กลับโลก
ในตอนนั้นเองเสียงกระแอ่มก็ได้ดังออกมา
จางมัลดงกำลังยืนมองอยู่ไกลๆที่หน้าประตู
“ดูเหมือนตอนนี้จะเงียบลงไปมากแล้วนะ… ฉันเข้าไปได้ไหม?”
“อ่า ค่ะ ได้ค่ะ!”
ซอยูฮุยได้รีบผละออกจากซอลจีฮู และรีบหลบออกไปเหมือนกับภรรยาที่ถูกพ่อตาจับได้
เทเรซ่ากับโชฮงที่รู้สึกค่อนข้างจะพอใจก็ยังออกไปเช่นกัน
“ฉันไม่ได้หมายความแบบนั้น”
จางมัลดงได้นั่งลง และถอดเสื้อคลุมออกมา
ซอลจีฮูได้ยิ้มทักทายขึ้น
“ผมดีใจที่อาจารย์มานะครับ”
“ฉันก็ด้วย นายรู้ไหมว่ากว่าจะเข้ามาได้มันยากขนาดไหน”
เมื่อจางมัลดงได้บ่นเบาๆ ซอลจีฮูก็รู้สึกเห็นด้วยกับเขา
“จริงด้วย พวกเขากรูกันเข้ามาในตอนที่อาจารย์ดึงเข็มออกนี่นา”
“แล้วร่างกายนายเป็นยังไงบ้างล่ะ?”
“ก็ไม่เป็นไรมากครับ ระดับร่างกายของผมลดลงไป แต่ว่ามันบอกเอาไว้ว่าแค่ชั่วคราว แล้วก็จะฟื้นคืนกลับมาหลังจากหายดีแล้ว”
“ดีใจที่ได้ยินแบบนั้นนะ”
ท่าทีการพูดของจางมัลดงค่อนข้างจะห้วนๆ แต่ว่าเมื่อนึกถึงสิ่งที่โชฮงพูดกับตัวเองในตอนที่เขาหมดสติอยู่ ซอลจีฮูก็ยิ้มออกมา
หลังจากเงียบอยู่สักพัก จางมัลดงก็พูดขึ้น
“ฉันมั่นใจ่ว่าตอนนี้นายคงเบื่อจะฟังแล้ว… แต่ว่าทำได้ดีมาก ชัยชนะที่หุบเขาอาร์เดนเป็นความสำเร็จที่ควรค่าจะยกย่องให้เป็นตำนานเลย นายทำได้เยี่ยมมาก”
“ฮ่าฮ่า ตำนานหรอครับ? ชมผมเกินไปแล้ว”
“ฉันพูดจริงๆ นับตั้งแต่เจ็ดกองทัพถูกสร้างขึ้นก็ไม่เคยมีความสำเร็จแบบนี้เกิดขึ้นมาก่อนเลย หากว่านี่ไม่นับเป็นตำนาน แล้วถ้างั้นจะมีอะไรเป็นตำนานได้อีก”
“ถึงตอนนี้ความร้อนแรงของข่าวจะลดลงไปหน่อยแล้ว แต่ว่าทั้งพาราไดซ์ก็ยังคงพูดถึงเรื่องของนายเมื่อสามเดือนก่อน แม้กระทั่งเด็กเล็กๆก็น่าจะรู้จักชื่อนายด้วยซ้ำไป ไม่ใช่แค่ชาวพาราไดซ์กับชาวโลกเท่านั้นนะ แต่ว่าสหพันธรัฐกับปรสิตก็ด้วย”
เมื่อดูจากความนิ่งของจางมัลดงแล้ว มันดูไม่เหมือนว่าเขาจะมาที่นี่เพื่อชมชายหนุ่มเลย ขณะที่ซอลจีฮูยังไม่มั่นใจ เขาก็รู้สึกเหมือนกับว่าจางมัลดงจะมาเพราะอีกเรื่องหนึ่ง
เขาเข้าใจผิดคิดไปว่าน้ำเสียงของจางมัลดงดูกังวลมากๆเลยหรือเปล่านะ
…ถึงยังไงมันก็คือเรื่องของผู้บัญชาการกองทัพที่ถูกกำจัดไปด้วยน้ำมือของนักรบระดับ 4 นี่นา
และผู้บัญชาการกองทัพที่หนึ่งก็เป็นหนึ่งในผู้บัญชาการที่แข็งแกร่งมากอีกด้วย
เมื่อนับเรื่องทั้งหมดนี้มารวมกัน ซอลจีฮูก็ไม่รู้เลยว่ามันจะกลายเป็นผลลัพธ์อะไรย้อนกลับมาหาเขา
‘มันจะดีหรือว่าแย่กันนะ’
“ฉันไปก่อนนะ”
จางมัลดงได้ลุกขึ้นจากที่นั่ง ซอลจีฮูได้เบิกตากว้างขึ้น
“อาจารย์จะไปแล้วหรอ?”
