[ติดตามข่าวสารได้ที่เพจ : จักรพรรดิ์เทพมังกร]

บทที่ 387 : ตื่นตระหนกกับโลก!

เหล่ากุ่ยยังคงนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงพร้อมกับยิ้มให้หลิงหยุนและตอบกลับไปว่า “ตอนนี้อาการบาดเจ็บภายในดีขึ้นถึงห้าสิบเปอร์เซ็นต์แล้ว ส่วนจุดตันเถียนกับเส้นลมปราณก็ค่อยๆฟื้นตัวขึ้นมากเช่นกัน ฉันก็เลยคิดว่าน่าจะมีพลังลมปราณพอที่สามารถทะลวงเข้าสู่ขั้นต่อไปได้เลย แต่กลับคิดไม่ถึงว่า..”

หลิงหยุนช่วยหยิบเสื้อที่วางอยู่ด้านข้างให้กับเหล่ากุ่ยพร้อมกับตอบยิ้มๆว่า “เหล่ากุ่ย.. ท่านอย่าได้กังวลไปเลย ข้ารับรองว่าเมื่อใดที่อาการบาดเจ็บของท่านหายดี กำลังภายในของท่านจะต้องก้าวหน้าขึ้นทันทีเช่นกัน!”

ตอนนี้อาการบาดเจ็บภายในของเหล่ากุ่ยยังคงไม่หายสนิท อีกทั้งยังเพิ่งผ่านพ้นนาทีแห่งความเป็นความตาย และหลุดรอดจากการต้องกลายเป็นมารเพราะธาตุไฟแตกมาได้อย่างฉิวเฉียด ทำให้เส้นลมปราณต่างๆที่เพิ่งฟื้นตัวนั้น ไม่สามารถรองรับพลังชีวิตที่เข้มข้นของน้ำลายมังกรได้ หลิงหยุนจึงจำเป็นต้องรอให้ร่างกายของเหล่ากุ่ยฟื้นตัวดีกว่านี้ก่อน และถึงตอนนั้น เขาจึงจะสามารถให้เหล่ากุ่ยดื่มน้ำลายมังกรเพื่อช่วยพัฒนากำลังภายในให้ก้าวหน้าขึ้นได้

“ห๊ะ.. เจ้าพูดว่าอะไรนะ?!”

เหล่ากุ่ยมองหลิงหยุนด้วยแววตาประหลาดใจ สายตาของเขามองหลิงหยุนจากหัวจรดเท้า ก่อนจะพูดขึ้นมาด้วยความขุ่นเคือง

“เฮ้อ.. ข้านี่ใช้ไม่ได้เอาซะเลย! มีชีวิตอยู่มาตั้งหกสิบปี แต่กลับต้องเป็นหนี้ชีวิตให้กับครอบครัวของเจ้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า!”

หลิงหยุนถึงกับใจสั่นเมื่อได้ฟังคำพูดของเหล่ากุ่ย และได้แต่คิดในใจว่า เหล่ากุ่ยเป็นคนที่แม่ของเขาขอให้มาช่วยดูแลคุ้มครองเขางั้นหรือ?

‘นี่แม่เคยช่วยชีวิตเหล่ากุยไว้งั้นเหรอ..?’

“เอาล่ะ.. พวกเราอย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องนี้กันเลย ข้าได้ยินว่าคืนนี้เจ้าจะไปสังหารใครบางคน คนแก่อย่างข้าก็จะขอตามไปช่วยด้วย..” เหล่ากุ่ยพูดกับหลิงหยุนในระหว่างที่ลุกขึ้นใส่เสื้อผ้า

หลิงหยุนตอบกลับอย่างลังเล “เหล่ากุ่ย แต่อาการบาดเจ็บของท่าน..?!”

