ยอดหมอหญิงมหัศจรรย์ บทที่ 294

กุ้ยไท่เฟยโกรธจนหน้าเขียวหน้าดำ ราวกับลูกศรอาบยาพิษที่พุ่งไปหาเขา แต่มันก็ค่อย ๆ สงบลง “เจ้าจะพูดเช่นไรก็แล้วแต่เจ้า ข้ามีมโนธรรมที่ชัดเจน”

มู่หรงเจี๋ยหัวเราะออกมาเบา ๆ “ข้าล่ะชอบการหลอกตนเองและผู้อื่นที่ไร้ยางอายของท่านเสียจริง”

นางกล่าวด้วยใบหน้าที่เย็นชา “อย่าภูมิใจในตนเองนักเลย อย่างไรเสียข้าก็ยังเป็นแม่ของเจ้า จะถือว่าข้าไม่ใช่ก็ได้ เสด็จพ่อของเจ้าปกครองทั่วหล้าด้วยความเมตตากรุณา ตราบเท่าที่ข้ายังอยู่ในจวนนี้ เจ้าจะต้องประพฤติตัวเป็นลูกที่ดี ไม่อาจทำตัวเหลวไหลได้แม้แต่น้อย”

“เสด็จแม่เย้าลูกเล่นใช่หรือไม่ เป็นลูกจะไม่กตัญญูต่อผู้เป็นมารดาได้เช่นไรเล่า? มู่หรงเจี๋ยพูดพลางแล้วหันหลังกลับ “ตอนนี้ไม่ถือว่ากตัญญูหรอกหรือ? จริงสิ ลูกเพิ่งจะออกคำสั่งไป เรื่องพระราชพิธีศพ ไม่อนุญาตให้อ๋องหนานหวายเข้าเมืองหลวงมาได้”

ใบหน้าของกุ้ยไท่เฟยเหมือนถูกบดขยี้ นางถามอย่างสิ้นหวัง “เขาเป็นน้องชายของเจ้านะ เจ้าต้องโหดร้ายถึงเพียงนี้เชียวหรือ?”

“เมื่อเทียบกับสิ่งที่เสด็จแม่และเขาทำ ถือว่าลูกมีเมตตามากแล้ว หากลูกใช้กลอุบายเช่นเดียวกับพวกท่าน วันนี้ท่านก็คงจะไม่ได้มายืนพูดคุยกับข้าที่นี่ แล้วเขาเองก็คงไม่อาจอยู่ที่ดินแดนทางใต้เป็นอ๋องหนานหวายผู้สง่างามได้หรอกพ่ะย่ะค่ะ”

กุ้ยไท่เฟยยิ้มเย้ยหยัน และหันไปมองที่ป้าซือจู “เจ้าบอกว่าถ้าข้าง้อเขา เขาก็จะให้อภัย ดูท่าทางแล้ว เจ้าคงจะมองเขาผิดไป”

ป้าซือจูกล่าวเบา ๆ “กุ้ยไท่เฟยไม่ได้ง้อนะเพคะ”

“ใช่หรือ?” กุ้ยไท่เฟยโกรธจนปากสั่น “วันนี้ที่ข้าเข้าไปขอพระราชทานอนุญาต ความอัปยศเช่นนี้ ยังไม่ถือเป็นการง้ออีกหรือ?”

ป้าซือจูส่ายหัว “กุ้ยไท่เฟยเพคะ ตราบใดที่ท่านยังคิดว่าเขาเป็นบุตรของท่าน ฟ้าหลังฝนย่อมสวยงามเสมอ และจะช่วยลบล้างเรื่องไม่น่ายินดีที่ผ่านมาแล้วนะเพคะ”

“ไม่จำเป็นแล้ว ระหว่างข้ากับเขา ความสัมพันธ์ฉันแม่ลูกได้ตายจากไปแล้ว” กุ้ยไท่เฟยหันหลังทและจากไปอย่างเด็ดเดี่ยว

ป้าซือจูลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ไล่ไปตามทางที่มู่หรงเจี๋ยเดินหายไป

“ท่านอ๋อง โปรดรอสักประเดี๋ยว!”

มู่หรงเจี๋ยหันกลับมา “ท่านป้ามีเรื่องอันใดหรือ?”

