บทที่ 111 สั่งสอนข้ารับใช้ตระกูลจ้าว

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

บทที่ 111 สั่งสอนข้ารับใช้ตระกูลจ้าว
ภายใต้การจัดการของตระกูลหวังนั้น ก็ได้ส่งคนไปรายงานยังพระราชวังในทันทีว่า เฟิ่งชิงเฉินสามารถรักษาโรคตาของหวังจิ่นหลิงให้หายขาดได้แล้ว
มิรู้ว่าชื่อเสียงของเฟิ่งชิงเฉินนั้น จะเริ่มดีขึ้นมาหรือยัง แต่ทว่าทั้งเฟิ่งชิงเฉินและตระกูลหวังเอง ต่างก็พ้นข้อกล่าวหาเรื่องที่พวกเขาเป็นคนโกหกหลอกลวงไปได้แล้ว
หลังจากที่ฮองเฮาทราบเรื่องราวนั้น ก็พลันปิดตำหนัก อ้างว่าพระนางประชวรจะไม่ออกจากตำหนักเป็นเวลาครึ่งเดือน
องค์หญิงอันผิงทั้งดีใจและโมโหไปในคราเดียวกัน พระนางในยามนี้คล้ายกับตัวเม่นก็มิปาน หากผู้ใดเข้ามาใกล้ ล้วนแต่จะพยายามสลัดขนแหลม ๆ ใส่
เมื่อเสด็จอาเก้าได้ยินเช่นนั้น ก็พลันพยักหน้าเล็กน้อย พร้อมกล่าวว่า “โตขึ้นมาแล้วสินะ” อีกทั้งยังมิพูดอันใดให้มากความ พลันกล่าวกับอวี่เหวินหยวนฮั่วว่า ให้เขาเก็บพวกที่จับมาได้เอาไว้ ทั้งยังฝากไปบอกกับเฟิ่งชิงเฉินด้วยว่า ให้เรื่องสิ้นสุดเพียงเท่านี้
หากว่าถึงตามลักษณะนิสัยของเฟิ่งชิงเฉินแล้วนั้น นางย่อมมิยอมรามือแต่เพียงเท่านี้เป็นแน่ นางต้องการจะรู้เรื่องของซุนยี่จิ่น ไม่ว่าจะเกี่ยวข้องกับนางมากหรือน้อยก็ตาม
ทว่า สิ่งที่เสด็จอาเก้ากล่าวออกมานั้น เฟิ่งชิงเฉินที่ได้ฟังหาได้เอ่ยอันใดอีกไม่ เพียงพยักหน้ารับคำว่า จะทำตามที่กล่าว
เสด็จอาเก้าช่างแตกต่างเสียจริง!
ตรงกันข้ามกับความยินดีปรีดาของตระกูลหวัง ผู้ที่เป็นตัวตั้งตัวตีในเรื่องนี้ เช่นเฟิ่งชิงเฉิน กลับมีสีหน้าที่เศร้าใจยิ่งนัก ใบหน้าที่ฉายแววโศกเศร้า พร้อมทั้งทั่วร่างที่มีผิวขาวซีด พลันทำให้ตระกูลเฟิ่งตกอยู่ในความโศกเศร้าไปในทันที
หลังจากที่กล่าวคำฝากฝังกับโจวสิงไปสองสามคำแล้วนั้น เฟิ่งชิงเฉินก็พลันมุ่งหน้าไปที่จวนตระกูลซุน
สามวันแล้ว ในที่สุด นางก็สามารถไปกราบซุนยี่จิ่นได้เสียที!
