บทที่ 110 เรื่องตลกโปกฮา
เฟิ่งชิงเฉินถือเข็มไปปักลงบนนิ้วทั้งสิบของหมอหลวงหยวนจนมีเลือดออกมา ต่อหน้าฝูงชนที่กำลังยืนลุ้น
หลังจากนั้นก็ออกแรงดึงหูหมอหลวงหยวนจนหูแดงระเรื่อ แล้วจึงปักเข็มลงบนติ่งหูข้างละ 1 เข็ม เมื่อมีเลือดไหลแล้วจึงดึงเข็มออกมา
ปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยีมองด้วยความสงสัย ท่าทางของเขาเหมือนกำลังรอการอธิบายจากเฟิ่งชิงเฉินอยู่ แต่เฟิ่งชิงเฉินก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ นางได้แต่ทำการรักษาอย่างจริงจัง
วิธีช่วยชีวิตที่ต้องหลั่งเลือดวิธีนี้เป็นการปฐมพยาบาลโรคหลอดเลือดสมอง ผลลัพธ์ไม่เลวเลยทีเดียว
เมื่อเห็นภาพเหตุการณ์ตรงหน้าแล้ว เสียงซุบซิบทั้งหลายก็เงียบลงในทันที แต่ละคนจ้องมองเฟิ่งชิงเฉิน ราวกับว่าไม่เคยรู้จักเฟิ่งชิงเฉินมาก่อน
ซึ่งก็เป็นเรื่องจริง คนพวกนี้ไม่เคยรู้จักเฟิ่งชิงเฉินมาก่อนเลย พวกเขาได้แต่ฟังคำเล่าลือ
ในช่วงเวลานี้ ข่าวคราวเกี่ยวกับเฟิ่งชิงเฉินมีสารพัดรูปแบบ เมื่อข่าวหนึ่งซาลง ก็มีข่าวใหม่ออกมาเป็นประเด็นร้อนในทันที
แต่ข่าวลือก็คือข่าวลือ เมื่อฝูงชนได้เห็นเฟิ่งชิงเฉินทำการรักษาหมอหลวงหยวนเช่นนั้นแล้ว ทัศนคติของหลายๆคนก็เปลี่ยนไป
โต้ตอบความชั่วร้ายด้วยความดี คนเช่นนี้จะเลวได้อย่างไร?
ท่ามกลางฝูงชนจำนวนมาก คนบางคนก็ก้าวเท้าถอยหลัง พวกเขารู้ตัวว่าจะไม่มีโอกาสแล้วจึงคิดจะหลบหนี
อวี่เหวินหยวนฮั่วหันไปส่งสายตาให้กับองครักษ์ในทันที องครักษ์ที่ยืนอยู่ข้างหลังจึงเข้าไปจับกุมกลุ่มคนดังกล่าวอย่างแนบเนียน โดยไม่ทำให้ฝูงชนต้องแตกตื่น
หลังจากได้หลั่งเลือดออกมาแล้ว อาการของหมอหลวงหยวนก็ดีขึ้น อย่างน้อยเขาก็หายปากเบี้ยวแล้ว สีหน้าก็ดูดีขึ้นกว่าเดิม
ปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยีพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ “ช่างยอดเยี่ยมจริงๆ วิธีของท่านหมอเฟิ่งช่างวิเศษยิ่งนัก”
เฟิ่งชิงเฉินกล่าวด้วยความปลาบปลื้ม “โชคดีที่ได้รับความช่วยเหลือจากท่านปรมาจารย์ มิฉะนั้นแล้วชิงเฉินเพียงคนเดียวคงจะจัดการไม่ได้ค่ะ”
เฟิ่งชิงเฉินวางตัวนอบน้อม พร้อมก้มหน้าคารวะปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยี
ในยุคสมัยที่ทุกคนให้ความสำคัญกับเรื่องวัยวุฒิ นางจะวางตัวยิ่งใหญ่มากไม่ได้ อีกอย่างวันนี้นางก็โดดเด่นมามากพอแล้ว อย่าให้นางต้องดูโดดเด่นมากไปกว่านี้เลย
