บทที่ 186 – การเปลี่ยนแปลงที่คาดไม่ถึง (1)
ฮ่าาาห์!
แสงได้กระพริบออกมา เมื่อซอลจีฮูลืมตาขึ้น เขาก็ได้เห็นกับห้องที่ไม่คุ้นเคย หลังจากมองไปรอบๆอยู่สองสามครั้งเขาก็รับรู้อย่างอึดอัดใจว่า ‘อ่า นี่ห้องของฉันเอง’
พรึบ เมื่อเปิดหน้าต่างขึ้นมาก็ได้เผยให้เห็นถึงทิวทัศน์ของเมืองที่เขาไม่คุ้นเคยเลยสักนิด
รถได้แล่นไปตามถนน มีบ้านอยู่หนาแน่นเต็มไปหมด นักเรียนในชุดยูนิฟอร์มเดินกันไปตามทางเท้า…. ซอลจีฮูได้มองทิวทัศน์เหล่านี้ด้วยความสับสนก่อนที่จะเกาหัวอย่างหนัก
หัวของเขาคงจะคันก็เพราะไม่ได้สระผมมาหลายวันแล้ว เขาได้รีบถอดชุด และเข้าไปในห้องน้ำทันที
ซ่าห์! น้ำได้ไหลลงมาจากฝักมัว เมื่อได้รู้สึกถึงน้ำร้อนๆกระทบร่าง ซอลจีฮูก็ได้หลับตาลงพร้อมปล่อยเสียงครางออกมา
‘น้ำร้อนออกมาง่ายๆแบบนี้เลยสินะ…’
ก็ไม่ใช่ว่าในพาราไดซ์หาน้ำร้อนได้ยากหรอก แต่ว่ามันมีขั้นตอนที่ยุ่งยากเพื่อให้ได้น้ำร้อน
“ฟู่ววว…”
เขาได้ทิ้งตัวลงไปโดยที่ปล่อยให้น้ำลดลงหัว
เขาเพิ่งจะผ่านการต่อสู้ที่น่ากลัวดุเดือดมาโดยไม่ได้รู้ตัวอะไรเลย นี่มันเป็นธรรมดาที่จะทำให้เขาแข็งขาอ่อนได้เลย
เมื่อได้อาบน้ำชะล้างร่างกายทั้งตัวแล้ว เขาก็รู้สึกสดชื่นขึ้นมา แต่ว่าไม่นานนักเขาก็ต้องเผชิญเข้ากับปัญหาที่เขาคิดไว้แล้วว่าต้องเจอ
เขาไม่มีอะไรให้ทำเลย
พูดให้ถูกคือ เขาไม่รู้ว่าจะทำอะไรดีกว่า
เขาได้เปิดตู้เย็นออกมาโดยไม่คิด จากนั้นก็ต้องปิดมันลงไป กระทั่งเปิดเพลงดังๆ และเดินไปรอบๆห้อง หรือว่าหยิบหนังสือที่สะดุดตาขึ้นมาก็ตาม แต่ว่ามันไม่มีอะไรที่จะดึงดูดความสนใจเขาได้เกินกว่า 10 นาทีเลย
เขาได้เปิดโน๊ตบุ๊คขึ้นมา และอ่านข่าวล่าสุด แต่ว่ามันกลับกลายเป็นว่าข่าวรายงานจากองค์กรนักฆ่ายังน่าสนใจมากกว่าซะอีก
เมื่อเขารู้ตัวว่าไม่มีอะไรทำ ความเงียบที่ไม่อาจจะทนได้ก็ปกคลุมทั้งตัวเขา
ในท้ายที่สุดเขาก็ไปเปิดทีวี หยิบกระป๋องเบียร์ที่กลิ้งอยู่ในตู้เย็น สูบบุหรี่ จากนั้นก็เอนหลังพิงกำแพง ในขณะเดียวกันภายในหัวเขาก็มีความคิดต่างๆอยู่มากมาย
