“หึ! เจ้าฉลาดนักนะ” ขุนนางทหารสีหน้าเปลี่ยนไป “รู้จักอ้างนายในเวลานี้! แต่ว่า เรื่องนี้หลักฐานพยานครบถ้วน ท่านอ๋องกลับมาก็ไร้ประโยชน์ ทหาร!”
ทหารสองนายเดินขึ้นหน้า หยิบเชือกเส้นหนาเดินเข้ามา อวิ๋นหว่านชิ่นขมวดคิ้ว รู้ดีว่าจะต้องได้ไปห้องทรมานนักโทษเป็นแน่แล้ว ตบแขนเสื้อเล็กน้อย “ข้าเดินเองได้! ไม่ต้องเข้ามา”
ขุนนางทหารส่งเสียง หึ! ส่งสัญญาณให้ทั้งสองถอยออกไป เห็นอวิ๋นหว่านชิ่นเดินไปหน้าประตู เหลือบมองเหล่าสาวใช้แล้วชี้ไป “คนนั้นน่ะ…คนที่รายงานกับผู้ตรวจการเหลียง ชื่อหลี่ว์ชีเอ๋อร์ใช่หรือไม่ เจ้าก็ไปด้วย ไปเป็นพยานเสีย”
ทันใดนั้น สายตาของทุกคนก็ไปอยู่ที่หลี่ว์ชีเอ๋อร์
หลี่ว์ชีเอ๋อร์หน้าซีดทันใด นางก้มหน้าลง เหมือนว่าตนเป็นคนที่ถูกใส่ร้ายเอง แล้วเดินตามด้านหลังอย่างเงียบๆ
ห้องทรมานนักโทษในที่พักชั่วคราวอยู่ด้านหลังของสนามฝึก
ห้องกระเบื้องสีดำหลังคากระดกสี่เหลี่ยม รอบล้อมไปด้วยรั้ว ในห้องโถงมีที่วางอาวุธ แสดงถึงความน่าเกรงขามและน่าหวาดกลัว เมื่อมาถึงที่แห่งนี้ก็ทำให้รู้สึกขนลุก
ในห้องโถงของห้องทรมานนักโทษ ผู้ตรวจการเหลียงนั่งอยู่ด้านบน จ้องมองเด็กสาวด้านล่างที่สีหน้าสบายๆ ตาเล็กคิ้วบาง ท่าทีแข็งกร้าวดื้อรั้น ยืนอยู่กลางห้องโถง ไม่เหมือนมารับการสอบปากคำ เหมือนว่าจะมาส่งสาส์นมากกว่า จึงใช้ไม้ตบโต๊ะ “ยังไม่คุกเข่าอีก!”
เด็กสาวด้านล่างกะพริบตาเล็กน้อย “บ่าวไม่รู้ว่าทำไมต้องคุกเข่า ขอผู้ตรวจการเหลียงพูดให้ชัดเจนหน่อยได้หรือไม่”
“บังอาจ!” ผู้ตรวจการเหลียงตะคอกเสียงขรึมแล้วชี้ “ทหาร จับตัวนักโทษออกไป!”