“ท่านหมอเฟิ่งอย่าถ่อมตัวนักเลย ถึงแม้ไม่มีข้า ท่านหมอเฟิ่งก็รักษาได้อยู่แล้ว” ปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยีตอบรับน้ำใจอย่างเหมาะสม
ชื่อเสียงของผู้ที่เป็นหมอถือเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง หากชื่อเสียงถูกทำลาย จะมีผู้ป่วยมาจ้างให้รักษาได้อย่างไร
ไม่ต่างจากยุคปัจจุบัน หากใครมีปัญหาเกี่ยวกับการรักษา เส้นทางอาชีพเขาไม่มีวันเจริญรุ่งเรืองแน่นอน
ในสมัยโบราณ หมอเป็นอาชีพที่มีเกียรติ และคนที่เป็นหมอก็มีจำนวนไม่มากนักแม้จะรักษาคนไข้จนสิ้นใจ ผู้คนก็จะถือเสียว่าเป็นปัญหาของคนไข้ แต่หากเป็นยุคปัจจุบันคงไม่เป็นเช่นนี้
การถูกฟ้องในคดีทางการแพทย์ ไม่เพียงถูกเพิกถอนใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ แต่อาจต้องโทษจำคุกอีกด้วย
อาจารย์เคยบอกกับนางว่า เมื่อพวกคุณเลือกเส้นทางการเป็นแพทย์แล้ว ก็เท่ากับว่าเอาชีวิตไปเสี่ยงติดคุกแล้วครึ่งหนึ่ง การปฏิบัติงานในอนาคตจึงต้องระวังเป็นอย่างมาก เมื่อเจอผู้ป่วยที่ตนไม่มั่นใจว่าจะรักษาได้ ก็ปฏิเสธการรักษาไปเลยจะดีกว่า ดีกว่าต้องมาเสี่ยงคุกตะราง
“ขยับแล้ว ขยับแล้ว หมอหลวงหยวนขยับตัวได้แล้ว” ผู้คนที่ยืนดูอยู่ใกล้ๆ เมื่อมองเห็นหมอหลวงหยวนกระดิกนิ้วก็ร้องออกมาอย่างตื่นเต้น ทำราวกับว่าหมอหลวงหยวนเป็นญาติของตน
“ฟื้นแล้ว ฟื้นแล้วจริงๆด้วย”
“ท่านหมอเฟิ่งเก่งจริงๆ รักษาหมอหลวงหยวนจนฟื้นแล้ว”
“ข้าว่านะ ท่านหมอเฟิ่งช่างประเสริฐจริงๆ นางช่วยหมอหลวงหยวนโดยไม่คิดเล็กคิดน้อยเกี่ยวกับเรื่องราวที่ผ่านมา ถ้าหากเป็นข้านะ ข้าจะปล่อยให้เขาตายๆไปเสียเลย”
“เชอะ คนใจร้ายเช่นนี้ยังจะมาเป็นหมออีก ท่านหมอเฟิ่งช่างน้ำใจประเสริฐนัก”
จากการวิพากษ์วิจารณ์เรื่องของหมอหลวงหยวนในรูปแบบต่างๆ ดูเหมือนว่าวันนี้ชื่อเสียงของหมอหลวงหยวนจะกอบกู้คืนมายากเสียแล้ว
เฟิ่งชิงเฉินแอบหัวเราะเบาๆ นางไม่พูดอะไรออกมาเลย
นางไม่ได้หมายมั่นว่าคนเหล่านี้จะต้องยืนหยัดอยู่ฝ่ายนางไปตลอด ขอแค่ลบล้างคำครหาให้สิ้นซากก็พอแล้ว
หมอหลวงหยวนพยายามลุกขึ้นโดยมีทหารช่วยประคอง ใบหน้าเขาบวมแดง แววตาของเขาบ่งบอกถึงความอับอายและความรู้สึกละอายใจ
เฟิ่งชิงเฉินรู้ดีว่าฝ่ายตรงข้ามกำลังนึกเสียใจ แต่ทว่า?