คำขอของคิมฮันนาห์กับจางมัลดงยังคงดังก้องอยู่ในหูของเขา
“น่าเบื่อ…”
ซอลจีฮูได้พึมพำกับตัวเองในขณะที่จุดบุหรี่ไปด้วย ยังไงก็ตามเขาไม่ได้จิบเบียร์ที่เปิดเอาไว้สักนิดเลย และกระทั่งแค่พ่นควันสีขาวออกมาก็ยังไม่มีด้วยซ้ำไป
ซอลจีฮูได้มองดูรายการโชว์ตลกบนจอทีวีด้วยสายตาไร้ซึ่งชีวิต
“พวกเขาไม่ได้รู้อะไรเลยสักนิด”
ไม่นานนักบุหรี่ก็ไหม้มาจนถึงไส้กรอง และหน้าจอก็ได้เปลี่ยนไปเป็นโฆษณา
“…”
เขาได้ก้มหัวลงอย่างหดหู่ เขาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเขาถึงเป็นแบบนี้ แต่ว่าเขารู้สึกเหมือนกับว่าพลังงานทั้งร่างของเขาถูกดูดออกไปในทันทีที่เขากลับมายังโลก
เขาเพิ่งจะออกมาจากพาราไดซ์ได้ไม่ถึงครึ่งวันเลย ทำไมเขาถึงรู้สึกแบบนี้กันนะ?
เขาได้มองลงไปบนพื้นและพึมพำออกมาเบาๆ
“…เหงาจัง”
***
หลังจากนั่งง่วงๆบนโซฟาอยู่สักพัก ซอลจีฮูก็ได้ออกจากห้องราวกับหนีอะไรสักอย่าง
เวลาได้ผ่านไป และไม่นานนักก็ถึงช่วงค่ำแล้ว ท้องฟ้าได้ค่อยๆถูกปกคุลมไปด้วยสีดำสนิท
ซอลจีฮูได้ออกเดินไปเรื่อยๆโดยไร้ซึ่งจุดหมายหรือเป้าหมายใดๆ
เขาก้าวไปเรื่อยๆอยู่พักหนึ่งจนกระทั่งนึกได้ถึงบางอย่าง จากนั้นก็เงยหน้าหยิบเอากระดาษออกมา
ทางออกที่ 2 สถานีมหาลัยฮงอิก
‘โอ้ จริงด้วยสิ!’
สีหน้ามืดมนของเขาได้ดีขึ้นมาเล็กน้อย
ซอลจีฮูได้เดินฝ่าฝูงชนลงบันไดไปโดยไม่ลังเลใดๆ
หลังจากออกมาจากทางออกที่ 8 ของรถไฟใต้ดิน เขาก็ได้เดินต่อไปโดยไร้แผนอีกครั้ง เขาคิดว่าจะหามันไปเรื่อยๆ แต่แล้วเขากลับเจอสิ่งที่มองหาได้เร็วกว่าที่คิดซะอีก
‘ดินแดนหมูสามชั้นรสเยี่ยม’
ซอลจีฮูได้เงยหน้ามองดูแผ่นป้ายบนอาคารสามชั้นอย่างตกตะลึง ไฟยังคงเปิดอยู่ แต่บางทีอาจจะเพราะดึกแล้ว ทำให้เขาแทบไม่เห็นคนอยู่ข้างในเลย
กริ๊ง เขาได้เปิดประตูเดินเข้าไป
“ยินดีต้อนรับค่ะ- โอ้!”
พนักงานเสิร์ฟได้ผงะไปเมื่อเห็นซอลจีฮู
“ยังเปิดอยู่ไหมครับ?”
“…ค่ะ! เราจะปิดในอีกหนึ่งชั่วโมง มากันกี่คนล่ะ?”