เหล่ากุ่ยหันกลับไปมองหลิงหยุน พร้อมกับเอื้อมมือออกไปแตะไหล่ของเขาอย่างอ่อนโยนพร้อมกับถอนหายใจเบาๆ และพูดขึ้นว่า

“หลิงหยุน.. ความจริงเจ้าเป็นเด็กที่มีจิตใจงดงามนัก แต่เจ้าแค่แสร้งทำเป็นคนไม่ดีเท่านั้นเอง!”

หลิงหยุนได้แต่ยิ้มอย่างกระอักระอ่วนพร้อมกับอดคิดในใจไม่ได้ว่า ‘คำว่า-คนดี คงจะหล่นทับข้าสักวัน’

จากนั้นก็ยกมือขึ้นเกาศรีษะพร้อมกับตอบเหล่ากุ่ยไปว่า “ฮ่า..ฮ่า.. คนที่เคยถูกรังแกบ่อยๆ โตขึ้นถ้าไม่เป็นคนดี ก็จะกลายเป็นคนเลวไปเลย..”

เหล่ากุ่ยจ้องมองหลิงหยุนอยู่นาน หลังจากนั้นเขาก็สูดหายใจอย่างมาความสุขแล้วพูดขึ้นว่า

“ก่อนจะไปปฏิบัติภารกิจ พวกเราไปหาอะไรกินให้อิ่มกันก่อนจะดีกว่า กองทัพต้องเดินด้วยท้อง เจ้าเคยได้ยินใช่ไม๊!”

“เหล่ากุ่ย.. แน่ใจนะว่าจะไม่มีปัญหาอะไรกับอาการบาดเจ็บของท่าน?”

เหล่ากุ่ยหัวเราะ “เจ้าเองก็เป็นแพทย์ฝีมือดีไม่ใช่รึ? ทำไมยังดูไม่ออกว่าข้าแข็งแรงแค่ใหน? ทำใจให้สบายเถอะนะ!”

หลิงหยุน เหล่ากุ่ย และคนอื่นๆ รวมเป็นห้าคน พร้อมด้วยสุนัขจิ้งจอกสวรรค์เก้าหาง ต่างก็พากันเดินไปทานอาหารที่ภัตตาคารแถบทะเลสาบจิงฉู พวกเขาจองห้องส่วนตัวที่ดีที่สุด และเริ่มลงมือกินอาหารกันอย่างเอร็ดอร่อย

ระหว่างที่ทานอาหารกันอยู่นั้น ถังเมิ่งก็ได้เล่าเรื่องปรากฏการณ์มังกรเล่นน้ำที่เกิดขึ้นเมื่อหลายอาทิตย์ที่ผ่านมาให้เหล่ากุ่ยและตู้กู่โม่ฟัง ทั้งสองคนต่างก็ได้แต่พยักหน้าเงียบๆ

เวลาสี่ทุ่มตรง ทั้งห้าคนต่างก็ทานอาหารเสร็จพอดี และกำลังเดินกลับไปที่บ้าน ระหว่างทางหลิงหยุนก็ได้โทรหาหนิงหลิงยู่ เพื่อไม่ให้เธอเป็นห่วง และจะได้นอนหลับพักผ่อนได้อย่างสบายใจ เพราะพรุ่งนี้ต้องไปโรงเรียน

แม้ว่าหนิงหลิงยู่จะต้องการพบหน้าหลิงหยุนมาก แต่เธอก็รู้ดีว่าช่วงนี้หลิงหยุนค่อนข้างยุ่ง ท่านหมอเสี่ยวเองก็ได้บอกกับหนิงหลิงยู่ว่าไม่ต้องกังวลอะไร เธอจึงได้แต่ต้องรอคอยอย่างอดทน..

