ไม่ได้…เวลานี้ หากเผยตัวตนที่แท้จริงของตนออกมาต่อหน้าผู้คน เรื่องที่พระชายาฉินอ๋องออกนอกเมืองหลวงโดยพลการก็จะถูกเปิดเผย ตนเองถูกลงโทษไม่เป็นไร แต่จะทำให้เฉินจ้าวติดร่างแหไปด้วย
ที่สำคัญไปกว่านั้นคือ แผนล่ออินทรีย์ภูเขาออกมาก็จะล้มเหลวไป
อุปสรรคมากมายยังสามารถอดทนมาจนถึงตอนนี้ได้ จะให้เสียเปล่าไปหรือ
ไม่ยอมหรอก!
อวิ๋นหว่านชิ่นขมวดคิ้วอันงดงาม ก็แค่ถูกลงโทษ ช่างเถิด เช่นนั้น ก็ยอมถูกลงโทษสักครั้งแล้วกัน…
แต่ว่า เจ็บจริงๆ! ปลายนิ้วที่ถูกบีบรัดเมื่อครู่นั้นยังคงหลงเหลือความเจ็บปวดอยู่ นางยิงฟังแสยะปาก และอดไม่ได้ที่จะเป่าลมออกมา
ซือเหยาอันเข้าไปแนบชิดนาย กล่าวเสียงแผ่วเบา “องค์ชายสาม ไม่แน่ว่าอาจจะมองคนผิดไปจริงๆ…เด็กสาวคนนี้ เกรงว่าจะไว้ใจไม่ได้”
ซย่าโหวซื่อถิงจ้องมองหญิงสาวที่ใกล้เพียงไม่กี่ก้าวนั้น คิ้วขมวดแน่นบ้างผ่อนคลายบ้าง บนใบหน้าเหลืองผอมแห้งขาดความแจ่มใสนั้น ขนตาหนาทั้งสองข้างที่ถือเป็นข้อดีอย่างเดียวนั้นตกลงมาบดบังดวงตาที่เก็บซ่อนอารมณ์เอาไว้ในใจ ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ อาจเป็นเพราะเพิ่งจะถูกลงโทษที่นิ้วมือ ยังเจ็บอยู่บ้าง บนหน้าผากก็มีเม็ดเหงื่อซึมออกมา…
หรือนางจะเป็นสายกัน
คิ้วของชายหนุ่มขมวดกันแน่น
หากเป็นสาย ทำไมถึงได้ทำตามใจของตน ขัดขวางทหารตระกูลเฉินเข้าเมืองเล่า เพียงเพราะต้องการความไว้วางใจจากตนหรือ
อีกอย่างคำพูดเมื่อคืนตอนยกน้ำเข้าห้องมานั้น ยิ่งเหมือนกับรู้ใจตนยิ่งนัก ขณะก่อนจากไปนั้น ยังทำให้เขาเหม่อลอยไปด้วย
เหม่อลอยหรือ เรื่องเช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน นอกจากกับคนในเมืองหลวงคนนั้น
สาวใช้ผู้นี้ ทำให้จิตใจอันสงบของเขาเกิดความสับสนขึ้นมา
เป็นเพียงคนแปลกหน้าแท้ๆ กลับเหมือนกับว่าใกล้เพียงเอื้อมมือ เหมือนว่าเป็นความสัมพันธ์ที่เนื้อหนังแนบชิดกันอย่างนั้น
ในเวลาเดียวกัน ผู้ตรวจการเหลียงเห็นฉินอ๋องไม่พูดอะไร ก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง รีบเดินกลับไปยังบนที่นั่งขุนนาง ตบไม้บนโต๊ะ “สาวใช้ตัวดี มีแต่คำโกหก ยังไม่รีบบอกมาอีกว่าเจ้าเป็นสายของกลุ่มโจรโพกผ้าเหลืองแฝงตัวมาใช่หรือไม่ วันนี้คนที่พบนั้นคือใคร กำลังแอบวางแผนล้มล้างขุนนางอยู่ใช่หรือไม่!”
อวิ๋นหว่านชิ่นกัดฟันแน่น ยังคงจ้องชายหนุ่มหน้าประตูนั้นอยู่ นั่นคือฟางเส้นสุดท้ายที่จะช่วยชีวิตตนในเวลานี้
ผู้ตรวจการเหลียงเห็นท่าแล้วก็โมโห “ดี ไม่ยอมรับใช่หรือไม่! ทหาร นำขึ้นแท่นทรมาน!”
