
อวิ๋นหว่านชิ่นเอ่ยอย่างใจเย็น “ข้ายังคิดไม่เสร็จ เจ้าจะตกใจอะไร ความคิดยังอยู่ในหัว เจ้ากลัวว่ามันจะบินออกมาหรือ กลับไปบอกพี่หลี่ว์ก่อนว่าให้รอข่าวจากข้า ภายในสิบวันจะบอกกับเขาแน่นอน”
ชายหนุ่มก็ไม่พูดพล่ามอีก ลงมือจัดการตัวปัญหาสำคัญก่อน หากสามารถจับตัวการใหญ่ได้ก็เท่ากับจับขุนนางเมืองเยี่ยนหยางได้ทั้งเมือง อดทนอีกหน่อยความลำบากที่ขาดเสบียงจะทำอะไรได้ เขาเอ่ย “ได้ อีกสิบวันข้าจะมาใหม่” ขณะพูดก็มองว่าไม่มีใครจึงค่อยๆ เดินออกไปก่อน
อวิ๋นหว่านชิ่นรอสักพักเดินออกมาจากมุมกำแพง เห็นเกษตรกรไม่กี่คนยังถือไม้รอคำสั่งอยู่ นางรีบเข้าไป “พอแล้ว ผักไม่เลวเลย ข้าจะไปทูลท่านอ๋องให้ พวกเจ้าเอาผักพวกนี้เก็บไปส่งที่ยุ้งฉาง แล้วกลับไปเถอะ”
หลายคนที่ทำงานเสร็จ ไม่ได้เอ่ยอะไรมากหาบผักเดินออกไป
ไม่ไกลนี้ ฉากนี้ก็ถูกหลี่ว์ชีเอ๋อร์ที่ออกมาทำงานเห็นเข้าพอดี นางรู้สึกแปลกใจท่านอ๋องสั่งให้นางมาตรวจผักตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
อวิ๋นหว่านชิ่นหันหลังกลับเข้าไปในห้อง เงาค่อยๆ หายไป หลี่ว์ชีเอ๋อร์ลังเลอยู่สักพักรีบตามเกษตรกรพวกนั้นไป
กล่าวได้ว่าฝีเท้าอวิ๋นหว่านชิ่นช่างว่องไวยิ่งนัก กลับมาในห้องของบ่าว บ่าวทั้งห้องเห็นนางได้เสื้ออ่าวตัวใหม่และสิ่งของเพิ่มความอบอุ่นกลับมาจึงมาล้อมนางไว้ ทำงานเสร็จแล้วก็ไม่มีอะไรทำคว้านางมาพูดคุย
อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นเตียงใหญ่จึงรู้ว่าตอนที่นางยังไม่กลับมาป้าอู๋ส่งคนมาเพิ่มฟูกเตียงอยู่หลายชั้น ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นพระกรุณาจากเบื้องบน
“ได้ยินว่าใต้เท้าซือมาแจ้งป้าอู๋ให้เพิ่มสิ่งของต้านทานความหนาวตั้งแต่เช้าตรู่ ดูแลชิ่งเอ๋อร์ดีจริงๆ พวกเจ้าดูสิเสื้ออ่าวตัวใหม่ของชิ่งเอ๋อร์ ดูสวยกว่าของป้าอู๋เสียอีก”
“คำสั่งของใต้เท้าซือ ก็คือคำสั่งขององค์ชายสามไงล่ะ”
“อย่างนั้น ครั้งนี้ชิ่งเอ๋อร์ก็มีความดีความชอบ ไม่ต้องพูดถึงชุดเสื้อผ้า ที่หลับที่นอนเลย หากถึงตอนที่ถูกชื่นชม ไม่แน่อาจจะถูกองค์ชายสามพากลับวังไปด้วย”
กำลังพูดอยู่เสียงประตูเปิด มีคนผลักประตูเข้ามา เป็นหลี่ว์ชีเอ๋อร์กลับมาแล้ว
บ่าวไม่กี่คนตรงนั้นไม่ได้สนใจนางเพียงทักทายและพูดคุยกันต่อ
หลี่ว์ชีเอ๋อร์อยู่หน้าประตูก็ได้ยินด้านในห้องคุยกันพอดี แค่เข้ามาก็มองฟูกใหม่และเสื้ออ่าวตัวใหม่ที่อยู่บนเตียงใหญ่ ใบหน้าซีดเซียวแต่กลับไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา เพียงแค่นั่งมุมเตียงเงียบๆ เพียงได้ยินบ่าวคุยสนุก “พากลับไปวังหลวง? หากว่าชิ่งเอ๋อร์เป็นบุรุษ พากลับวังยังสามารถสร้างคุณูปการ เป็นกุนซือหรือเป็นขุนางทำให้วังหลวงเจริญรุ่งเรืองได้ แต่น่าเสียดายเป็นอิสตรี พากลับไปก็ไม่มีประโยชน์”
“เจ้าโง่หรือ เป็นสตรีสิยิ่งง่าย พากลับไปใส่ไว้หลังบ้านเป็นภรรยาสิ! แม่นางนิสัยร่าเริงพูดจาตามอำเภอใจ อีกอย่างหากปิดประตูแล้วคุยเรื่องเปื่อยอะไรก็กล้าพูด”