ทันทีที่กลับไปถึงบ้าน ตู้กู่โม่ก็เริ่มลงมือฝึกฝนอย่างจริงจังต่อ ส่วนเหล่ากุ่ยก็กำลังช่วยสอนวรยุทธให้กับตี้เสี่ยวอู๋ และดูเหมือนเขาจะชื่นชอบตี้เสี่ยวอู๋เป็นพิเศษ

หลิงหยุนลากถังเมิ่งเข้าไปในห้องนั่งเล่นพร้อมกับถามขึ้นทันที “ถังเมิ่ง.. นายพอจะรู้ไม๊ว่าใกล้ๆกับเจียงหนานมีเกาะร้างอยู่บ้างไม๊?”

สุนัขจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางตัวนี้ อีกเพียงแค่หนึ่งอาทิตย์ก็ต้องกลายร่างแล้ว หลิงหยุนได้แต่ครุ่นคิด และก็คิดได้เพียงว่าต้องหาเกาะร้างเล็กๆที่ใหนสักแห่งให้กับเจ้าขาวปุย

แต่เมื่อถังเมิ่งได้ฟัง ก็ถึงกับร้องอุทานออกมาอย่างตกใจ

“พี่หยุน.. อย่าบอกนะว่าพี่จะหายตัวไปอีก? ฉันจะบอกอะไรให้ ถ้าพี่หายตัวไปอีกครั้ง ต่อให้พวกเราทนได้ หนิงน้อยทนได้ แต่หนิงหลิงยู่ต้องไม่มีทางทนได้อย่างแน่นอน!”

การที่หลิงหยุนหายตัวไปนั้น ภายใต้ความกดดันมากมาย ใครกันล่ะที่จะเป็นกันวลมากที่สุดหากไม่ใช่หนิงหลิงยู่!

คำพูดของถังเมิ่งทำให้หลิงหยุนกระอักระอ่วนด้วยความรู้สึกผิด เขาจึงรีบตอบกลับไปว่า

“นายสบายใจได้..! ฉันจะพาเจ้าขาวปุยไปทำอะไรบางอย่างที่นั่นสักสองสามวัน เสร็จแล้วก็จะรีบกลับ แค่บอกมาว่ามีสถานที่แบบที่ฉันต้องการไม๊? เป็นเกาะที่ไม่มีคนอยู่ก็จะยิ่งดี!”

ถังเมิ่งเกาศรีษะพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันนะว่ามันจะเรียกว่าเกาะที่ไม่มีคนอยู่ได้ไม๊? แต่ที่แน่ๆ มันเป็นเกาะที่ไม่มีความสงบสุขเลย”

หลิงหยุนไม่ได้สนใจว่ามันจะสงบสุข หรือไม่สงบสุข เขาจึงถามขึ้นทันที “แล้วมันคือเกาะอะไร?!”

ถังเมิ่งตอบยิ้มๆ “จะเป็นเกาะอะไรไปได้ล่ะ.. ก็เกาะเตียวหยูไง! เกาะที่พวกญี่ปุ่นทึกทักว่าเป็นของพวกมัน จนทุกวันนี้ยังเป็นกรณีพิพาทกันอยู่เลย!”

ตอนนี้ความรู้ทางด้านภูมิศาสตร์ของหลิงหยุนนับว่ากว้างขวางมาก เขาจึงนึกภาพออกว่าเกาะเตียวหยูนั้นอยู่ตำแหน่งใน แต่เรื่องกรณีพิพาทอะไรนั้นเขาไม่รู้ เพราะไม่เคยดูข่าวในทีวีมาก่อน จึงไม่รู้ว่าเกาะนั่นเป็นดินแดนที่อยู่ในการปกครองของพวกญี่ปุ่น

“ญี่ปุ่นอีกแล้วเหรอ?!”