เฟิ่งชิงเฉินมิรู้ว่า สาเหตุการตายของซุนยี่จิ่นนั้น ทางตระกูลซุนคิดเห็นเช่นไรกันบ้าง แต่นางรู้ดีว่า หากตระกูลซุนจักกล่าวหาว่านางเป็นฆาตกรนั้น นางก็มิอาจมีข้อโต้เถียงอันใดได้
เมื่อได้ยินว่าเฟิ่งชิงเฉินจะไปที่ตระกูลซุนนั้น ทั้งหวังฉีและอวี่เหวินหยวนฮั่วพลันกล่าวว่าจะไปพร้อมกับนางด้วย
ที่พวกเขาไปกับเฟิ่งชิงเฉินนั้น ก็เพื่อจะเป็นกองกำลังหลังให้กับนาง เผื่อว่าตระกูลซุนคิดจะรังแกนางเช่นไร พวกเขาจักได้ยื่นมือเข้าไปช่วยได้
เฟิ่งชิงเฉินเข้าใจความหมายของพวกเขาทั้งสองเป็นอย่างดี นางจึงพยักหน้าเล็กน้อยมิได้โต้แย้งออกไปแต่อย่างใด
นางเป็นหนี้กับซุนยี่จินหาใช่ตระกูลซุนไม่
ถึงแม้ว่าตระกูลซุนจะมิได้มีเส้นสายมากมายเช่นตระกูลหวังและตระกูลเซี่ย ถึงอย่างไรก็นับว่าเป็นตระกูลที่มีชื่อเสียงอีกตระกูลหนึ่ง แม้ว่าในยามนี้จะตกอยู่ในความซึมเศร้า ข้ารับใช้ทั้งหลายต่างมีสีหน้าซีดเผือด พร้อมทั้งเดินไปมาด้วยความยุ่งวุ่นวาย
แม้ว่าเฟิ่งชิงเฉินจะมิรู้ว่าเกิดอันใดขึ้น แต่นางรู้ดีว่า เรื่องบางเรื่องก็ไม่ควรถามมากไปนัก นางจึงหันไปมองหวังฉีและอวี่เหวินหยวนฮั่วด้วยสายตาที่ไม่ค่อยเข้าใจ ทั้งสองคนก็ได้แต่ส่ายหน้าไปมากลับมาให้นางในทันที
สามวันที่ผ่านมานั้น พวกเขาล้วนแต่ถูกปิดตายอยู่ในจวนตระกูลเฟิ่ง จะไปรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นด้านนอกได้อย่างไรกัน
ข้ารับใช้พลันพาแขกทั้งสามมานั่งรออยู่ภายในห้องโถงเรือนรับรอง รอได้ประมาณครึ่งชั่วยามนั้น ก็ยังมิเห็นตระกูลซุนคนใดจะออกมาต้อนรับพวกเขาเลยแม้แต่น้อย
“เกิดอะไรขึ้นกับตระกูลซุนกัน?” หวังชีพลันกล่าวออกมาด้วยท่าทีไม่สบอารมณ์เท่าใดนัก
ถ้าหากว่าเฟิ่งชิงเฉินมาเพียงผู้เดียว และตระกูลซุนให้นางรั้งรอเช่นนี้ก็ยังพอจะเข้าใจได้ ทว่า ในยามนี้ยังมีทั้งเขาและอวี่เหวินหยวนฮั่วมาด้วยกันอีก ตระกูลซุนกล้าให้พวกเขามานั่งรอเชียวหรือ ดูจะผิดปกติเกินไปนัก
“รออีกสักหน่อยเถิด บางทีอาจจะเกิดเรื่องอันใดขึ้นมาก็เป็นได้”
เมื่อเฟิ่งชิงเฉินพูดจบ ก็พลันได้ยินเสียงทุบข้าวของพร้อมกับเสียงกรนด่าสาปแช่งดังออกมาจากลานบ้าน
สีหน้าของเฟิ่งชิงเฉินพลันมืดครึ้มไปในทันที พร้อมทั้งสีหน้าเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว
ผู้ใดกันแน่ ที่กล้าส่งเสียงดังในยามไว้ทุกข์ให้กับซุนยี่จิ่นเช่นนี้ ตระกูลซุนมิใช่ตระกูลที่มีชื่อเสียงหรอกหรือ เหตุใดถึงมิรู้กฏระเบียบได้กัน
