ผู้ตรวจการเหลียงสีหน้าเคร่งเครียด ตั้งแต่เกิดการจลาจลในเยี่ยนหยางแล้ว เรื่องการทหารและประชุมลับหลายๆ ครั้ง ฉินอ๋องล้วนไม่ให้ตนเข้าร่วม เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ไม่บอกตนก็ไม่ได้แปลกอะไร
หลี่ว์ชีเอ๋อร์เห็นว่าผู้ตรวจการเหลียงลังเลไป ก็ยิ่งร้อนรน จึงพูดโพล่งออกมา “ใต้เท้าเจ้าคะ เรื่องนี้จะต้องมีอะไรเป็นแน่ แม่นางชิ่งเอ๋อร์เดิมทีก็เป็นคนของกลุ่มผ้าเหลือง วันนี้มีคนนอกเข้ามา แล้วมาคุยกับนางเป็นการส่วนตัว ชาวสวนผู้นั้นยังเป็นคนที่มาส่งผักแทนคนอื่นอีก มีเรื่องบังเอิญถึงเพียงนี้เชียวหรือเจ้าคะ! ทั้งสองจะต้องนัดมาเจอกันเป็นแน่เจ้าค่ะ บ่าวไม่กลัวอย่างอื่น กลัวเพียงชาวบ้านที่ก่อการจลาจลด้านนอกนั้นจะมีแผนอะไร จะส่งผลร้ายต่อเรานะเจ้าคะ!”
“เจ้าช่างซื่อสัตย์นักนะ” ผู้ตรวจการเหลียงลูบคางอันอ้วนกลมของเขา ตัดสินใจได้แล้ว หันหน้าไปทางอวิ๋นหว่านชิ่น ในดวงตาก็เย็นยะเยือก “ยังปากแข็งอยู่อีก ทหาร เอาตัวไปที่แท่นทรมาน กรีดกางเกงออก โบยสามสิบครั้ง จะไม่พูดความจริงคงไม่ได้แล้ว!” เขาลองขู่นางก่อน จะคอยดูว่าเด็กสาวอย่างนางจะใจกล้าถึงเพียงไหน
แท่นทรมานที่วางอยู่ด้านตะวันออกของห้องโถงนั้นมีเครื่องมือทรมานมากมาย เนื่องจากเอาไว้ใช้จัดการกับเหล่าทหารเป็นหลัก การลงโทษหนักยิ่งกว่า เครื่องทรมานก็ดูน่ากลัวยิ่งกว่าเช่นกัน
สายตาที่ผู้ตรวจการเหลียงมองไปนั้นคือแท่นโบย แท่นนั้นยาวประมาณห้าสิบไม้บรรทัด ด้านหน้ามีวงแหวนแขวนอยู่ ทั้งสองด้านมีกุญแจเหล็ก เอาไว้ลงโทษนักโทษที่ปากแข็งโดยเฉพาะ จับนักโทษไปนอนคว่ำกับแท่น หัวยื่นเข้าวงแหวน สองมือลงกลอนไว้บนแท่น เพื่อไม่ให้ขยับหรือหันหัว
ผู้ลงโทษจะยืนอยู่ด้านหลัง โบยลงบนร่างทีละครั้ง นักโทษเจ็บปวดแต่ก็ขัดขืนไม่ได้ อีกยังไม่เห็นว่าใช้อะไรตี ในใจก็จะหวาดกลัวไปด้วย
“ช้าก่อน” อวิ๋นหว่านชิ่นน้ำเสียงหนักแน่น “บ่าวโกหกหรือไม่ ท่านอ๋องกลับมาก็รู้แล้วเจ้าค่ะ”
“หึ” ผู้ตรวจการเหลียงชี้หลี่ว์ชีเอ๋อร์ “ตอนนี้พยานก็มีแล้ว เจ้ายังอยากจะรอท่านอ๋องกลับมาอีกหรือ ท่านอ๋องได้มอบหมายหน้าที่ให้เจ้าหรือไม่ เจ้ารู้อยู่แก่ใจดี ยังปากแข็งอยู่อีก ถึงแม้ท่านอ๋องจะกลับมา ก็คงได้แต่เสียใจที่ตนมองคนผิด ให้คนกลุ่มผ้าเหลืองอย่างเจ้าแฝงตัวเข้ามาได้!”