หลิงหยุนนึกถึงโทคุงาวะ ทาเคซูกะขึ้นมาทันที และได้แต่รู้สึกรังเกียจ จึงได้ตัดสินใจแน่วแน่ที่จะพาเจ้าขาวปุยไปที่เกาะเตียวหยูแห่งนี้ และปล่อยให้เจ้าขาวปุยกลายร่างที่นั่น ให้เกาะนี้พังราบเป็นหน้ากองไปเลย

“แต่ว่าพี่หยุน ตอนนี้ฉันได้ยินมาว่ามีทหารญี่ปุ่นเฝ้าอยู่..” ถังเมิ่งพูดอย่างลังเล

แต่หลิงหยุนกลับส่ายหน้ายิ้มๆ แล้วยกมือขึ้นตบไหล่ถังเมิ่ง และพูดกับเขาด้วยท่าทางที่ไร้กังวล “อาทิตย์หน้าช่วยจัดการเช่าเรือให้ฉันด้วย!”

หลังจากสั่งงานถังเมิ่งเสร็จแล้ว ยังไม่ทันที่หลิงหยุนจะบอกให้เขาออกไปได้ โทรศัพท์ของถังเมิ่งก็ดังขึ้นมาเสียก่อน

ถังเมิ่งรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู และเมื่อพบว่าเป็นแม่ของเขาโทรมา ถังเมิ่งจึงรีบกดรับสายทันที แต่แล้วสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปหลังจากได้ฟัง!

“ไม่ต้องกังวลนะครับแม่ ทุกอย่างปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผมกับพี่หยุนเอง!” พูดจบถังเมิ่งก็รีบกดวางสายไป

ถังเมิ่งกำลังจะอ้าปากเล่าให้หลิงหยุนฟังว่าเกิดอะไรขึ้น แต่หลิงหยุนกลับชิงพูดขึ้นมาก่อน พร้อมกับสีหน้าแววตาที่เต็มไปด้วยรังสีอำมหิต

“นายไม่ต้องเล่า ฉันได้ยินทุกอย่างหมดแล้ว ซันเทียนเปียวมันกล้าทำกับลุงหวังแบบนี้ แสดงว่ามันจงใจฉีกหน้าฉัน และบีบบังคับให้ฉันต้องลงมือ!”

“พี่หยุน.. เรื่องนี้.. ฉันควรทำยังไงดี?!”

แม่ของถังเมิ่งโทรมาบอกกับเขาว่า ถังเทียนห่าวถูกคนของตระกูลซันจับตัวไปแล้ว และเธอก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี?

หลิงหยุนตบบ่าถังเมิ่งอย่างอ่อนโยน พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น “ถังเมิ่ง.. นายเชื่อในตัวฉันไม๊?”

ถังเมิ่งพยักหน้า “พี่หยุน.. ฉันไม่ใช่แค่เชื่อ แต่ศรัทธาเลยล่ะ?!”

หลิงหยุนยิ้มเล็กน้อย “เยี่ยมมาก.. ถ้าอย่างนั้นนายก็ต้องเชื่อฟังฉัน ตอนนี้เรื่องของพ่อนาย ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของฉัน ส่วนนายต้องรีบกลับไปทำเรื่องที่สำคัญที่สุด.. นายรีบกลับไปอยู่ดูแลแม่! ฉันสัญญาว่าคืนนี้จะต้องช่วยพ่อของนายออกมาให้ได้!”

แม้ถังเมิ่งจะเป็นห่วงความปลอดภัยของถังเทียนห่าวมาก แต่เขาเป็นคนที่มีเหตุมีผล เขานึกถึงเหตุการณ์ที่หลิงหยุนบุกไปช่วยเฉิงเม่ยเฟิงเมื่อครั้งที่แล้ว และจำได้ว่าหลิงหยุนต้องเผชิญกับอะไรบ้าง และต้องเสี่ยงแค่ใหน เขาจึงไม่ต้องการไปเป็นภาระให้กับหลิงหยุน และได้แต่พยักหน้าอย่างเชื่อฟัง

หลิงหยุนหยิบยันต์อัคนีและยันต์บำบัดออกมาอย่างละสิบกว่าแผ่น แล้วยัดลงไปในมือของถังเมิ่งพร้อมกับสั่งว่า

“นายเก็บไว้ใช้ในยามจำเป็น? นี่คือยันต์อัคนี และนี่คือยันต์บำบัด อย่าใช้ผิดล่ะ!”