“ไม่ต้องพูดแล้วน่า ฉันเห็นความเหนื่อยล้าในดวงตานาย”
จางมัลดงได้หัวเราะขึ้นมา
“ฉันล้อเล่น ฉันรู้ว่าร่างกายนายยังไม่ได้หายดี แต่ว่าฉันก็อยากจะมาดูแล้วก็พูดอะไรบางอย่าง”
“…อาจารย์!”
ซอลจีฮูได้รีบหยุดจางมัลดงที่กำลังหันหน้าไปเอาไว้
เมื่อจางมัลดงหันกลับมาพร้อมกับสายตาที่สื่อว่า ‘มีอะไรงั้นหรอ?’ ภายในดวงตาของซอลจีฮูก็มีประกายความขัดแย้งกันขึ้นมาอย่างรุนแรง
มันไม่ใช่ว่าเขาลืม เขาก็แค่ฝังความคิดเอาไว้ในส่วนลึกของจิตใจเท่านั้นเอง
เขาไม่รู้ว่าคนอื่นๆลืมกันไปแล้ว หรือว่าพวกเขาตั้งใจไม่พูดถึงกันแน่ แต่ว่าซอลจีฮูก็อย่างจะโพล่งสิ่งที่เก็บเอาไว้ในใจออกมา
อย่างน้อยที่สุดก็คือการพูดมันกับจางมัลดง
“เป็นเรื่องของ… อาจารย์เอียน…”
สีหน้าจางมัลดงได้ชะงักไปเล็กน้อย แต่ว่ามันก็เท่านั้น
“ใช่แล้วล่ะ”
เขาได้ยิ้มออกมา
“เข้าใจแล้ว”
จากนั้นก็พูดออกมาอย่างสงบ
‘อย่างที่คิดเลย!’
หัวใจของซอลจีฮูได้ดิ่งลงไปทั้งๆที่เขาก็คิดเอาไว้แล้ว ริมฝีปากของเขาได้บิดเบี้ยวขึ้นมา
“ผมขอโทษ”
“…อะไรล่ะ?”
เพราะดูเหมือนว่าจางมัลดงกำลังถามว่าเขาขอโทษเรื่องอะไร เพราะงั้นซอลจีฮูก็ได้พูดต่อออกมาเบาๆ
“เพราะผม… อาจารย์เอียนถึงได้จากไป เพื่อปกป้องผม…”
จางมัลดงได้ก้มหน้าลง หลับจากหลับตา เขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอยู่พักหนึ่ง
“ไอ้หมอนั่น… เขาพูดอะไรก่อนจะจากไปล่ะ?”
จากนั้นเขาก็พูดต่อโดยไม่ให้โอกาสซอลจีฮูได้ตอบกลับเลย
“เขาได้บอกว่าเขาเสียใจไหม?”