ทหารสองนายที่กุมตัวอวิ๋นหว่านชิ่นมานั้นต่างก็รู้ฤทธิ์ของเด็กสาวคนนี้แล้ว จึงลังเลไปสักครู่ ขณะที่กำลังจะทำตามคำสั่งของใต้เท้า กลับได้ยินเด็กสาวกล่าวขึ้น “มีโทษจึงจะเรียกว่านักโทษได้ ตอนนี้บ่าวยังไม่ได้รับการพิพากษา จะเรียกว่านักโทษนั้นไม่เร็วไปหน่อยหรือเจ้าคะ จะให้คุกเข่าก็ได้เจ้าค่ะ แต่หากถึงเวลาตรวจสอบแล้วพบว่าบ่าวไม่ได้ทำผิด มีคนคิดใส่ร้าย พวกท่านจะทำอย่างไรกับบ่าวหรือเจ้าคะ”
คำพูดนี้แทนที่จะบอกว่าพูดกับทหารสองนายนั้น บอกว่าพูดกับผู้ตรวจการเหลียงจะดีกว่า
ทหารสองนายมือชะงักค้างกลางอากาศ ไม่รู้ว่าจะวางลงหรือจะเข้าไปจับตัวดี
คนที่แต่งตัวเหมือนอาจารย์ปู่ท่านหนึ่งเข้ามากล่าวข้างหูผู้ตรวจการเหลียง “ใต้เท้า สาวใช้คนนี้ตอนนี้ปรนนิบัติรับใช้ท่านอ๋องอยู่ ได้ยินว่าขนาดใต้เท้าซือยังเกรงใจนาง เมื่อเช้ายังสั่งให้นางแซ่อู๋เอาเสื้อผ้าและผ้าห่มมาเพิ่มให้ ให้ของกันหนาวที่ขาดแคลนมากมาย แสดงว่าจะต้องให้ความสำคัญอย่างมาก…”
สุดท้ายผู้ตรวจการก็ไม่ได้บังคับให้นางคุกเข่าอีก แต่ก็ยังโมโหอยู่ไม่น้อย “ตอนนี้เจ้าไม่อยากคุกเข่า รอให้พิพากษาแล้ว เจ้าอยากจะคุกเข่าก็คงทำไม่ได้แล้ว! ข้ารู้ว่าเจ้าทำงานให้ท่านอ๋องมาหลายวัน แต่กลับไม่คิดว่าจะใจกล้าบังอาจถึงเพียงนี้! เจ้าไม่ยอมพูดหรือ ได้! เช่นนั้นข้าจะถามเจ้า เมื่อครู่คนนอกที่เจ้าพบแถวห้องครัวนั้นคือใคร”
สาวน้อยเชิดหน้าขึ้น ท่าทางเหมือนไม่ได้ทำอะไรผิด “บ่าวพบกับชาวบ้านที่ส่งผักมาให้เจ้าค่ะ”
ช่างใจกล้าบ้าบิ่นยิ่งนัก ผู้ตรวจการเหลียงแปลกใจนัก ทหารที่เข้ามาในห้องทรมานนี้ ใครบ้างที่เข้ามาแล้วไม่คุกเข่าตะโกนขอร้องอ้อนวอนบ้าง สาวน้อยชนบทคนนี้เอาความมั่นใจมาจากไหน คงจะไม่เคยพบเจอโลกภายนอก จึงไม่รู้ความโหดร้ายละสิ เขากล่าวเยาะเย้ย “ได้ เจ้าไม่ยอมพูด ข้าเรียกให้คนมาพูดแทน! หลี่ว์ชีเอ๋อร์ เจ้าเข้ามานี่!”