ไม่ช้า เฟิ่งชิงเฉินก็พลันเข้าใจเหตุการณ์ได้ในทันที ผู้ที่ก่อปัญหาในยามนี้ ก็คือคนของตระกูลจ้าวที่ตระกูลซุนกำลังหมั้นหมายกันอยู่
ตระกูลจ้าวมาถึงประตูจวนเช่นนี้ ก็เพื่อต้องการมาถอนหมั้นพร้อมทั้งขอของหมั้นคืน
“ตระกูลจ้าวทำเกินไปแล้ว” หวังชีพลันตบโต๊ะด้วยความโมโห
ในยามนี้ เขาหาได้คิดเล็กคิดน้อยที่ตระกูลซุนทำให้เขาต้องรอนานอีกไม่
“ทำเกินไปจริง ๆ รังแกผู้คนมากเกินไปแล้ว ซุนยี่จิ่นเพิ่งจะจากไปได้ไม่นาน ยังมิพ้นถึงเจ็ดวันเลย พวกเขาก็มาก่อเรื่องถึงที่ ช่างไม่เห็นผู้อื่นอยู่ในสายตาเลย ข้าจะออกไปดูสถานการณ์เสียหน่อย” เฟิ่งชิงเฉินพลันหันหน้ามาหาอวี่เหวินหยวนฮั่ว พลางมุ่งหน้าออกไปในทันที
เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกผิดต่อซุนยี่จิ่นยิ่งนัก ถึงแม้ นางจะรู้ดีว่า ไม่ว่าจะทำเช่นไร นางก็ไม่สามารถนำชีวิตของซุนยี่จิ่นกลับคืนมาได้ แต่ทว่า นางก็อยากจะพยายามลองดูอีกสักครั้ง
“หยุดมือ”
เฟิ่งชิงเฉินพลันกระโจนเข้าไป ก็พลันเห็นข้ารับใช้ตระกูลจ้าว กำลังใช้ไม้ทุบตีไปที่ข้ารับใช้ตระกูลซุน ข้ารับใช้ของตระกูลซุนส่วนใหญ่ล้วนแต่ล้มลงด้วยความเจ็บปวด
“หยุดมือ? เจ้าเป็นตัวอะไรกัน? ถึงได้กล้าเข้ามายุ่งเรื่องของตระกูลจ้าวได้?”
ข้ารับใช้ตระกูจ้าวหาได้หยุดมือไม่ อีกทั้งยังลงมือรุนแรงมากกว่าเดิมอีกเป็นเท่าตัว พลางก้าวเดินออกมาด้านหน้า พร้อมทั้งยื่นไม้เท้าออกมาเชิงจะฟาดเข้าไปที่หัวของเฟิ่งชิงเฉิน
เฟิ่งชิงเฉินที่มีการเตรียมพร้อมรออยู่แล้ว จึงย่อตัวลงเล็กน้อย พร้อมทั้งก้าวไปด้านหน้า พลางยกมีดผ่าตัดเล่มเล็กในมือแทงเข้าไปที่หน้าอกในทันที โดยที่มิได้กระพริบตา เลือดพลันพุ่งกระฉูดออกมาในทันที เฟิ่งชิงเฉินจึงได้ฉวยโอกาสนำไม้จากคู่ต่อสู้เอามาเป็นของตนเอง
“อ๊าก ฆ่าคน ฆ่าคนแล้ว ตระกูลซุนฆ่าคนแล้ว”
“ฆ่าคนหรือ? ได้ ข้าจะยอมรับข้อกล่าวหานี้เอง” เฟิ่งชิงเฉินพลันหยิบไม้ขึ้นมา พร้อมทั้งทุบตีไปที่ข้ารับใช้ตระกูลจ้าวในทันที
แต่เดิม พวกข้ารับใช้ของตระกูลจ้าวต้องการจะโต้กลับ ทว่า เมื่อเห็นหัวหน้ากลุ่มโยนไม้ทิ้งนั้น ผู้คนที่เหลือก็ได้แต่ทำอย่างช่วยไม่ได้ เกรงว่าพวกเขาต้องการที่จะใส่ร้ายตระกูลซุนกระมัง
ความคิดเล็กน้อยเช่นนี้นะหรือ จะสามารถหลบสายตาเฟิ่งชิงเฉินพ้น
ต้องการที่จะทำให้มันเป็นเรื่องใหญ่ใช่หรือไม่?