“แค่ผมครับ”
“แค่คุณ? โอเคค่ะ ทางนี้”
ซอลจีฮูได้ส่งเสียงเบาๆด้วยความตาย แต่ว่าพนักงานเสิร์ฟก็ได้นำทางเขาไปที่นั่งโดยไม่แยแสใดๆ
“รับอะไรดีคะ?”
“ผมได้ยินมาว่าเนื้อที่นี่เยี่ยมมาก”
“แน่นอนค่ะ~ อร่อยสุดๆเลย~ แล้วคุณเอาหมูสามชั้นไหมคะ?”
“ครับ ขอสองชิ้นแล้วกันครับ”
“เข้าใจแล้วค่า~”
เมื่อพนักงานเสิร์ฟที่ร่าเริงได้จากไปแล้ว ซอลจีฮูก็ได้มองสำรวจรอบๆร้านอาหาร เขาคิดว่ามันจะต้องมีเหตุผลที่จางมัลดงให้เขามาที่นี่แน่ๆ มันจะต้องมีอะไรที่เกี่ยวข้องกับพาราไดซ์ในสักทางหนึ่ง
ยังไงก็ตามเขาก็ไม่อาจจะหาอะไรเจอเลยไม่ว่าจะมองไปรอบๆกี่ครั้งก็ตาม ขณะที่เขากำลังคิดที่จะไปเดินที่ชั้นสอง อาหารที่เขาสั่งไว้ก็มาถึงซะแล้ว
เขาไม่มั่นใจว่าปกติเป็นแบบนี้หรือเปล่า แต่ว่าพนักงานเสิร์ฟสุดร่าเริงได้ย่างเนื้อให้เขาโดยไม่ได้แสดงท่าทีเหนื่อยหรือรำคาญใจเลยแม้แต่นิด
เมื่อได้ยินเสียงของเนื้อเดือดออกมา พร้อมกับกลิ่นหอม ความคิดที่จะมองหาเบาะแสของเขาก็ได้หายไป
ในตอนนี้พอมองดูดีๆแล้ว หมูสามชั้นก็มีความหนาเป็นก้อนพร้อมกับมีสัดส่วนระหว่างไขมันกับเนื้ออย่างพอดี เขาไม่ได้โม้เลยสักนิด มันดูน่ากินจริงๆ
อึก ซอลจีฮูได้กลืนน้ำลายลงไป จากนั้นก็ถามออกมา
“ผมขอข้าวสักถ้วยได้ไหมครับ?”
“ได้ค่า~ ขอข้าวถ้วยนึงค่า~”
ค่อยมาคิดเรื่องนี้หลังอิ่มแล้วกัน
ซอลจีฮูได้หยิบช้อนตักข้าว และชิ้นเนื้อที่ถูกหั่นพอดีคำเอาไว้ เมื่อรสชาติกลมกล่อมได้เข้าไปในปากของเขา เขาก็ถึงกับครางออกมา
มันดีขนาดนี้เลย…
อย่างคำที่ว่า ‘ความหิวคือซอสที่ดีที่สุด’ ซอลจีฮูได้จัดการเนื้อสองชิ้น และข้าวหนึ่งถ้วยหายไปในพริบตาเดียว เมื่อเขาสั่งหมูสามชั้นอีกสี่ชิ้น พนักงานเสิร์ฟถึงกับถามอย่างตกใจ
“สะ สี่ชิ้นหรอคะ?”