นางไม่อาจใจอ่อนได้จริงๆ และทำใจปล่อยเขาไปไม่ได้เลย ด้วยเหตุนี้……
เฟิ่งชิงเฉินจึงกล่าวอย่างจริงจังว่า “หมอหลวงหยวน ข้าเป็นหมอ ไม่ใช่แม่พระ ข้ารักษาคนก็ต้องรับค่ารักษา ค่าฝังเข็มข้าคิด 10 ตำลึง ท่านไม่จ่ายก็ไม่เป็นไรนะ เพราะท่านไม่ได้ขอให้ข้ารักษาท่าน ข้าเป็นคนเลือกที่จะรักษาท่านเอง แต่แค่ครั้งนี้ครั้งเดียวนะ ข้า เฟิ่งชิงเฉินไม่ชอบติดค้างใคร และไม่ชอบให้ใครติดค้างข้าเช่นกัน”
หมอรักษาคนก็ต้องรับค่ารักษา ที่ไหนๆก็ทำกันเช่นนี้
เรื่องบุญคุณ บุญกุศลไม่ต้องเอามาพูดถึง ไม่มีผู้ใดใจดีจนละเว้นค่ารักษา หากเป็นครั้งสองครั้งก็ยังพอรับได้ แต่ถ้ามากเกินไปเห็นทีจะไม่ไหว
โปรดอย่ามองว่าคนเป็นหมอจะหน้าเลือด จะให้ทำอย่างไรได้ หัวหน้างานไม่ให้การสนับสนุน คนยากคนจนก็มีจำนวนมาก ค่ารักษาก็ช่างสูงเหลือเกิน หากเจอแบบนี้ก็ต้องให้การช่วยเหลือ หลายครั้งเข้าเงินเดือนหมอก็ไม่พอใช้จ่าย
การที่เฟิ่งชิงเฉินเลือกที่จะไปทำงานในโรงพยาบาลทหารก็เป็นเพราะเหตุนี้ ในโรงพยาบาลทหารไม่มีปัญหาคนไม่มีเงินจ่ายค่ารักษาพยาบาล
นางช่วยเหลือคนทุกคนไม่ไหว ดังนั้นไม่ต้องไปรู้เห็นเสียเลยจะดีกว่า
เดิมทีหมอหลวงหยวนก็กำลังซาบซึ้ง แต่หลังจากได้ยินเฟิ่งชิงเฉินกล่าวเช่นนี้แล้วก็ฉุนเฉียวขึ้นมาในทันที
“หมอหลวงหยวน ระวังสุขภาพหน่อยสิคะ ประเดี๋ยวอาการก็กำเริบอีกหรอก เดี๋ยวจะไม่ใช่แค่ 10 ตำลึงนะคะ” เฟิ่งชิงเฉินกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา ทั้งๆที่ในใจกำลังขุ่นเคืองหมอหลวงหยวน
“เฟิ่งชิงเฉิน เจ้ารอสักประเดี๋ยว เมื่อข้ากลับจวนแล้วจะให้คนนำเงินมาให้เจ้า ไม่ให้ขาดไปแม้แต่ตำลึงเดียว” หมอหลวงหยวนกล่าวด้วยความไม่พอใจ ก่อนจะหันหลังเดินจากไป
เขาไม่มีหน้ามายืนตรงนี้ต่อไปได้อีกแล้ว
เมื่อเดินออกจากวงล้อมทหารแล้ว เขาก็ถูกพวกชาวบ้านมาล้อมไว้ พร้อมกับชี้นิ้ววิพากษ์วิจารณ์กันยกใหญ่
ภายในวงล้อมของชาวบ้าน หมอหลวงหยวนทำอะไรไม่ได้เลย เขาจำต้องเผชิญหน้ากับการถูกตำหนิ แถมยังไม่อาจตอบโต้ได้ ยังดีที่มีคนจวนหยวนอยู่ด้วย พวกเขาฝ่าวงล้อมเข้ามาเพื่อช่วยพาเจ้านายของพวกเขาหนีไป
ภาพหมอหลวงหยวนที่กำลังหลบหนีอย่างหัวซุกหัวซุน ทำเอาเฟิ่งชิงเฉินอยากหัวเราะให้ดังลั่น
ให้ทุกข์แก่ท่าน ทุกข์นั้นถึงตัว!