จากนั้นเขาก็ส่ายหัวออกมา
“เขาคงไม่ได้ทำสินะ ยังไงแล้วคติของหมอนั่นก็คือ ‘ไม่ทำอะไรที่จะทำให้ตัวเองเสียใจ’ นั่นแหละคือสิ่งที่ฉันคิด”
[ฉัน… ไม่เสียใจ]
คำพูดของเอียนได้ย้อนกลับมา
ซอลจีฮูได้กลายเป็นสับสนขึ้น
“ฉันไม่มั่นใจว่าคำพูดนี้มันจะพอปลอบนายไหมนะ แต่ว่านายน่ะ-“
จางมัลดงที่พูดต่อเบาๆไม่อาจจะพูดจนจบได้ นั่นมันก็เพราะว่าซอลจีฮูกำลังจ้องมาที่เขาด้วยสีหน้าแปลกๆยากจะอธิบาย
“มีอะไรล่ะ?”
“..เขาจากไปแล้ว”
ซอลจีฮูได้พึมพำขึ้นราวกับว่าเขาต้องมนต์อะไรบางอย่าง
จางมัลดงได้ขมวดคิ้วขึ้น
“ฉันรู้ ที่ฉันจะบอกคือ-“
“แน่นอนว่าผมรู้ว่าอาจารย์เอียนกลับไปที่โลก แต่ว่าเราจะไม่อาจเจอเขาในพาราไดซ์ได้อีก”
“…”
“แล้วเราก็ไม่รู้เลยว่าเขากำลังทำอะไรอยู่บนโลก”
ใบหน้าซอลจีฮูได้บิดเบี้ยวขึ้นมา
“อาจารย์ไม่.. เศร้าหรอครับ?”
“นาย…”
จางมัลดงได้อ้าปากขึ้นมา จากนั้นก็กปิดลงไปทันที จากนั้น…
“…เศร้าสิ ฉันคิดว่ามันน่าเสียดาย”
เขาได้ฝืนยอมรับออกมา
“หยุดคุยเรื่องนี้กันเถอะ พักซะ”
จางมัลดงได้กดมือลงบนกระหม่อนของเขา เขายังรู้สึกได้ถึงสายตาที่จ้องแผ่นหลังเขา แต่ว่าเขาก็เดินจากไปโดยไม่พูดอะไรอีก
ตึง ในทันทีที่เขาปิดประตูลง เขาก็ถอนหายใจออกมาสั้นๆ
‘ไอ้เจ้าหนูนี่’
ใบหน้าเหี่ยวย่นของเขาได้มืดมนลง
‘การที่เขามาถึงขนาดนี้…’
เขารู้ว่าในเรื่องของมุมมองต่อพาราไดซ์แล้วซอลจีฮูต่างไปจากชาวโลกคนอื่นๆ แต่ว่าเขาไม่เคยคิดเลยว่ามันจะแย่ขนาดนี้
เมื่อเขาได้ยินสิ่งที่ซอลจีฮูเพิ่งจะพูดออกมา ขนทั่งร่างเขาก็ได้ลุกขึ้น
‘ต้องช่วยเขา…’
นี่คือคำตอบที่ถูกต้อง
หากว่าพวกเขาเลือดที่จะฆ่าและชุบชีวิตชายหนุ่มขึ้นมา เขาก็มีลางสังหรณ์อย่างรุนแรงว่าพวกเขาจะไม่ได้เจอกับชายหนุ่มอีก
เพราะว่า… เพราะว่า…
[เพราะผมชอบที่นี่]
[เงินทอง ชื่อเสียง ผมไม่คิดว่าหากจะชอบพวกมันจะผิดอะไรหรอกนะ แต่ว่าผมไม่ได้มาที่พาราไดซ์เพราะของพวกนั้น]
[นี่เป็นที่ที่ผมอยู่]
[มันยังเป็นที่ที่ทำให้ผมได้เริ่มต้นใหม่… นอกจากบอกว่าผมชอบที่นี่ ผมก็คิดอะไรไม่ออกแล้ว]
ทันใดนั้นคำพูดที่เขาเคยได้ยินจากชายหนุ่มก็ย้อนกลับมา นี่เป็นคำตอบของซอลจีฮูเรื่องที่ว่าทำไมเขาถึงเข้ามาในพาราไดซ์
จางมัลดงเพิ่งจะเข้าใจความหมายของคำพูดเหล่านั้นชัดเจนก็ในตอนนี้
เขาไม่มั่นใจว่ามันเมื่อต้นขึ้นเมื่อไหร่ แต่ว่าสิ่งที่ซอลจีฮูพูดคือสิ่งที่เขาคิดจริงๆ
ซอลจีฮู…
[เราจะไม่อาจเจอเขาในพาราไดซ์ได้อีก]
[อาจารย์ไม่… เศร้าหรอครับ?]