“ครับ ไม่ต้องห่วง ผมกินหมดอยู่แล้ว”
ซอลจีฮูได้กลืนหมูสามชั้นลงไปในทันทีที่ย่างเสร็จราวกับจะพิสูจน์ในคำพูดของเขา ถึงตัวเขาจะเหงื่อแตกพลั่ก แต่ว่าเขาก็เอาแต่สนใจกับการกิน
เขารู้ว่าสุขภาพของเขายังไม่เหมาะที่จะกินอะไรลงไปมากๆแบบนี้ แต่ว่าเมื่อได้กลิ่นหอม เขาก็ไม่อาจจะทนต่อความหิวได้อีก
ยิ่งท้องของเขาได้ลิ้มรสไขมันของหมูสามชั้น มันก็ยิ่งต้องการมากขึ้นอีก สุดท้ายแล้วซอลจีฮูจึงต้องสั่งเพิ่มขึ้น
หลังจากที่กินหมูสามชั้นไปสิบชิ้น ข้าวสี่ถ้วย สตูว์เต้าเจี้ยว และแนงมยอนแล้ว ในที่สุดเขาก็รู้สึกอิ่มจนได้
“ฟู่วว…”
‘เป็นเนื้อที่ดีจริงๆ’
บางทีอาจจะเพราะเขาได้กินจนอิ่มทำให้เขารู้สึกมีพลังขึ้นมาหน่อย หลังจากใช้ทิชชูเช็ดเหงื่อบนหน้าผากไปแล้ว จู่ๆเขาก็กระพริบตาออกมากระทันหัน
นั่นเพราะว่าเขามัวแต่กิน จนเพิ่งมาสังเกตเอาตอนนี้ว่าร้านอาหารมืดกว่าก่อนหน้านี้ซะอีก ไฟส่วนใหญ่ได้ถูกปิดไป และลูกค้าไม่กี่คนที่อยู่ในร้านอาหารก็ได้กลับไปนานแล้ว
สิ่งเดียวที่เขาเห็นก็คือแขนของพนักงานเสิร์ฟที่กำลังเช็ดน้ำมันจากเตาย่างอยู่
“นายนี่กินดีจังเลยนะ”
น้ำเสียงที่ต่างจากเดิมของเธอได้ดึงให้ซอลจีฮูกลับมาสู่ความจริง จากที่ดูแล้วดูเหมือนเธอจะรอให้เขากินเสร็จนานมาก
“ขะ ขอโทษด้วยครับ! ผมหิวจริงๆ”
ซอลจีฮูได้รีบหยิบกระเป๋าออกมา ขณะที่เขากำลังจะเพิ่มเงินเล็กน้อยเป็นทิปให้กับเธอ…
“เอ๋~ แค่ 50,000 วอนเท่านั้นเองหรอ?”
น้ำเสียงใสแจ๋วได้ดังออกมา
“ไม่ใช่ว่าฉันเคยบอกนายไปแล้วหรอ? ค่าตัวฉันมันแพงนะ”
‘อะไรกัน?’
ตอนนั้นเองเมื่อซอลจีฮูเงยหน้าขึ้นมา เขาก็กลายเป็นสับสนไป พนักงานเสิร์ฟที่พาเขามานั่ได้หายไปแล้ว และมีใบหน้าที่คุ้นเคยเข้ามาแทน
“นายรู้ไหมว่าฉันต้องทำงานล่วงเวลามาเป็นชั่วโมงเพื่อย่างเนื้อให้นาย”
เหตุผลที่เขาจำเธอไม่ได้ในตอนแรกที่เจอก็เพราะความแตกต่างในการแต่งกายของเธอระหว่างในพาราไดซ์กับบนโลก
“…คุณฟีโซรา?”
“ว้าว ขอบใจนะที่จำกันได้”
ฟีโซราได้หัวเราะขึ้น โยนผ้ากันเปื้อนทิ้ง จากนั้นก็นั่งลงบนเก้าอี้ตรงข้ามเขา
ซอลจีฮูได้ถามออกไปโดยไม่รู้ตัวเพราะไม่เคยคิดว่าจะมาเจอเธอที่นี่มาก่อนเลย
“ทำไมคุณถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะ?”
“ฉันอยากจะถามนายมากกว่า นายรู้จักที่นี่ได้ยังไงกัน?”