นอกธรณีประตูสามนิ้วของห้องทรมานนั้น หลี่ว์ชีเอ๋อร์กอดอก เนื้อตัวสั่นเทา ก้มหน้าเหมือนทุกที ดวงตากลับจ้องไม่ลดละ คอยสังเกตความเคลื่อนไหวของคนในนั้น นางเห็นว่าเมื่ออวิ๋นหว่านชิ่นเข้าไป ผู้ตรวจการเหลียงก็โมโหอาละวาด ในใจนางกลับสบายใจอย่างประหลาด เมื่อเห็นชิ่งเอ๋อร์ไม่ยอมรับ คิ้วอันเรียวงามของหลี่ว์ชีเอ๋อร์ก็ขมวดกันแน่น
เวลานี้เมื่อได้ยินผู้ตรวจการเหลียงเรียก หลี่ว์ชีเอ๋อร์ก็ก้าวเข้าประตูไป แล้วงอเข่านั่งคุกเข่าลงไป “บ่าว หลี่ว์ชีเอ๋อร์ พบใต้เท้าผู้ตรวจการเจ้าค่ะ”
“เล่าสิ่งที่เจ้าเห็นเมื่อครู่นั้นอีกรอบ” ผู้ตรวจการเหลียงมองดูหลี่ว์ชีเอ๋อร์ที่เข้ามาก็ทำการคำนับ แล้วมองดูสาวน้อยที่ยังคงยืนตรงโด่งอยู่ ก็ยิ่งโมโหไปใหญ่
หลี่ว์ชีเอ๋อร์ชายตามองสาวน้อยข้างกาย สีหน้าเยือกเย็น ถึงแม้จะไม่ได้โมโห แต่ความเยือกเย็นในดวงตานั้นทำให้นางเหมือนถูกลมในฤดูหนาวพัดผ่านจนขนลุก
เสียงเล็กๆ ของนางดังขึ้นอย่างแผ่วเบา “แม่นางชิ่งเอ๋อร์ เจ้าอย่าโทษข้าเลย ข้าเป็นแค่คนรับใช้ ไม่กล้าปิดบังใต้เท้า…” พูดอยู่ก็หันหน้าไปทางผู้ตรวจการเหลียง “เรียนใต้เท้า ตอนที่บ่าวทำงานในพระราชนิเวศน์เมื่อครึ่งชั่วยามก่อน บ่าวเดินผ่านห้องครัว เห็นแม่นางชิ่งเอ๋อร์เรียกพ่อบ้านในห้องครัว บอกว่าท่านอ๋องสั่งให้นางตรวจดูผักที่ส่งเข้ามาในที่พักชั่วคราว ตอนนั้นบ่าวก็คิดแปลกใจ เรื่องนี้ไม่เคยได้ยินแม่นางชิ่งเอ๋อร์กล่าวถึงมาก่อน อีกย่าง งานในแผนกเสบียง จะมอบให้แม่นางชิ่งเอ๋อร์ไปทำได้อย่างไร คิดอยู่นาน สุดท้ายบ่าวก็ตามไป กลับเห็นเพียงบ้านชาวสวนหลายบ้านรออยู่ตรงที่โล่งว่างนั้น แต่แม่นางชิ่งเอ๋อร์และชายวัยกลางคนชุดแขนสั้นขาสั้นสีน้ำตาลหายไป ผ่านไปสักพัก ก็เห็นชายฉกรรจ์ผู้นั้นออกมาแล้วจากไปก่อน แล้วแม่นางชิ่งเอ๋อร์จึงจะมา พูดส่งๆ สองสามประโยคแล้วก็ไล่ชาวสวนเหล่านั้นไป…บ่าวคิดว่าผิดปกตินัก จึงได้ไปถามบ้านชาวสวนเหล่านั้น พวกเขาบอกว่า แม่นางชิ่งเอ๋อร์ไม่ได้ตรวจสอบผักอย่างละเอียด บ่าวถามอีกว่าชายฉกรรจ์ชุดสั้นสีน้ำตาลผู้นั้นเป็นชาวสวนที่พวกเขารู้จักหรือไม่ ชาวสวนเหล่านั้นบอกว่าพวกเขาไม่รู้จักชายคนนั้น เพียงแต่เข้ามาส่งผักแทนชาวสวนคนหนึ่งเท่านั้น บ่าวเกรงว่าในที่พักชั่วคราวนี้จะมีหนอนบ่อนไส้ เกิดความวุ่นวายขึ้น จึงได้มารายงานใต้เท้าเจ้าค่ะ…”
