ตอนที่ 369 คนรักที่สมบูรณ์แบบของซูมู่ชิง!!
เย่เฉินไม่ได้บอกกับคุณหมอกัวว่าตนเองเป็นใคร แต่พาซือซือขึ้นรถเขาเอง
ซือซือเองก็ตกใจน้อยๆ เมื่อขึ้นไปบนรถก็นั่งนิ่งไม่พูดไม่จา เย่เฉินจึงกุมมือน้อยๆ เอาไว้ตลอดเพื่อปลอบโยนเด็กหญิง
ส่วนซูมู่ชิงเองก็นั่งตรงบริเวณข้างคนขับ และยังคงพิงอยู่ที่ประตู พอจะมองออกว่าเป็นท่านั่งที่ยังรู้สึกหวาดกลัวอยู่
ตลอดทางหมอกัวก็พยายามปลอบโยนหญิงสาว
หมอกัวเองก็ขับรถมาถึงสถานที่ที่ดูแล้วเหมือนโรงพยาบาลส่วนตัวอย่างรวดเร็ว
เมื่อเข้าไปจอดรถในโรงพยาบาลแล้ว คุณหมอกัวจึงประคองซูมู่ชิงลงจากรถ
เย่เฉินเองก็พาซือซือลงจากรถ แล้วถึงได้สังเกตเก็นว่ามีน้ำตกด้านข้างสวนดอกไม้ ด้านบนเขียนชื่อโรงพยาบาลเอาไว้ว่าโรงพยาบาลหัวอวี่
เย่เฉินมองออกว่าที่นี่ไม่ใช่โรงพยาบาลที่จริงจังอะไร เขาจึงกล่าวถามคุณหมอกัว “คุณเป็นหมออะไร?”
คุณหมอกัวจึงกล่าวด้วยใบหน้าเชื่อมั่นในตัวเอง “ผมมเป็นจิตแพทย์ที่เก่งที่สุดในเมืองหลวง ไม่สิ ในประเทศนี้แล้ว”
พูดจบแล้วเขาก็พาซูมู่ชิงขึ้นไปด้านบน แล้วเข้าไปในออฟฟิศส่วนตัวของเขา
ห้องทำงานของเขาหรูหราอย่างมาก แต่ก็มีสไตล์ไม่เหมือนใคร เป็นห้องที่คุณจะไม่เคยเห็นในโรงพยาบาลมาก่อน
“คุณหนูซูตอนนี้ยังตกอยู่ในสภาวะตกใจ ตอนนี้ผมต้องสะกดจิตหล่อนเพื่อที่จะได้พักผ่อนให้เร็วขึ้น คุณพาคุณหนูของคุณออกไปก่อนเถอะ”
คุณหมอกัวหันไปสั่งเย่เฉิน
“หนูจะอยู่กับคุณแม่ค่ะ” ซือซือกล่าว
เย่เฉินเองไม่อยากให้คุณหมอกัวและซูมู่ชิงอยู่กันสองต่อสอง เขาพบว่าทั้งสองคนนี้สนิทสนมกันอย่างมาก อีกทั้งเหมือนกับว่าคุณหมอคนนี้รู้ทุกเรื่องของซูมู่ชิงด้วยซ้ำไป ย่าจะรู้ดีกว่าเขาเสียอี!
ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เย่เฉินถึงไดรู้สึกเหมือนออกจะหึงหวงขึ้นมา…
เย่เฉินเองก็พูดตรงไปตรงมา “คุณหมอกัว ขอโทษด้วยนะ ผมไม่ไว้ใจคุณ”
และในเวลานี้เองคุณหมอกัวก็รีโมท แล้วกดไปทางหน้าต่าง ทำเขาเห็นว่าหน้าต่างบานนี้สามารถปรับระดับความใสได้
”คุณหมอกัวกล่าว “พวกคุณจะเห็นด้านในนี้ผ่านทางหน้าต่างได้”
เมื่อได้ยินเช่นนนี้เย่เฉินจึงพาซือซือออกไป ทั้งสองคนจ้องภายในห้องผ่านทางหน้าต่าง
ส่วนคุณหมอกัวให้ซูมู่ชิงนอนบนโซฟา แล้วเริ่มทำให้หล่อนนอนหลับ
ไม่นาน ซูมู่ชิงก็หลับตาลงแล้วจมดิ่งลงในห้วงนิทรา
คุณหมอกัวห่มผ้าห่มให้หญิงสาว แล้วเดินออกมาจากห้อง
“แจ้งคนตระกูลซูหรือยัง?” คุณหมอกัวหันถามเย่เฉิน
เย่เฉินส่ายหน้า “ผมไม่มีเบอร์พวกเขา”
คุณหมอกัวตกใจ “เป็นไปได้ยังไง? คุณไม่ใช่บอดี้การ์ตระกูลซูเหรอ?”