หลิงหยุนพูดจบก็เดินไปส่งถังเมิ่งนอกบ้าน และรอจนเขาขับรถฮัมเมอร์ออกไปรอฟังข่าวดีอยู่ที่บ้าน

“ตี้เสี่ยวอู๋.. คืนนี้นายมีหน้าที่อยู่ดูแลบ้าน! แล้วก็ตั้งใจฝึกวรยุทธให้ดี!” หลิงหยุนหยิบยันต์อัคนีและยันต์บำบัดอย่างละสิบกว่าแผ่นให้กับตี้เสี่ยวอู๋

กำลังภายในของตี้เสี่ยวอู๋ยังไม่ถึงขั้นโฮ่วเทียน-4 ด้วยซ้ำไป หลิงหยุนจึงไม่อนุญาตให้เขาตามไปที่บ้านตระกูลฉางในคืนนี้ด้วย

เมื่อจัดการสั่งการทุกอย่างจนเรียบร้อยแล้ว หลิงหยุน เหล่ากุ่ย และตู้กู่โม่ ต่างก็เปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าชุดดำพร้อมกับคาดผ้าปิดบังใบหน้า แล้วจึงออกจากบ้านไป

ในเมื่องทั้งสามคนต่างก็สวมชุดดำและมีผ้าสีดำปิดบังใบหน้าไว้ พวกเขาจึงใช้ความเร็วสูงสุดตรงไปยังบ้านตระกูลเฉิงทันที

ระหว่างทาง หลิงหยุนแบ่งยันต์อัคนีและยันต์บำบัดให้ทั้งสองคนไว้สำหรับใช้ป้องกันตัวในกรณีฉุกเฉิน

แต่ระหวางนั้น คำพูดของเหล่ากุ่ยก็ทำให้หลิงหยุนถึงกับตกใจสุดขีด!

เหล่ากุ่ยได้บอกกับหลิงหยุนว่า.. ซันเทียนเปียวนั้นอย่างน้อยก็ต้องเป็นยอดฝีมือขั้นเซียงเทียน-1 ส่วนยอดฝีมือสองคนที่ทำหน้าที่เป็นองครักษ์คอยคุ้มครองซันเทียนเปียวนั้น ก็เป็นยอดฝีมือขั้นเซียงเทียน-1 ทั้งคู่ด้วยเช่นกัน

องค์รักษ์ทั้งสองคนของซันเทียนเปียว ก็มีผู้ติดตามอีกสี่คน และทุกคนล้วนเป็นยอดฝีมือที่อยู่ในระดับสูงสุดของขั้นโฮ่วเทียน-9

และยังมีผู้ติดตามของยอดฝีมือขั้นโฮ่วเทียน-9 อีกทั้งหมดแปดคน ที่แต่ละคนล้วนอยู่ในระดับสูงสุดของขั้นโฮ่วเทียน-8

รวมแล้ว.. ซันเทียนเปียวมียอดฝีมือขั้นต่างๆที่คอยอารักขาคุ้มกันอยู่ถึงสิบสี่คน!

ยังไม่หมดเพียงเท่านั้น ยังมียอดฝีมือคนอื่นๆอีกเกือบสามสิบคนที่อยู่ในขั้นต่ำกว่าขั้นโฮ่วเทียน-8 ลงไป “เหล่ากุ่ย.. ทำไมตระกูลซันถึงได้ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ล่ะ!?” หลิงหยุนถามอย่างตกใจสุดขีด

จะไม่ให้หลิงหยุนตกใจได้อย่างไรกัน ในเมื่อเกาเฉินเฉินเคยเล่าให้เขาฟังว่าตระกูลหนึ่งจะมียอดฝีมือจากตระกูลเก่าแก่ หรือจากนิกายลับไปเป็นแขกพิศษได้ไม่มากนักและเมื่อคราวที่แล้ว หลิงหยุนก็ได้ฆ่ายอดฝีมือของตระกูลซันไปแล้วถึงสี่คน จึงไม่น่าจะมีเหลืออยู่มากมายขนาดนี้?!