เหล่าทหารกำลังจะขึ้นหน้าไป กลับได้ยินเสียงดังหนักแน่นสะท้อนในห้องโถง “ใช่แล้ว”
ใช่หรือ
ทุกคนต่างก็ตกใจ รวมไปถึงซือเหยาอัน
“ท่านอ๋อง ท่าน ท่านหมายความว่าอย่างไร…” ผู้ตรวจการเหลียงลุกขึ้นเนื้อตัวสั่นเทา
ซย่าโหวซื่อถิงก้าวเท้าเข้าประตูมา ชี้สาวใช้ผู้นั้น “ข้าสั่งให้นางไปตรวจผักที่ชาวสวนส่งเข้ามาในที่พักชั่วคราวเอง”
เสียงเอะอะดังขึ้นในห้องโถง
หลี่ว์ชีเอ๋อร์ที่เดิมทีนั่งก้มหน้าคุกเข่าอยู่มุมห้อง รอการพิพากษาอย่างเงียบๆ เวลานี้ก็เงยหน้าขึ้นมาอย่างตกใจ
“ท่านอ๋อง…ท่านพูดจริงหรือ” ผู้ตรวจการเหลียงชะงักไป
ซือเหยาอันตะคอก “ใต้เท้าหมายความว่าอย่างไร ท่านหมายความว่าท่านอ๋องโกหกท่านหรือ”
“มิกล้า มิกล้า…” ผู้ตรวจการเหลียงกัดฟันแล้วนั่งลง
ไม่คิดว่าเขาเลือกที่จะเชื่อตน
ทั้งตัวอวิ๋นหว่านชิ่นก็ผ่อนคลายลง รีบหันไปทางที่นั่ง “ใต้เท้าเหลียงตอนนี้เชื่อคำพูดบ่าวได้หรือยังเจ้าคะ บ่าวพาคนไปตรวจสอบผักข้างๆ ก็แค่หาชาวสวนคนหนึ่งมาถามอย่างละเอียดโดยส่วนตัวเท่านั้น คำพูดการกระทำเช่นนี้ เป็นปกติยิ่งนัก แต่หากมีคนจงใจจะใส่ร้ายบ่าว การกระทำปกติอะไรก็สามารถทำให้ไม่ปกติได้!” ขณะที่กล่าวอยู่นั้น ก็หันหน้าไปมองหลี่ว์ชี่ร์ที่อยู่ข้างๆ
สาวใช้คนนี้ เพิ่งจะหาทางรอดให้นางได้ ก็มั่นใจขึ้นมาทันใด ซย่าโหวซื่อถิงยกริมฝีปาก แล้วส่ายหน้าอย่างอดไม่ได้
เมื่อหลี่ว์ชีเอ๋อร์ได้ยินคำพูดประโยคหลัง สันหลังก็เย็นวาบ แล้วล้มลุกคลุกคลานออกมา “ใต้เท้า บ่าวก็แค่เล่าไปตามที่เห็น บ่าวไม่ได้จะใส่ร้ายใคร เพียงแต่กลัวว่าทางการจะถูกคนร้ายลอบทำร้ายเอาเจ้าค่ะ!”
ผู้ตรวจการเหลียงเห็นฉินอ๋องให้การเป็นพยานแล้ว จะพูดอะไรได้อีก เดิมทีก็ไม่ได้มีหลักฐานมัดตัวอะไรอยู่แล้ว อาศัยแค่คำพูดปั้นน้ำเป็นตัวของหลี่ว์ชีเอ๋อร์เท่านั้น จึงได้แต่ผลักความรับผิดชอบทั้งหมดให้กับหลี่ว์ชีเอ๋อร์ “สาวใช้คนนี้เป็นตัวต้นเหตุ หากท่านอ๋องไม่พอใจ กระหม่อมจะ…”
หลี่ว์ชีเอ๋อร์ตกใจจนร้องไห้สะอึกสะอื้น กุมหน้าเอาไว้ มองดูชายหนุ่มหน้าประตูอย่างโศกเศร้า
ซย่าโหวซื่อถิงโบกมือ “พอเถิด เรื่องนี้ให้มันจบไป”
ซือเหยาอันรู้ว่าองค์ชายสามเห็นแก่ที่หลี่ว์ชีเอ๋อร์เป็นน้องสาวหลี่ว์ปา เก็บไว้ยังมีประโยชน์ จึงได้ส่งสัญญาณ “ใต้เท้าเหลียง เรื่องภายนอกก็วุ่นวายพอแล้ว พอเถิด”
หลี่ว์ชีเอ๋อร์รู้ว่าท่านอ๋องยกเว้นการลงโทษของตน ก็ซาบซึ้งใจนัก เชื่องดั่งกระต่ายน้อย โค้งตัว โขกหัวด้วยน้ำตา “ขอบพระคุณท่านอ๋องที่เมตตาเจ้าค่ะ”
อวิ๋นหว่านชิ่นมองดูหลี่ว์ชีเอ๋อร์ แล้วมองฉินอ๋อง แล้วก็ก้มหน้าดูนิ้วที่ถูกรัดจนเจ็บ แล้วกลับหัวเราะเยาะออกมา
เมื่อนางหัวเราะเยาะออกมา ก็ถูกซย่าโหวซื่อถิงเห็นเข้า จึงได้หรี่ตา ยิ้มเยาะอะไรกัน เด็กสาวคนนี้…
เวลานี้ ผู้ตรวจการเหลียงก็เอ่ยปาก “เอาละเอาละ เรื่องนี้เป็นการเข้าใจผิด แก้มัด ปล่อยคนไป!”