“พยานหรือ” อวิ๋นหว่านชิ่นชายตามองหลี่ว์ชีเอ๋อร์ “ใต้เท้าเหลียงฟังความหลี่ว์ชีเอ๋อร์ข้างเดียว แต่กลับคร้านที่จะรอคำให้การของท่านอ๋อง หมายความว่าท่านอ๋องยังเทียบไม่ได้กับสาวใช้ชั้นต่ำคนหนึ่งหรือเจ้าคะ”
ในห้องโถงของห้องทรมานนั้น สายตาของทหารและองครักษ์ต่างก็มองไปยังใต้เท้าที่นั่งอยู่
ผู้ตรวจการเหลียงสีหน้าเคร่งเครียด สาวใช้คนนี้ช่างบิดเบือนข้อเท็จจริง เหลวไหลไร้เหตุผลสิ้นดี โดยส่วนตัวแล้วความสัมพันธ์ของตนกับฉินอ๋องไม่ดีนัก แต่ผิวเผินนั้นอย่างไรก็ต้องรักษาความสัมพันธ์อันดีไว้ นางต่อว่าเช่นนี้ กลับทำให้ตนเหมือนไม่เคารพราชนิกูล
ถึงแม้จะลงโทษขั้นหนักมิได้ แต่จะหาเหตุมาทรมานสาวใช้ผู้นี้เสียหน่อย อย่างไรตนก็เป็นคนตัดสินใจเองมิใช่หรือ!
ผู้ตรวจการเหลียงยิ้มเยาะ “ได้ ข้าจะรอให้ท่านอ๋องกลับมา!” แล้วมองไปอย่างมีเลศนัย “แต่ว่า ตั้งแต่เจ้าเข้ามาจนถึงตอนนี้ เห็นขุนนางไม่คุกเข่า ยังไม่พูดถึงเรื่องเป็นหนอนบ่อนไส้ ข้าจะจัดการคนไม่เคารพขุนนางราชสำนักอย่างเจ้าก่อน! ทหาร ลงโทษด้วยเครื่องรัดนิ้ว!”
พูดจบ ทหารสองนายก็ยกเชือกเส้นหนาและอุปกรณ์หนีบ ไม่นานก็นำมาพันนิ้วทั้งสิบของสาวใช้ผู้นั้น
เห็นได้ชัดว่ากำลังจะใช้กฎหมู่ อวิ๋นหว่านชิ่นหันหน้าไปเล็กน้อย นอกห้องโถงนั้น พระอาทิตย์ลอยสูงโด่ง ใกล้ถึงเวลาอาหารเที่ยงแล้ว ฉินอ๋องและคนอื่นๆ จะต้องใกล้กลับมาแล้วเป็นแน่ ถ่วงเวลาได้เท่าไหนเท่านั้นแล้วกัน แล้วเอ่ยขึ้นมาทันที “ใต้เท้าจะให้บ่าวคุกเข่าจริงหรือเจ้าคะ”
“ล้อเล่นหรือ!” ผู้ตรวจการเหลียงตกใจจนเบิกตากว้าง “เจ้าทำงานให้ท่านอ๋องไม่กี่วัน เห็นตนเองเป็นใครไปเสียแล้ว ระดับขั้นสูงกว่าข้าอย่างนั้นหรือ ทำไม เจ้าคุกเข่าให้ข้า ข้ารับไว้ไม่ได้หรืออย่างไร”
คำพูดนี้ถือว่าพูดถูก ผู้ตรวจการเมืองถึงแม้จะใหญ่ แต่ก็เป็นเพียงขุนนางนอกพื้นที่ระดับสอง พระชายาเป็นระดับขั้นสูงสุดเทียบเท่ามเหสีรอง
คุกเข่าก็ได้ แต่เกรงว่าเขาจะถูกฟ้าผ่าห้าครั้ง ลดทอนอายุขัยของเขา!