…อาการเสพติดพาราไดซ์
และยังรุนแรงมากอีกด้วย
***
ไม่กี่วันต่อมาในที่สุดแล้วซอลจีฮูก็ได้ออกมาจากห้องพักฟื้น แน่นอนว่าเขาก็ไม่ได้ออกมาจากวิหารลูซูเรียง่ายๆ
ในวันที่เขาถูกปล่อยตัว ซอยูฮุยได้บังคับตรวจสภาพร่างกายครั้งสุดท้าย ทำให้เขาต้องอยู่ที่นั่นไปจนถึงอยู่บ่ายแก่ๆ
เพราะแบบนี้เขาจึงไม่อาจจะไปสนุกกับปาร์ตี้ฉลองการปล่อยตัว และในทันทีที่กลับมาถึงสำนักงานที่แสนคิดถึง เขาต้องนอนหลับลงไปจากความเหนื่อยล้า
และเมื่อรุ่งเช้าได้มาถึง จางมัลดงก็ได้เรียกประชุมทีมด้วยอำนาจของที่ปรึกษา
“ขอแสดงยินดีกับการปล่อยตัวด้วยนะหัวหน้า”
เมื่อเห็นซอลจีฮูลงมาที่ห้องนั่งเล่น มาแชล จิโอเนียได้โค้งคำนับ จากนั้นยื่นมือออกมาด้วยความเคารพ
เขากำลังถือถุงพลาสติกโปร่งแสงที่ซึ่งมีเต้าหู้อยู่กล่องหนึ่ง เมื่อซอลจีฮูจ้องไปที่เขา มาแชล จิโอเนียก็พูดขึ้นอย่างมั่นใจ
“ผมได้ยินมาว่าวัฒนธรรมเกาหลีมักจะให้เต้าหู้กับคนที่เพิ่งจะออกมาจากโรงพยาบาล เพราะงั้นผมก็เลยเตรียมมันมาเป็นของขวัญยินดี”
บนใบหน้าของซอลจีฮูได้ปรากฏความสงสัยขึ้นมา
“ใครบอกนายกัน?”
“ผมเห็นมาจากในหนัง มันเป็นฉากโง่ๆ แต่ว่าข้ารับใช้ที่ซื่อสัตย์ได้มอบเต้าหู้ให้กับหัวหน้าองค์กรที่เพิ่งออกมาจากโรงพยาบาล” (ในเกาหลีมักจะให้เต้าหู้กับคนที่เพิ่งออกจากคุก)
“…ฉันแค่สงสัยนะ แต่ว่ามันเกิดอะไรขึ้นในฉากต่อมาล่ะ”
“หัวหน้าได้เขกหัวลูกน้องอย่างแรง แต่ว่าเขาก็กัดเต้าหู้ลงไป ผมมั่นใจว่าเขาก็คงอายนั่นแหละครับ”
ซอลจีฮูได้ยินเสียงยี่ซอลอาหัวเราะออกมา
“คนๆนี้นี่…”
ซอลจีฮูรู้สึกมีความสึกกับมาแชล จิโอเนีย นั่นมันก็เพราะเขามีบุคลิกที่เย็นชาและใจเย็นจนทำให้เขานึกไปถึงคาซุกิ แต่ว่ามันดูเหมือนกับว่าเขาก็มีด้านที่เงอะงะงุ่มง่ามเหมือนกัน
ถึงแบบนั้นซอลจีฮูก็ยังกัดลงไปบนเต้าหู้โดยไม่บ่นอะไร
“ขอบใจนะ!”