ทุกคนหัวเราะออกมาก
หลี่ว์ชีเอ๋อร์หน้าเปลี่ยนสี ก้มหัวลงราวกับไม่ได้ยิน
อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นพวกนางยิ่งคุยยิ่งไปกันใหญ่ เอ่ยขัด “องค์ชายสามของพวกเราจะมองข้าได้อย่างไร อีกอย่างในจวนของท่านอ๋องก็มีพระชายาอยู่แล้ว ข้าไม่ไปหรอก ใครจะรู้ว่าพระชายาฉินอ๋องจะเป็นแม่เสือหรือเปล่า อีกอย่างพวกเขารักกันมากขนาดนั้นจะให้ข้าเข้าไปแทรกทำไมกัน ข้ายอมเป็นภรรยาคนจนแต่ไม่ยอมเป็นเมียน้อยคนรวยหรอก”
เดิมทีพวกบ่าวเพียงพูดล้อเล่นเท่านั้น แต่เห็นชิ่งเอ๋อร์ให้เกียรติเจ้านายเช่นนี้ คำพูดประจบนางก็จบลง กลับไปทำงานของตนเอง
กลับไม่มีใครมองเห็นสีหน้าของหลี่ว์ชีเอ๋อร์ เห็นว่าพวกบ่าวแยกย้ายไปแล้วถึงจะลุกขึ้นช้าๆ
อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นนางจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว อดไม่ได้ที่ตะโกนจะถาม “ชีเอ๋อร์ เจ้ายังสบายดีใช่ไหม”
หลี่ว์ชีเอ๋อร์ได้ยินนางตะโกนจึงตกใจ ราวกับถูกงูกัดเสียอย่างนั้น นางยิ้มตอบ “ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร”
อวิ๋นหว่านชิ่นสงสัยว่าหลายวันมานี้นางไม่ทุกข์ไม่ร้อนกับตน กำลังจะถามออกไป กลับได้ยินเสียงเอะอะจะข้างนอกห้อง มีเสียงทหารตะโกน “แม่นางชิ่งเอ๋อร์กรุณาออกมา”
กลุ่มหญิงสาวตกใจไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับ
เวลาชั่วครู่ ทหารนอกประตูอดทนรอไม่ไหว เสียงเปิดประตูดัง ปัง! “แม่นางชิ่งเอ๋อร์โปรดไปกับพวกเราด้วย”
บ่าวไม่กี่คนเพิ่งจะเคยเห็นผู้คุมนักโทษในพระราชนิเวศน์ สีหน้าแต่ละคนหวาดกลัว “เกิดอะไรขึ้น” “มาเอาตัวชิ่งเอ๋อร์ทำไมกัน”
เพิ่งจะอิจฉาที่แม่นางชิ่งเอ๋อร์ได้รับความเมตตาจากเบื้องบน ได้ผ้าห่มและฟูกเป็นรางวัลไป ทำไม…ผู้คุมนักโทษจึงมาพานางไป
เป็นเพียงบ่าวรับใช้ หากทำผิดเรื่องเล็กน้อย ป้าอู๋เรียกไปจัดการหลังบ้านก็พอแล้ว ทำไมต้องให้ผู้คุมนักโทษออกโรง
อวิ๋นหว่านชิ่นเดาบางอย่างออก ลุกขึ้น “ไม่ทราบว่าพี่ทหารทั้งหลาย ใครเป็นคนเรียกบ่าว เกิดอะไรหรือเจ้าคะ”
เสียงทหารคนหนึ่งเอ่ยอย่างไม่เป็นมิตร “เจ้ายังกล้าเสแสร้งอีก ครึ่งชั่วโมงที่แล้วเจ้าไปเจอใครมา ต้องให้คนมาคุมเจ้าหรือไม่ ผู้ตรวจการสั่งให้พวกข้าพาเจ้าไปห้องคุมขัง อย่าพูดไร้สาระเลย เดินไปเถอะ”
มีบ่าวผู้หญิงรู้ดีว่าห้องคุมขังน่ากลัวขนาดไหน ดึงแขนเสื้ออวิ๋นหว่านชิ่นไว้ “เจ้าไปเจอใคร ทำผิดอะไรมา ไปห้องคุมขังไม่ได้นะ แค่ไปก็ต้องโดนโบยยี่สิบทีก่อน หากยังไม่สารภาพก็ยังโดนทำโทษวิธีอื่นอีก แม้แต่ทหารยังทนไม่ได้…”
อวิ๋นหว่านชิ่นใจเย็นลง “ท่านฉินอ๋องทราบหรือไม่ ท่านอยู่ที่นั้นหรือ”
ทหารผู้นั้นเริ่มรำคาญ “ไม่อยู่ที่พระราชนิเวศน์ ออกไปตรวจเมืองแล้ว เรื่องนี้ไม่ต้องรอท่านอ๋องออกหน้า ผู้ตรวจการไต่สวนก็พอแล้ว รีบไปไม่อย่างนั้นพวกข้าจะใช้กำลังแล้ว”
อวิ๋นหว่าชิ่นยักคิ้ว “ไม่ไปเจ้าค่ะ บ่าวฟังแค่คำสั่งของท่านฉินอ๋องเท่านั้น รอท่านฉินอ๋องกลับมาค่อยว่ากัน”