อวิ๋นหว่านชิ่นดวงตาเพ่งเล็งไป มุมปากยกขึ้น เผยความเป็นนักเลงออกมาเล็กน้อย เหมาะกับใบหน้าอันจืดจางนี้ยิ่งนัก หัวที่เหมือนดั่งนกเอียงเล็กน้อย แล้วพูดทีละคำ “หากใต้เท้าผู้ตรวจการแบกรับผลที่ตามมาได้ บ่าวก็จะคำนับท่านเจ้าค่ะ”
นี่เป็นการข่มขู่หรือ
ผู้ตรวจการเหลียงตกตะลึง นักโทษที่บ้าคลั่งกว่านี้เขาล้วนเคยพบเจอมาแล้ว แต่ก็ไม่เคยพบเจอคนที่พูดคำเช่นนี้ออกมา จึงชะงักงันไปทันใด ตั้งสติไม่ได้
ผลอะไรกัน!
ชาวบ้านคำนับขุนนาง เป็นเรื่องถูกทำนองคลองธรรมมิใช่หรือ
เมื่อก่อนตอนอยู่ในเมืองเยี่ยนหยาง เขาและสวีเทียนขุยก็คือฮ่องเต้บ้านป่าดีๆ นี่เอง! อย่าว่าแต่คำนับเลย ตัดหัวคนที่ตนรู้สึกขัดตา ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร!
สาวใช้ผู้นี้ ทำให้ผู้ตรวจการเหลียงรู้สึกสับสน หากไม่รู้ว่านางเป็นเพียงลิงป่าชนบทตัวหนึ่ง คงจะนึกว่านางเป็นฮูหยินจากตระกูลท่านโหวหรือราชนิกูลเสียอีก!
คำข่มขู่สั้นๆ เพียงประโยคเดียว กลับทำให้ผู้ตรวจการเหลียงลังเลไปได้จริงๆ
ผ่านไปสักพักใหญ่ จึงได้ยินทหารที่ทำการทรมานด้านล่างนั้นทำลายบรรยากาศชะงักงันนั้นไป ลองเอ่ยถามขึ้น “ใต้เท้า จะรัดนิ้วอีกหรือไม่ขอรับ…”
ผู้ตรวจการเหลียงตั้งสติกลับมา กัดกระพุ้งแก้มแล้วกล่าว “รัด!”
ทหารที่ทำการลงโทษมองตากัน กดไหล่อวิ๋นหว่านชิ่นลง ดันตัวนางลงไป แล้วยืนอยู่สองข้าง ยกเชือกในมือขึ้น กำลังจะดึงไปทางขวางฝั่งตรงข้าม ก็แต่มีเสียงฝีเท้าอันเร่งรีบลอยมาจากนอกห้องโถง เสียงดังดั่งน้ำไหลทะลัก
“ใต้เท้าเหลียง!”