ขณะกัดเต้าหู้รอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา เขาได้หัวเราะออกมาอย่างไม่เสแสร้ง และรู้สึกสนุกไปกับช่วงนี้จริงๆ
เขารู้สึกประทับใจมากๆที่ได้เห็นสมาชิกคาเพเดี่ยมมารวมตัวกันรอบๆโซฟาห้องนั่งเล่น
จางมัลดง โชฮง ฮิวโก้ ยี่ซอลอา ยี่ซังจิน แล้วก็มาแชล จิโอเนีย… ใบหน้าที่เขาเคยเห็นเป็นประจำกลับให้ความรู้สึกแปลกๆที่ต่างไปจากเดิม
ในท้ายที่สุดแล้วเขาก็ได้กลับมาใช้ชีวิตประจำวัน
‘เดี๋ยวนะ ตอนนี้พอคิดดูแล้ว…’
ในตอนนี้เองเขาถึงได้ตระหนักว่ามีคนๆหนึ่งหายไป
“ดูเหมือนทุกๆคนจะมากันแล้วนะ”
น้ำเสียงจางมัลดงได้ลอยออกมา ก่อนที่ซอลจีฮูจะได้ถามถึงคนที่หายไป จางมัลดงก็พูดแทรกขึ้นมา
“ฉันจะเข้าเรื่องเลยนะ มันถึงเวลาที่พวกนายควรจะกลับกันแล้วใช่ไหม?”
ซอลจีฮูได้รีบหันมามองทันที
“ฉันก็คิดแบบนั้น”
โชฮงได้หยักหน้าพร้อมยืดตัวขึ้น
ซอลจีฮูได้รีบถามกลับไป
“ไม่ใช่ว่าพวกเธอกลับกันไปแล้วหรอ? ในตอนที่ฉันหลับน่ะ”
“อืม มันไม่ใช่ว่าไม่มีใครกลับไปหรอกนะ.. แล้วพวกเขาก็ยังคุยกันไว้ว่าจะสลับกันกลับเป็นกะๆ…”
โชฮงได้หยั่งไหลออกมา
“แต่ว่ามันก็รู้สึกผิดที่ทิ้งนายเอาไว้นี่สิ เพราะงั้นเราก็เลยยังรอนายมาจนถึงวันนี้ไง”
“แต่ว่าพวกเธอไม่รู้ว่าฉันจะตื่นเมื่อไหร่…”
“แต่นายก็ตื่นขึ้นมาแล้วนี่ ไม่ว่าจะยังไงเรื่องใหญ่ก็เพิ่งจะจบลงไป แล้วฉันก็ไม่ได้กลับไปนานแล้วด้วย เพราะงั้นมันก็คงถึงเวลาแล้วล่ะ”
“ฉันก็เหมือนกัน ว่าไปแล้วฉันก็คิดจะอยู่ที่โลกสักพักนะ ฉันวางแผนจะไปเที่ยวน่ะ”
ฮิวโก้ก็พูดขึ้นเช่นกัน
“ซังจินกับฉันก็ยังจะกลับไป…”
ยี่ซอลอากับยี่ซังจินได้หยักหน้าราวกับพวกเขารอเวลานี้อยู่
“ผมก็คิดว่าคงต้องใช้เวลาประมาณสองสัปดาห์”
และมาแชล จิโอเนียก็ยอมรับออกมาง่ายๆเช่นกัน
เพราะทุกๆคนพูดราวกับว่าการกลับไปเป็นเรื่องจำเป็น ซอลจีฮูจึงทำอะไรไม่ถูก จางมัลดงที่แอบมองซอลจีฮูก็ได้พูดออกมา
“แล้วนายล่ะซอล?”
“ครับ?”
“ทำไมนายไม่ไปเที่ยวยาวๆแบบฮิวโก้ล่ะ? หยุดพักฟื้นยาวๆหน่อย สักเดือนนึงเป็นยังไงล่ะ?”
“ทั้งเดือนเลยหรอครับ?”