“อาจารย์บอกให้ผมมา”
“ปู่งั้นหรอ? ปู่เคยมาอยู่ครั้งหนึ่ง แต่ว่าทำไมปู่ถึงบอกให้นายมาล่ะ?”
จากนั้นเธอก็หยักไหล่ออกมาราวกับว่ามันไม่ได้สำคัญเลย
“เอาเถอะ นายคงตื่นขึ้นมาแล้วสินะ?”
ซอลจีฮูได้รีบหยักหน้ารับทันที
“ดีใจด้วยนะ ฉันก็กลัวว่านายจะไม่ตื่นขึ้นมาอีกซะแล้ว”
“…”
“เอ่อ ขอโทษด้วยนะ ฉันก็อยากจะอยู่ให้นายกว่านี้ แต่ว่ามันมีเรื่องด่วนทำให้ฉันต้องรีบกลับมา แล้วก็ในเมื่อฉันมาแล้ว ฉันก็คิดว่าฉันอาจจะทำธุระบางอย่างไปด้วยเลยได้”
ซอลจีฮูได้ส่ายหัวออกมา
“ไม่จำเป็นต้องขอโทษกันเลยนี่ครับ”
ซอลจีฮูไม่ได้มีเหตุผลอะไรไปห้ามไม่ให้คนในทีมกลับโลกอยู่แล้ว มันก็แค่ช่วงเวลาไม่ค่อยดีเท่านั้นเอง
เขามีหลายสิ่งหลายอย่างที่อยากจะทำในตอนที่ถูกปล่อยตัวออกมาจากวิหาร เพราะงั้นการที่ถูกบังคับให้กลับมาจึงทำให้เขารู้สึกไม่ค่อยดี
“พรืดด”
ทันใดนั้นเสียงหัวเราะก็ดังออกมา ไหล่ฟีโซรากำลังสั่น ฟันสีขาวของเธอก็ยังเผยให้เห็นเต็มตา
“อ่า ยังไงก็เถอะ นี่มันน่าขำจริงๆเลย”
“?”
“ฉันหมายถึงซูริมน่ะ เด็กนั่นยืนตรงนี้อยู่ตั้งนาน นายไม่ได้สังเกตเห็นเธอเลยหรอ?”
ซอลจีฮูได้เอียงหัวออกมา ดูเหมือนว่าเธอจะกำลังพูดถึงพนักงานเสิร์ฟที่พาเขามานั่งตรงนี้ แต่ว่านี่คือเรื่องทั้งหมดแล้วที่เขาจำได้เกี่ยวกับเธอ
“ฉันก็สงสัยอยู่ว่าทำไมจู่ๆเธอถึงได้ตั้งใจทำงาน… อ่า เธอนี่ไม่ธรรมดาเลย ปกติแล้วเธอจะออกไปในทันทีที่หมดเวร แต่ว่าการที่เธอยืนกรานที่จะอยู่และทำความสะอาดนี่ก็นะ ตอนแรกที่ฉันลงมาก็สงสัยอยู่เลยว่าเธอกินอะไรผิดสำแดงไป แล้วมันก็-“
ฟีโซราได้หยักหน้าให้กับซอลจีฮู
“ตอนฉันบอกให้เธอกลับไป เธอก็โมโหฉันเหมือนกับเด็กเลยล่ะ นายน่าจะได้เห็นสีหน้าของเธอที่มองฉันตอนที่เธอออกไปนะ”
ฟีโซราได้หัวเราะออกมาโดยที่บอกให้รู้ว่าเด็กสาวซูริมคนนี้น่ารักแค่ไหน
ซอลจีฮูได้ฟังเธอพูดโดยไม่เสริมอะไรขึ้นมา ก่อนที่จะพึมพำขึ้นเบาๆ
“คุณควรจะปล่อยให้เธออยู่ต่อนะ…”
เสียงหัวเราะของฟีโซราได้ชะงักไปในทันที
“นายว่าไงนะ?”