และในเวลานี้เองซือซือก็โพล่งออกมา “เขาไม่ใช่บอดี้การ์ดนะคะ เป็นยามแล้วก็เป็นคุณพ่อของหนูด้วย!”
“หนูว่าอะไรนะ?” ทันใดนั้นเองคุณหมอกัวก็มีท่าทีตกใจ
เย่เฉินจึงบอกอีกฝ่าย “ใช่แล้ว ผมเป็นพ่อแท้ๆ ของซือซือ”
คุณหมอกัวดูอารมณ์เสียทันที “แกไอ้คนสารเลว ที่ตอนนั้น…ทำร้ายคุณหนูซู!”
เย่เฉินขมวดคิ้วมุ่น “คุณรู้เรื่องนี้ได้ยังไง?”
เรื่องนี้เกี่ยวกับชื่อเสียงของซูมู่ชิงและตระกูลซู คนปกติทั่วไปไม่มีทางรู้เด็ดขาด
คุณหมอกัวเองก็ไม่อธิบายอะไร แต่เขากลับก่นด่าเย่เฉินต่อ “คุณรู้ไหมว่าตอนนั้นคุณทำร้ายคุณหนูซูจนมีสภาพเป็นยังไง! ถ้าไม่ใช่เพราะคุณคุณหนูซูคงจะไม่ป่วยแบบนี้! ไอ้คนสารเลวฉันจะสั่งสอนแกแทนคุณหนูซูเอง!”
คุณหมอซูเงื้อมหมัดขึ้นต่อยเย่เฉินด้วยโทสะ!
แต่เย่เฉินกลับไม่หลบแต่อย่างใด มืออีกข้างก็คว้าเขาที่แขนของคุณหมอซู ทำให้อีกฝ่ายขยับไม่ได้
เย่เฉินจึงกล่าว “คุณหมอกัวครับ มือนี้ของคุณเอาไว้รักษาคนเถอะ อย่าใช้วิวาทอะไรเลย มันไม่ใช่สิ่งที่คุณถนัดนะ เห็นแก่ที่มู่ชิงเชื่อใจคุณมาก ผมจะไม่ต่อยคุณ แต่คุณต้องบอกอาการป่วยของซูมู่ชิงให้ผมฟังตามความจริง!”
เย่เฉินอยากรู้อย่างมาก ว่าสรุปแล้วว่าซูมู่ชิงเป็นอะไรไป ทำไมถึงได้มีท่าทีรุนแรงขนาดนี้ เรื่องนี้จะเกี่ยวข้องกับเขาหรือเปล่า
คุณหมอกัวเองก็โดนเย่เฉินบีบจนเจ็บไปหมด เขาจำใจต้องยอมแพ้ เขาหันมองซือซือแล้วกล่าว “คุณอยากจะเล่าประวัติอันรุ่งโรจน์ของคุณต่อหน้าลูกสาวคุณเหรอ?”
เย่เฉินจึงลูบหัวลูกสาวแล้วกล่าว “ซือซือ คุณแม่เพิ่งเจอเรื่องตกใจมา ตอนนี้หลับไปแล้ว หนูเข้าไปนอนเป็นเพื่อนคุณแม่หน่อยได้ไหม?”
“ค่ะ” ซือซือรับคำอย่างว่าง่าย เด็กหญิงสาวเท้าน้อยๆ เดินเข้าไปในห้องพักผู้ป่วย ไม่พูดอะไรแล้วนั่งลงบนเก้าอี้อีกตัว เด็กหญิงนั่งมองมารดาที่กำลังนอนหลับิยู่
“ซือซือเป็นเด็กผู้หญิงที่ว่าง่ายที่สุดในโลกเลย”
คุณหมอกัวกล่าวสั้นๆ “ตามผมมา”
คุณหมอกัวพาเย่เฉินไปที่ห้องข้างๆ จากนั้นก็เปิดผ้าม่าน แล้วเปิดหน้าต่างจากนั้นก็จุดบุหรี่
เย่เฉินถามอย่างอดไม่ได้ “คุณเป็นอะไรกับมู่ชิงกันแน่? ทำไมคุณถึงได้รู้เรื่องของมู่ชิงอย่างทะลุปรุโปร่งดีเชียว?”