เป็นเสียงของซือเหยาอัน
ผู้ตรวจการเหลียงรีบลุกขึ้นจากเก้าอี้ขุนนางหลังโต๊ะนั้น แล้วลงบันไดไปต้อนรับ
ทหารสองนายที่ทำการทรมานเห็นทีท่าแล้ว ก็ปล่อยมือ ไม้รัดนิ้วที่เพิ่งจะดึงจนแน่นก็หล่นลงพื้น
อวิ๋นหว่านชิ่นได้ยินเสียงของซือเหยาอันก็โล่งใจเป็นอย่างมาก แต่นิ้วมือเดี๋ยวรัดเดี๋ยวคลาย อย่างไรเสียก็ถูกลงโทษไปแล้ว ถึงแม้จะคลายไปบ้างระหว่างนั้น ไม่รุนแรงมากนัก แต่ความเจ็บปวดที่เสียดแทงไปถึงหัวใจก็คืบคลานมาจากปลายนิ้วจนถึงขั้วหัวใจ เหงื่อตก แทบจะล้มตึงลงไป ถึงว่ามีคำกล่าวที่ว่าสิบนิ้วเชื่อมโยงถึงใจ นางรีบพยุงตัวขึ้นมา ยังดีที่นิ้วมือไม่เป็นอะไร เพียงแต่แดงบวมขึ้นมาเล็กน้อยเท่านั้น
ซือเหยาอันเห็นด้านล่างของชิ่งเอ๋อร์เป็นอุปกรณ์รัดนิ้ว ก็สีหน้าเคร่งเครียด “เพิ่งจะกลับมาถึงก็ได้ยินว่าเกิดเรื่อง อีกยังต้องให้ท่านอ๋องมาเป็นพยานให้อีก! เกิดอะไรขึ้นกันแน่”
ผู้ตรวจการเหลียงกวาดสายตา มองข้ามซือเหยาอันไป เห็นชายหนุ่มที่เพิ่งลาดตระเวนกลับมาด้านหลัง ยังไม่ได้ถอดชุดทหาร มีเหล่าองครักษ์ห้อมล้อมไว้อยู่ ยืนองอาจสะโอดสะองอยู่ สีหน้าถึงแม้จะไม่ได้ไม่พอใจ แต่ก็ไม่ได้ดีนัก จึงรีบเล่าเรื่องที่หลี่ว์ชีเอ๋อร์ฟ้องร้องแม่นางชิ่งเอ๋อร์อ้างชื่อท่านอ๋อง ให้คนนอกเข้ามาในที่พักชั่วคราวแล้วเรียกไปแอบคุยกันลับๆ ตั้งแต่ต้นจนจบ
เมื่อเล่าจบแล้ว ผู้ตรวจการเหลียงเหลือบมองอวิ๋นหว่านชิ่น แล้วหันหน้าไปทางฉินอ๋อง “สาวใช้ผู้นั้นปากแข็งอ้างว่าท่านอ๋องมอบหมายหน้าที่ให้นาง ในเมื่อท่านอ๋องกลับมาแล้ว ก็จะได้ให้นางตายอย่างรู้ที่มาที่ไป! หากท่านอ๋องไม่ได้มอบหมายหน้าที่นี้ให้นาง ก็หมายความว่าสาวใช้ผู้นี้มีลับลมคมใน ไม่ต้องบอกก็รู้ว่า จะต้องเป็นสายให้กับกลุ่มคนโพกผ้าเหลืองเป็นแน่!”
ซือเหยาอันรู้ว่าองค์ชายสามไม่ได้มอบหมายหน้าที่การตรวจสอบเสบียงให้กับนาง จึงตกตะลึง แล้วเหลียวหลังมององค์ชายสาม
คิ้วเข้มหนาของเขาขมวดกันแน่น ดวงตาดำเข้มคู่นั้นชายตามองเด็กสาวที่นวดนิ้วมือที่บวมแดงอยู่ ไม่ได้พูดอะไร
อวิ๋นหว่านชิ่นประคองมือที่ยังมีความเจ็บปวดอยู่รำไรนั้น เพ่งสายตาไปที่ชายหนุ่มตรงหน้า ชีวิตของตน เวลานี้อยู่ในกำมือของเขาแล้ว ไม่รู้ว่าเขาจะเชื่อนางหรือไม่ แต่ตัวตนในตอนนี้ของตนนั้น จะหวังให้เขาพูดปกป้องตนได้อย่างไร หากไม่ได้จริงๆ จะต้องเผยตัวตนออกมาต่อหน้าผู้คนจริงหรือ