ซอลจีฮูได้พึมพำออกมาด้วยความตกใจ
“หนึ่งเดือนบนโลก… ก็สามเดือนในพาราไดซ์ นั่นมันไม่ยาวเกินไปหรอ? โดยเฉพาะกับเขา…”
โชคดีที่โชฮงอยู่ข้างซอลจีฮู จางมัลดงได้เคาะไม้เท้ากับพื้นก่อนจะตอบกลับมา
“ถ้างั้นแล้วสองสัปดาห์เป็นไงล่ะ?”
โชฮงไม่ได้พูดอะไรอีกนั่นแสดงว่าเธอก็เห็นด้วย แต่ว่าซอลจีฮูก็ยังคงดูจะอิดออด
“ถึงสองสัปดาห์ก็ค่อนข้างจะนานไป…”
จางมัลดงได้หรี่ตาลง
“จากที่่คุณคิมฮันนาห์บอกกับฉัน นายยังไม่ได้จัดการปัญหาเรื่องสภาพแวดล้อมเบื้องหลังได้ดีนี่นา เธอบอกว่ามีอยู่หลายอย่างที่น่ากังวล”
‘ทำไมเธอถึงพูดเรื่องนั้นด้วยล่ะ?’
ซอลจีฮูได้เม้มปากออกมา
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันครับ แต่ถึงแบบนั้น สองสัปดาห์ก็ยังนานเกินไปหน่อย ผมไม่เห็นว่าจำเป็นต้องกลับไปในตอนนี้เลย”
“มีเรื่องอะไรเร่งด่วนที่นายต้องจัดการในพาราไดซ์งั้นหรอ?”
“เอ่อ… ก่อนอื่นผมจะต้องแวะไปขอบคุณทุกๆคนที่มาเยี่ยมผมในตอนอยู่ในวิหาร”
“ฉันไม่รู้หรอกนะว่ามันจำเป็นไหม แต่ว่าค่อยไปทีหลังก็ได้นี่ พวกเขาทุกคนต่างก็รู้ว่านายผ่านอะไรมาบ้าง”
“ผมก็อยากจะไปวิหารเหมือนกัน”
“วิหารไม่ได้หายไปไหนหรอกนะ กลับมาแล้วค่อยไปก็ได้ ในเมื่อนายน่าจะเป็นแรงค์เกอร์ระดับสูงได้แน่นอนอยู่แล้ว เพราะงั้นนายจะต้องใช้เวลาคิดเรื่องที่นายอยากจะเป็นด้วยอยู่แล้ว”
“ผมยังต้องยกระดับค่าสถานะร่างกายขึ้นมาเหมือนกัน ที่ภูเขาหินยักษ์น่ะครับ”
“ฉันก็ต้องกลับโลกเหมือนกัน”
“ถ้างั้นผมไปคนเดียวได้”
“ฉันคิดว่าฉันเคยบอกให้นายสนใจเรื่องการกินกับพักผ่อนให้เพียงพอนะ”
ซอลจีฮูได้เงียบลงไป จางมัลดงได้พูดต่อราวกับจะปลอบเด็กดื้อ
“นายเพิ่งจะออกมาจากวิหาร แต่ว่าร่างกายของนายยังไม่ได้หายดี หากว่านายกดดันตัวเองมากเกินไป มันก็มีโอกาสเป็นไปได้ว่าสภาพร่างกายที่ลดลงของนายจากชั่วคราวจะกลายมาเป็นถาวร เพราะงั้นในตอนนี้นายจำเป็นต้องพัก”
ซอลจีฮูที่หาคำอะไรมาปฏิเสธไม่ได้ ก็ได้แต่เม้มปากแน่น พูดตรงๆแล้วเขาอยากจะตะโกนออกมาเลยว่าเขาไม่อยากกลับไป
ทันทีที่บรรยากาศหนักหน่วง จางมัลดงก็ถอนหายใจออกมา
“…หนึ่งสัปดาห์”
ซอลจีฮูก็ยังไม่ตอบกลับมา
“นี่นายยังจะบอกว่ามันนานเกินไปอีกหรอ?”