ผู้ตรวจการเหลียงจ้องตาเขม็ง “เจ้ามีอะไรจะพูดอีก”
อวิ๋นหว่านชิ่นชายตามองหลี่ว์ชีเอ๋อร์ แล้วกล่าวต่อผู้ตรวจการเหลียงว่า “บ่าวพูดคุยกับชาวสวนที่มาส่งผัก จะมีอะไรให้พูดเล่าเจ้าคะ หากใต้เท้าและแม่นางชีเอ๋อร์จะบอกว่าชาวสวนนั่นเป็นโจรผู้ร้าย เช่นนั้นก็เอาหลักฐานออกมาสิเจ้าคะ ชาวสวนผู้นั้นเล่า จับได้หรือยัง ทรมานแล้วได้ความอย่างไรหรือเจ้าคะ” หากคนผู้นั้นถูกจับได้ ก็คงพาตัวมาแต่แรกแล้ว ถึงแม้จะถูกจับได้ คนของกลุ่มผ้าเหลืองแต่ละคนถูกหลี่ว์ปาฝึกฝนจนปากแข็งนัก ก็คงไม่ยอมรับเช่นกัน นางไม่กังวลเลยสักนิด เพียงแต่ไม่คิดว่าหลี่ว์ชีเอ๋อร์จะไม่ชอบนางขนาดนี้ ไม่คิดว่าจะตามจับตาดูนาง ยังฟ้องร้องนางอีก
“นางสาวใช้ตัวดี!” ผู้ตรวจการเหลียงยอมใจนางจริงๆ “เจ้าพบกับชาวสวนผู้นั้นแล้วแอบไปพูดคุยกันอย่างลับๆ อย่าบอกว่าพวกเจ้าไม่รู้จักกัน! เจ้าไม่ใช่คนในพื้นที่ ในเยี่ยนหยางนี้ก็รู้จักเพียงแต่กลุ่มผ้าเหลือง…พูด! เจ้าเป็นสายที่กลุ่มคนผ้าเหลืองส่งมาใช่หรือไม่! เจ้าเล็ดลอดข้อมูลอะไรออกไปบ้าง”
อวิ๋นหว่านชิ่นไม่ลดละไม่หอบเหนื่อย “บ่าวแค่ถามชาวสวนผู้นั้นว่าจะถนอมผักให้ดีได้อย่างไรเท่านั้นเจ้าค่ะ”
“เถียงข้างๆ คูๆ” ผู้ตรวจการเหลียงตบไม้เสียงสะเทือน “ท่านอ๋องไม่ได้สั่งให้เจ้าไปตรวจสอบผัก ข้าไม่เคยได้ยิน และถามป้าอู๋ที่ดูแลงานนี้ และบ่าวที่ทำงานในห้องครัวแล้ว ไม่มีใครได้ยินว่าท่านอ๋องสั่งให้เจ้าทำหน้าที่นี้ ทั้งหมดนี้เจ้าพูดเหลวไหลคนเดียวเท่านั้น! เจ้าอ้างเจตนาของท่านอ๋อง แอบพบกับคนนอก กล้าพูดว่าไม่มีลับลมคมในหรือ รวมโทษสองประการแล้วลงโทษทีเดียว ทหาร! กุมตัวสาวใช้คนนี้ไป โบยสามสิบครั้ง ดูว่านางจะยังโกหกอีกหรือไม่!”
หลี่ว์ชีเอ๋อร์โล่งใจ แล้วยืนขึ้นมาถอยไปด้านข้าง
อวิ๋นหว่านชิ่นกวาดตาไปยังทหาร สายตาถึงแม้จะสงบแต่ก็ดุร้าย ตัวที่ยืดขึ้นนั้นดูสง่างาม ทำให้ทหารชะงักงันไปเล็กน้อย เวลานี้ ทุกคนก็เห็นว่าเด็กสาวนั้นเอ่ยปากขึ้น “ใต้เท้าเหลียงเจ้าคะ เรื่องที่ท่านอ๋องสั่ง ก็ไม่แน่ว่าจะบอกท่านทุกเรื่องกระมัง เรื่องตรวจสอบผักนี้ ท่านอ๋องก็รับสั่งกับบ่าวโดยลำพัง ไม่ได้บอกคนอื่นแต่อย่างใด น่าแปลกตรงไหนหรือเจ้าคะ”