หลิงหยุนได้แต่นึกในใจว่า.. โชคดีที่ตัวเขาเองได้เข้าสู่ขั้นปรับร่างกาย-5 ในคืนนี้พอดีและดารกะดายันก็พัฒนาขึ้นมาอีกหนึ่งระดับย่อย ครั้งนี้หลิงหยุนจึงน่ากลัวกว่าครั้งที่แล้วหลายเท่านัก!

“หลิงหยุน.. เจ้าไม่รู้อะไร ปกติคนพวกนี้จะไม่ปรากฏตัวหรอก แต่เป็นเพราะข่าวเรื่องพู่กันจักรพรรดิกับสมุดจักรพรรดิที่ได้ถือกำเนิดขึ้นมาบนโลกนั่นล่ะ เลยทำให้ทั้งตระกูลเก่าแก่ นิกายลับ และแม้แต่นิกายมารก็พากันออกมา!

“โดยปกติแล้วตระกูลเก่าแก่ และนิกายลับจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับคนในเมือง แต่ก็ใช่ว่าจะตัดขาดไปเลยซะทีเดียว เพราะยังต้องพึ่งพาตระกูลที่อยู่ในเมืองในเรื่องของการสื่อสาร การเดินทาง และการเงิน”

“ซันเทียนเปียวเองก็มีภรรยาหลายคนแทบนับไม่ถ้วน และมีลูกชายราวเจ็ดหรือแปดคนได้ เพียงแค่หนิวเฟิ่นเหยียวกับซันจิ้ง คงไม่ได้มีค่าพอที่จะทำให้ซันเทียนเปียวถึงกับต้องเกณฑ์ยอดฝีมือมามากมายถึงเพียงนี้หรอก แต่พวกเขามาเพราะเรื่องพู่กันจักรพรรดิกับสมุดจักรพรรดิต่างหากเล่า!”

หลิงหยุนถามอย่างงุนงง “เพราะพู่กันจักรพรรดิกับสมุดจักรพรรดิงั้นเหรอ? แล้วตระกูลอื่นๆไม่ได้ข่าวเรื่องนี้บ้างหรือไง ถึงได้ปล่อยให้ตระกูลซันออกค้นหาอยู่ฝ่ายเดียว?”

หลิงหยุนได้แต่คิดในใจว่า ตระกูลซันขนยอดฝีมือมากมายขนาดนี้ ตระกูลใหญ่ๆในเมืองหลวงอย่างตระกูลหลง ตระกูลเฉิน ตระกูลเย่ ตระกูลเกา แล้วก็ตระกูลอื่นๆ เหตุใดจึงทำเหมือนคนหูหนวกตาบอดอยู่ได้?!

เหล่ากุ่ยยิ้มเล็กน้อย “พ่อหนุ่ม.. ก็เจ้าเป็นคนทำให้เมืองจิงฉูวุ่นวายปั่นป่วน และประกาศตัวเป็นปฏิปักษ์กับตระกูลซัน ตระกูลซันมาที่นี่ก็ถูกแล้ว ถ้าตระกูลซันไม่มา แล้วใครจะมา?”

ระหว่างทาง.. หลิงหยุนจึงได้หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาท่านเสี่ยวหมอเทวดา

ดูเหมือนจะมียอดฝีมือมากมายกว่าที่เขาคาดไว้มาก หากยังมียอดฝีมือซ่อนอยู่มากกว่านี้อีก หลิงหยุนคงจะรับมือไม่ไหวแน่!

หลังจากท่านหมอเสี่ยวได้รับโทรศัพท์ ก็ได้แต่ยิ้มเล็กและพูดขึ้นว่า “เธอไม่ต้องกังวลอะไร!”