ป้าซือจูกล่าวเสียงค่อย “ท่านอ๋องของข้า กุ้ยไท่เฟยรู้ว่าตนเองผิดพลาดไปแล้ว ท่านจะ…”

ป้าซือจูรู้สึกพูดไม่ออก เพราะดูเหมือนนางจะลังเลใจอยู่ แต่นางก็หวังว่าสถานการณ์จะไม่พัฒนาไปในทิศทางที่นางไม่ต้องการ

มู่หรงเจี๋ยจ้องไปที่ป้าซือจู “ดูเหมือนว่าปีนี้ท่านป้าจะอายุได้ห้าสิบกว่าได้แล้ว ใช่หรือไม่?

“หกสิบแล้วเพคะ” ป้าซือจูยิ้มเจื่อน ๆ “ผมขาวแล้วแต่ก็ย้อมด้วยสีดำ”

“ท่านป้าอายุมากแล้ว อาจจะถึงเวลาต้องกลับบ้านเกิดของท่านเสียที” มู่หรงเจี๋ยพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

ป้าซื่อจูส่ายหัว “ชั่วชีวิตนี้ของบ่าว เกรงว่าจะจากกุ้ยไท่เฟยไปไม่ได้ เคยชินกับการอยู่เคียงข้างแล้วเพคะ”

“คนเราจึงต้องเรียนรู้ที่จะเปลี่ยนแปลง”

ใบหน้าของป้าซือจูแลดูผิดหวังเล็กน้อย นางคิดที่จะจากไปหลายครั้งหลายคราแล้ว แต่ว่าจะปล่อยวางมันได้จริงเหรอ?

นางอยู่กับคุณหนูมาทั้งชีวิต ตั้งแต่ยังเป็นเด็กสาวจนเข้าวังมา และจนถึงการสิ้นพระชนม์ขององค์จักรพรรดิพระองค์ก่อน ชีวิตนี้ยาวนานมาก แต่ตอนนี้เมื่อลองนึกย้อนกลับไป มันก็ล่วงเลยผ่านมาในชั่วพริบตาเดียว

นางก็ยังคงส่ายหัว “ไม่ไปไหนแล้วเพคะ บ่าวจะตายที่จวนแห่งนี้ ตายแล้วจะได้กลับชาติมาเกิดใหม่”

นางคิดไม่ถึงเลยว่า คำพูดบางคำที่เป็นคำทำนายที่ชั่วร้ายมันจะกลายเป็นจริง

นางคุกเข่าลง “ตลอดชีวิตของป้าไม่เคยอ้อนวอนท่านอ๋องเลย แต่ว่าครั้งนี้ป้าอยากจะขอร้องท่าน เห็นกับที่นางเป็นแม่ของท่าน ไม่ว่านางจะทำสิ่งใด ก็อย่าได้พรากชีวิตของนางไปเลย ป้าของร้องท่านล่ะ”

“นางจะทำอะไร?” มู่หรงเจี๋ยเห็นบางอย่างจากใบหน้าของป้าซือจู

“ไม่มีอะไร ไม่มีอะไรทั้งนั้น” ป้าซือจูยิ้มเศร้า ๆ “ท่านอ๋องดูแลตัวเองด้วยนะเพคะ!”

นางยืนขึ้นและมองดูมู่หรงเจี๋ยผู้สง่างามที่อยู่เบื้องหน้า นางจำได้ว่าเมื่อตอนที่เขายังเด็ก เขาชอบที่จะโอบกอดนางไว้เสมอ นึกถึงตอนที่เขาเกิด ใบหน้ายิ้มแย้มที่ยับย่นนั้น ที่ครั้งหนึ่งเคยมีชีวิตที่อ่อนโยนสวยงาม นางโอบกอดเขาไว้อ้อมแขน มาบัดนี้เด็กน้อยคนนั้นได้กลายเป็นผู้ใหญ่แล้ว เติบโตได้อย่างที่นางต้องการให้เป็น

“ชั่วชีวิตนี้ของป้า ป้าภูมิใจในตัวของท่านจริง ๆ” เมื่อป้าซือจูพูดจบ ก็มองเขาอย่างลึกซึ้ง แล้วหันหลังเดินจากไป