ทหารเข้ามาแก้มัดให้อวิ๋นหว่านชิ่น
นางคลายกระดูกและเส้นเล็กน้อย เมื่อฟังคำพิพากษาคดีเสร็จสิ้น แล้วเหลียวหลังไป ฉินอ๋องและคนอื่นๆ ตรงหน้าประตูนั้นก็ไม่อยู่เสียแล้ว ไม่รู้ว่าเป็นพยานเสร็จแล้วกลับห้องไปก่อนหรืออย่างไร
อวิ๋นหว่านชิ่นออกจากห้องทรมาน เดินไปยังเรือนหลัก จะต้องพูดเรื่องนี้กับเขาด้วยตนเอง
เมื่อเดินผ่านสระเล็กน้ำตื้นของเรือนเล็กหลังหนึ่ง นางก็เหลือบมองผิวน้ำ เงาสะท้อนในนั้น ผมของตนยุ่งเหยิงนัก น่าจะคลายตอนฉุดกระชากลากถูกันในห้องทรมานเมื่อครู่เป็นแน่ จึงได้หยุดเดิน แล้วมัดเปียใหม่
ก่อนหน้านี้นิ้วมือแค่ปวดเล็กน้อย แต่ตอนนี้ความปวดนั้นกลับชัดเจนมากขึ้น นิ้วเรียวเล็กในตอนแรกนั้น ก็บวมมากขึ้นหลายเท่าในตอนนี้ นางใช้นิ้วมือไม่ถนัด มัดผมก็ช้ากว่าเดิมมากนัก
กว่าจะมัดผมเสร็จ อวิ๋นหว่านชิ่นยังไม่ทันได้ไป ด้านหลังก็มีเสียงฝีเท้าลอยมา เมื่อเหลียวหลังมอง ก็เห็นหลี่ว์ชีเอ๋อร์ จึงวางมือลงแล้วเดินเข้าไปหา
หลี่ว์ชีเอ๋อร์ตั้งใจรอให้นางไปก่อนสักพัก จึงค่อยเดินออกมาจากห้องทรมาน ก็เพราะกลัวว่าจะต้องเผชิญหน้ากัน อยากจะเลี่ยงนางเสียหน่อย คาดไม่ถึงว่ายังจะพบเข้าอย่างจัง เห็นนางเดินมาทางตน อีกยังเห็นว่ารอบข้างไร้ผู้คน กลัวว่านางจะแก้แค้นตน จึงเดินถอยหลังอย่างตกใจ แล้วกล่าวเสียงแผ่วเบา “เจ้าจะทำอะไร…”
หญิงสาวที่อายุไล่เลี่ยกับตน แต่หน้าตาไม่ได้ครึ่งของตนนั้น เวลานี้น้ำเสียงอ่อนโยนอย่างผิดปกติ “เจ้าทำร้ายข้าไม่ว่า กลุ่มผ้าเหลืองนั่นพี่ชายแท้ๆ ของเจ้าก็เป็นหัวหน้า หากข้าเป็นหนอนบ่อนไส้จริง ถูกตรวจสอบพบเจออะไรขึ้นมา พี่ชายเจ้าก็จบเห่เหมือนกัน จุดจบของการต่อต้านราชสำนัก เจ้าเองก็รู้ดีว่า ตัดหัวเสียบประจานยังถือว่าดี การแล่เนื้อเถือหนังหลายวันแต่ยังไม่ตายนั่นสิถึงเรียกว่าทรมานอย่างไร้มนุษยธรรม นั่นเป็นพี่ชายแท้ๆ ของเจ้า เจ้าทำได้จริงๆ หรือ เจ้าเป็นหญิงอ่อนแอ เจ้าไม่ช่วยเขา ไม่มีใครโทษเจ้า แต่เจ้ายังจะแทงพี่ชายของตัวเองอีกหรือ…ไม่สนใจแม้แต่ความสัมพันธ์ญาติพี่น้องสักนิดเลยหรือ”
คออันเรียวขาวของหลี่ว์ชีเอ๋อร์ขยับเล็กน้อย ไม่หวั่นไหวแม้แต่เล็กน้อย ยังคงยืนหยัดต่อไป “ข้าเคยบอกแล้วว่า นั่นไม่ใช่พี่ชายข้า เจ้าอย่ามาใส่ร้ายข้า! ถึงแม้ตอนนี้ข้าจะอยู่ในที่พักชั่วคราว กินดีอยู่ดี แต่ข้ารู้ดีว่า ท่านอ๋องและคนอื่นๆ ไม่ได้เชื่อใจข้านัก” แล้วมองอวิ๋นหว่านชิ่นอีก “อยากจะได้รับความเชื่อใจและความเมตตาจากท่านอ๋องเหมือนกับเจ้า ข้าก็จำเป็นต้องสร้างผลงาน”