แต่เมื่อนึกถึงหน้าตาตัวเองแล้ว เฟิ่งชิงเฉินก็ต้องรีบหุบยิ้ม ได้แต่แสยะยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย
อวี่เหวินหยวนฮั่วพยักหน้าให้นาง เป็นการสื่อความหมายว่าเรื่องราวในวันนี้คงไม่มีอะไรแล้ว ที่เหลือค่อยให้คนของตนมาจัดการ
เฟิ่งชิงเฉินพยักหน้า นางหันไปโค้งคำนับขอบคุณปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยี แล้วจึงโค้งคำนับไปทางประตูใหญ่ของจวนเฟิ่ง
“ผู้บริสุทธิ์ก็คือผู้บริสุทธิ์ ผู้ที่มัวหมองก็คือผู้ที่มัวหมอง ตลอดเวลาที่ผ่านมา คำครหาที่เกี่ยวข้องกับชิงเฉินมีมาไม่ขาดสาย ชิงเฉินไม่ต้องการอธิบายให้มากความ จะถูกหรือผิดใจคนเราย่อมรู้ดี ข้าเชื่อว่าทุกคนจะช่วยกันล้างมลทินให้กับเฟิ่งชิงเฉินและตระกูลเฟิ่งของข้าได้”
เมื่อนางพูดจบก็โค้งคำนับอีกครั้ง ก่อนจะหันหลังให้กับผู้คนที่จับตาดูนางอยู่ นางเดินกลับเข้าไปในจวนเฟิ่งอย่างภาคภูมิ
ทุกคนต่างนิ่งเงียบ ไม่มีผู้ใดพูดอะไรแม้แต่น้อย ฝูงชนได้แต่มองเฟิ่งชิงเฉินเดินจากไป
หมอคนอื่นๆที่เหลืออยู่ไม่กี่คน พวกเขาอยากชิงดีชิงเด่น แต่เมื่อเห็นจุดจบของหมอหลวงหยวนแล้ว ก็ได้แต่หดหัวในกระดอง
เฟิ่งชิงเฉินเดินกลับเข้าไปแล้ว แต่เรื่องราวไม่จบลงเพียงเท่านี้ ต่อมาก็เป็นเรื่องตระกูลหวัง เฟิ่งชิงเฉินไม่อาจประกาศสงครามกับผู้กระทำความผิดที่อยู่เหนือตนได้ แต่ตระกูลหวังสามารถทำเช่นนั้นได้
หวังซู่เดินออกมาด้วยสีหน้าถมึงทึง เขาประกาศชัดเจนว่าจะเอาเรื่องผู้ที่มาหยามหมิ่นคนของตระกูลหวัง โดยจะไม่ปรานีแม้แต่น้อย
เมื่อเขาพูดจบ ก็เดินแหวกฝูงชนกลับไปที่จวนหวังด้วยท่าทางน่าเกรงขาม
บ่าวไพร่ในจวนหวังทราบข่าวเรียบร้อยแล้ว พวกเขาเตรียมเปิดประตูต้อนรับนายท่านใหญ่ของจวนหวังด้วยความปลาบปลื้มใจ
ช่างเหมือนเรื่องเล่าที่ตลกโปกฮา เปิดฉากมาด้วยเรื่องราวสะท้านโลก และจบลงอย่างหักมุม ทุกคนรู้จุดเริ่มต้นแล้ว แต่ไม่มีผู้ใดคาดการณ์ตอนจบได้……