ได้ ข้าจะทำให้พวกเจ้าไก่ก็หนี ไข่ก็แตกในทันที
ในเมื่อ ฝ่ายตรงข้ามต้องการให้นางทุบตีพวกเขา เช่นนั้น นางก็จะมิอ่อนข้อให้เช่นกัน
กระทำการตบตีท่านหมอคงจะมิใช่คนดีเท่าไหร่กระมัง แต่อย่างไร นางก็มีข้อได้เปรียบในการเข้าใจร่างกายของมนุษย์มากกว่าพวกเขา การลงมือย่อมได้ผลถึงเจ็ดส่วน
เฟิ่งชิงเฉินจึงเลือกส่วนที่เจ็บปวดที่สุดในการลงมือ อีกทั้งยังเลือกจุดที่บาดเจ็บเป็นจุดอับสายตาอีกด้วย เพียงแค่ตีลงไป ท่านหมอที่ใช้สายตาในการประเมินอาการคนไข้เลย อย่างไรพวกเขาย่อมไม่อาจหาหลักฐานอาการบาดเจ็บมาได้แน่
ข้ารับใช้ตระกูลจ้าวแสร้งทำทีตะโกนออกมาไม่กี่คำ ทว่า ยามที่ถูกเฟิ่งชิงเฉินทุบตีลงไปจริง ๆ นั้น ก็พลันอดไม่ได้ที่จะต้องร้องโอดครวญออกมา
“ไอ๊หยา ข้าเจ็บยิ่งนัก”
“สตรีหน้าเหม็นผู้นี้เป็นผู้ใดกัน? พี่น้องเราลุกขึ้น ลุกมาจัดการแม่นี่กันเถอะ”
อันธพาลตระกูลจ้าวทั้งหลาย ทุกคนล้วนแต่ล้มลงกับพื้นไปทีละคนในทันที เหลือไว้แต่เพียงชายคนที่โดนมีดผ่าตัดแทงเข้าไปที่หน้าอก คนอื่นล้วนแต่มองไม่เห็นอาการบาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย
“อยากลุกขึ้นงั้นหรือ? ข้าจัดให้” เฟิ่งชิงเฉินพลันเดินไปยังข้างกายของหัวหน้ากลุ่มอันธพาลในทันที พร้อมทั้งยกเท้ากระทืบลงไปที่หน้าอก
เพียงแค่ได้ยินเสียงปั๊ก กระดูกก็พลันหักในทันที
“อุ๊ก” หัวหน้ากลุ่มอันธพาลพลันส่งเสียงออกมา สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นขาวซีดพร้อมทั้งเหงื่อเม็ดใหญ่ค่อย ๆ ไหลออกมาเต็มหน้าผาก พลางกุมหน้าอกตัวเองไว้ โดยมิอาจเอ่ยสิ่งใดออกมาได้
การกระทำที่รุนแรงเช่นนี้ อย่าได้เอ่ยถึงคนเลย แม้แต่หมูก็ยังตกใจตื่นขึ้นมาได้
หวังชีและอวี่เหวินหยวนฮั่วที่ตามเฟิ่งชิงเฉินมาตั้งแต่แรกนั้น แต่เดิมพวกเขายังเป็นกังวลว่าเฟิ่งชิงเฉินจะเสียเปรียบพวกตระกูลจ้าวได้ แต่ในยามนี้ เกรงว่าจะเป็นคนของตระกูลจ้าวเองกระมัง ที่ต้องพ่ายแพ้ไป