คุณหมอกัวสูบบุหรี่แล้วกล่าว “ผมชื่อกัวเยว่หมิง เป็นจิตแพทย์ส่วนตัวของคุณหนูซูมู่ชิง เมื่อสี่ปีก่อนซูมู่ชิงคุณชายของตระกูลซู เชิญผมมาจากอเมริกา เพื่อให้ผมรักษาอาการป่วยของคุณหนูซูมู่ชิง และในตอนนั้นซูมู่ชิงเองมีสภาพไม่ใคร่สู้ดีนัก ไม่กินข้าว เบื่ออาหาร ฝันร้ายซึ่งแน่นอนว่าทั้งหมดนี้เป็นฝีมือคุณทั้งนั้น!”
พอคิดถึงสภาพของซูมู่ชิง กัวเยว่หมิงจึงเกลียดชังเย่เฉินอย่างมาก
เย่เฉินองก็สงสารหญิงาสววอย่างมา แต่เขาเองก็ไม่รู้เรื่องพวกนี้เสียหน่อย
กัวเยว่หมิงก็กล่าวต่อ “ผมลองหลายวิธี อยากให้หล่อนเดินออกจากเงามืด แต่ว่าล้วนแต่ไร้ประโยชน์ ดังนั้นผมเลยคิดวิธีที่อาจารย์ผมเคยพูดถึง บางทีอาจะพอใช้ได้ ก็เลยลองดู!”
เย่เฉินมีคำถามเกิดขึ้นในใจ หนึ่งคืออาจารย์จิตแพทย์ของเขาคือใคร
กัวเยว่หมิงคนนี้อายุยังน้อย แต่กลับกล้าพูดว่าตัวเองเป็นจิตแพทย์ที่ดีที่สุดในประเทศนี้ ส่วนออฟฟิศของเขาก็ดูดีมากจริงๆ
เย่เฉินเคยเรียนที่อเมริกา ไม่แน่ว่าเขาอาจจะรู้จักอาจารย์ของกัวเยว่หมิง
อีกคำถามหนึ่งก็คือเย่เฉินมีอีกหนึ่งคำถามที่เขาอยากรู้ “คุณใช้วิธีอะไร?”
กัวเยว่หมิงถอนหายใจ “ผมไม่ควรใช้วิธีนี้จริงๆ ตอนนี้ผมเสียใจภายหลังอย่างมาก ตอนนั้นผมทำอย่างนั้นทำไม! ถ้าหากว่าผมไม่ใช้วิธีแบบนั้น วันนี้คุณหนูซูมู่ชิงก็คงจะไม่เป็นโรคแปลกๆ แบบนี้บางทีหล่อนอาจจะได้เริ่มชีวิตแต่งงานครั้งใหม่อย่างมีความสุขไปแล้ว”
เย่เฉินร้อนรนทนไม่ไหว เขาตะคอก “รีบบอกผมมาสักที ว่าคุณใช้วิธีอะไรกันแน่!”
กัวเยว่หมิงจ้องเย่เฉินเขม็ง บุหรี่ในมือกำลังเผาไหม้ช้าๆ ควันบุหรี่นั้นอ้อยอยิ่งที่มือเขา
เพียงแค่สิบกว่าวินาที กัวเยว่หมิงก็เปิดปากเอ่ยกับเย่เฉิน
“ผมทำให้ซูมู่ชิงไม่เกลียดชังคุณอีกต่อไป แล้วไม่เห็นว่าคุณเป็นคนเลว ข่มขืนคุณ แต่เห็นคุณเป็น…”
กัวเยว่หมิงชะงักไปอีกครั้ง เหมือนว่าไม่อยากบอกเรื่องจริงออกมา
ส่วนเย่เฉินก็ร้อนใจจนทนไม่ไหว มือข้างหนึ่งคว้าคอเสื้อเชิ้ตของกัวเยว่หมิงแล้วตะคอก “เห็นผมเป็นอะไร! สี่ปีมานี้คุณฝังความคิดในหัวของซูมู่ชิงให้เห็นผมเป็นอะไร! รีบพูดมา!!”
เย่เฉินตะคอกเสียงดัง เขาสนใจเรื่องนี้อย่างมาก!
กัวเยว่หมิงกลืนน้ำลายแล้วพูดออกมาช้าๆ “คนรักที่สมบูรณ์แบบ!”