สมาชิกคนอื่นๆของคาเพเดี่ยมได้เริ่มหันกลับมามองเขา ชายหนุ่มที่รู้สึกว่าถูกจ้องได้แต่เกาหัวขึ้นมา
เขาไม่เข้าใจว่าทำไมทุกๆคนถึงได้มองเขาเหมือนกับว่าเขาทำไรแปลกๆ… แต่ว่าในท้ายที่สุดเขาก็รู้ดีว่าไม่มีทางเลือกอื่น และหยักหน้าออกมา
“…เข้าใจแล้วครับ”
***
จางมัลดงได้แนะนำให้ซอลจีฮูกลับในทันที ราวกับเขาคิดว่าตีเหล็กควรจะตีตอนร้อนๆ
แม้ว่าจางมัลดงจะไม่เคยบังคับอะไรเขามาก่อนจนถึงตอนนี้ แต่ว่าซอลจีฮูก็รู้สึกว่าจางมัลดงกำลังกดดันเขาในเรื่องนี้อย่างหนัก
จางมัลดงกระทั่งตามเขาไปที่วิหารอีกด้วย มันราวกับว่าเขาจะตามมาดูให้แน่ใจว่าเขากลับไปจริงๆ
ระหว่างทางไปวิหาร จู่ๆจางมัลดงก็พูดขึ้น
“นายอาศัยอยู่ที่ไหนล่ะ?”
“หืม? โอ้ อืม โซลครับ”
“โซลทั้งหมดมันเป็นบ้านของนายไม่ได้นะ”
“….ซอแดมุน-กู ฮงอืนดงครับ”
“ซอแดมุน-กู สินะ”
จางมัลดงได้หยักหน้าและพูดต่อ
“มันก็น่าจะใกล้ๆกับฮงแด”
“ครับ ใช้เวลาไปที่นั่นประมาณ 15 นาที…”
“เยี่ยมเลย มีร้านหมูสามชั้นอยู่ใกล้ๆกับทางออกที่ 8 ของสถานีมหาวิทยาลัยฮงอิก”
“?”
“หากว่ามีโอกาสก็ไปที่นั่นนะ มันยอดเยี่ยมเลยล่ะ”
ซอลจีฮูดูจะสับสนหน่อยๆ จากนิสัยจางมัลดงแล้วเขาจะไม่พูดอะไรชุ่ยๆ ทุกๆคำพูดมักจะมีความสำคัญเสมอ
แต่ว่าซอลจีฮูก็ไม่อาจจะเข้าใจถึงความตั้งใจของเขาได้เลย ไม่ว่าจะคิดมากขนาดไหน
ไม่นานนัก พวกเขาก็ได้มาถึงประตูมิติในวิหาร
จางมัลดงได้บอกซอลจีฮูให้เข้าไปก่อน และมาหยุดอยู่ตรงหน้าแท่นบูชา
ซอลจีฮูได้กล่าวลากับจางมัลดงสั้นๆ และเดินขึ้นไปบนบันใด
และเมื่อเท้าข้างหนึ่งของเขาก้าวเข้าไปในประตูมิติ-
“ซอล”
น้ำเสียงสุขุมก็ได้ดังออกมาจากข้างหลัง
“ฉันภูมิใจและซาบซึ้งกับสิ่งที่นายทำจริงๆนะ”
“อ่า”
“แต่ว่าโลกใบนี้มันไม่ใช่ที่ที่นายใช้ชีวิตอยู่หรอกนะ”
จากสิ่งที่ตามมาทีหลังทำให้ทั้งร่างของซอลจีฮูชะงักไป
“อย่าลืมซะล่ะ”
[อย่าลืม]
“ที่ที่นายอยู่คือโลก”
[นี่คือที่ที่นายอยู่]
“…”
ซอลจีฮูได้ก้าวเท้าต่อเข้าไปในประตูมิติ
เขาได้ปล่อยตัวเองหายเข้าไปในประตูมิติ โดยแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินอะไร
นี่เป็นการกลับโลกครั้งที่สามของเขาแล้ว