“ข้าได้ยินมาว่า ยามที่นางกลับมาจากนอกเมืองในวันแต่งงานนั้น นางได้ทำการทุบตีไปยังตรงนั้นของบุตรชายจิงจ้าวฝู่ ดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องจริง” หวังชีพลันเช็ดเหงื่อที่ไหลออกมาบนหน้าผากเล็กน้อย
หวังชีได้ยินแต่กิตติศัพท์ความกล้าหาญของเฟิ่งชิงเฉินมาโดยตลอด จึงมักจะคิดว่า มันเป็นเพียงแค่ข่าวลือเท่านั้น เมื่อได้ดห็นเหตุการณ์ในวันนี้ เขาจึงเข้าใจได้ในทันทีว่า ข่าวลือพวกนั้นหาใช่เรื่องไม่มีมูลความจริงไม่
อวี่เหวินหยวนฮั่วพลันตบลงไปที่บ่าของหวังชีเบา ๆ “คุ้นชินก็ดีแล้ว ข้ายังเคยได้เห็นฉากที่ยิ่งกว่าความกล้าหาญและแข็งแกร่งของนางมากกว่านี้เสียด้วยซ้ำไป”
“ยิ่งกว่าความกล้าหาญและแข็งแกร่งหรือ? เฟิ่งชิงเฉินหรือ? เร็ว รีบเล่าให้ข้าฟังเสีย” ที่แท้ หวังชีก็เป็นเพียงบุรุษผู้ชอบซุบซิบเรื่องของชาวบ้าน
อวี่เหวินหยวนฮั่วคร้านจะสนใจหวังชี สายตาทั้งคู่พลันจับตามองไปยังไม้ของเฟิ่งชิงเฉิน
เขารู้สึกได้ว่า เฟิ่งชิงเฉินหาได้ทุบตีโดยไร้จุดประสงค์ไม่ ถึงแม้จะดูเหมือนว่านางจะตีฝ่ายตรงข้ามไปมั่วซั่ว ทว่า แรงเพียงเล็กน้อย กลับทุบตีเสียจนชายฉกรรจ์ล้มลงไปกองกับพื้นทั้งหมดได้นั้น
ฝ่ายตรงข้ามเสแสร้งแกล้งทำหรือไม่ อวี่เหวินหยวนฮั่วย่อมมองออก
แกล้งทำหรือ? แม้ว่าฝ่ายตรงข้ามจักจงใจแกล้งทำ แต่เฟิ่งชิงเฉินเองก็ย่อมสามารถทำเรื่องเท็จให้เป็นเรื่องจริงได้เช่นกัน
เฟิ่งชิงเฉินหาใช่คนที่จะรู้จักเสียเปรียบคนไม่ เกรงว่าในใต้หล้านี้ นอกจากเสด็จอาเก้าแล้ว คงจะไม่มีผู้ใดปราบสตรีผู้นี้ได้ลงกระมัง
เฟิ่งชิงเฉิน สตรีของเสด็จอาเก้า?
อวี่เหวินหยวนฮั่วเมื่อขบคิดดูแล้วนั้น ก็พลันรู้สึกว่าอาจจะเป็นไปได้ เขาจึงมองไปยังเฟิ่งชิงเฉินด้วยสายตาที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย
การต่อสู้แย่งชิงบัลลังค์ในราชสำนัก คงจะเริ่มดุเดือดขึ้นแล้วกระมัง ถ้าหากว่าเขาจักต้องเลือกข้างจริง ๆ อวี่เหวินหยวนฮั่วย่อมต้องยืนอยู่ข้างเสด็จอาเก้าอย่างไม่ต้องสงสัย ทว่า เฟิ่งชิงเฉินย่อมต้องเป็นคนกลางถึงจะดี