“อ่า ก็อยากที่พูดนั่นแหละ”
“อะไรนะ นายสนใจอะไรในตัวเธอกัน? ไม่ใช่ว่านายมีแฟนแล้วหรอ?”
“ผมยังไม่มีแฟน”
“หลอกกันอีกแล้ว… ก็ได้ ไม่มีก็ไม่มี แล้วทำไมนายถึงบอกว่าฉันควรให้เธออยู่ต่อล่ะ?”
“ก็เพราะเธอสวยดี”
ซอลจีฮูได้พูดออกมาตรงๆ
“คุณก็รู้นี่ว่าหากผู้หญิงกับผู้ชายสนใจกัน ก็ควรจะปล่อยให้พวกเขาได้คุยกัน อ๊า ช่างน่าเสียดาย”
เมื่อซอลจีฮูได้พูดขึ้นด้วยความเสียใจ คิ้วของฟีโซราก็ขมวดขึ้นด้วยความไม่พอใจทันที
“นี่ฉันไม่ได้ฟังผิดไปใช่ไหม? นี่นายทำฉันหมดอารมณ์เลย แล้วยังไงนะ นายกำลังบอกว่าฉันไม่ได้น่าสนใจงั้นหรอ?”
“ไม่ครับ มันไม่ใช่แบบนั้น แต่ว่าคนเราก็มีรสนิยาต่างกันนะครับ”
“หา ช่างเรื่องรสนิยมไปก่อน เด็กนั่นสวยกว่าฉันยังไง? ทั้งหน้าแล้วก็รูปร่างฉันเยี่ยมกว่าตั้งเยอะ”
ซอลจีฮูได้อ้าปากค้างและเบิกตากว้างขึ้น
“…ว้าว…”
เมื่อฟีโซราได้เห็นปฏิกิริยาของเขา เธอก็ดูจะตกใจไปจริงๆ
“ว้าว? ว้าวอะไร? ปฏิกิริยานั่นมันอะไรกัน?”
ซอลจีฮูได้มองดูปฏิกิริยาของฟีโซราครู่หนึ่ง ก่อนจะหัวเราะออกมา
“ยังไงก็เถอะ ถ้ากินเสร็จก็ลุกได้แล้ว”
“ผมจะช่วยทำความสะอาดนะ”
“นี่จะปลอบฉันงั้นหรอ? ไม่ต้องเลย กลับไปซะ นายคิดว่าฉันไม่รู้หรือไงว่านายแค่พูดกวนประสาทฉันเฉยๆน่ะ?”
“เอาเถอะ ถ้างั้นเดี๋ยวผมจ่ายเงินแล้วก็ไปล่ะ ขอบคุณมากครับ!”
ซอลจีฮูได้ลุกขึ้นโดยไม่ลังเลสักนิด เมื่อเขาได้ที่เคาน์เตอร์จ่ายเงิน เสียงหัวใจตกตะลึงก็ดังออกมาจากด้านหลังของเขา
“นี่นายจะไปจริงๆดิ?”
ฟีโซราได้เดาะลิ้นขึ้น
‘ไม่ใช่ว่าเธอบอกให้ฉันไปหรอกหรอ?’
เมื่อซอลจีฮูได้หันกลับมาหาเธอด้วยสีหน้าสับสน ฟีโซราก็เม้มปากขึ้นมา
“ฉันหมายความว่า- ไม่ใช่ว่าปู่บอกให้นายมาที่นี่หรอกหรอ?”
“ใช่แล้วครับ อาจารย์บอก”
“ถ้างั้นนายไม่มีอะไรที่ต้องบอกฉันหน่อยหรอ?”
“ไม่นิ ไม่มีนะครับ อาจารย์ก็แค่บอกให้ผมมาที่นี่”
“อะไรล่ะนั่น…? ถ้างั้นมันก็ต้องมีเหตุผลอะไรสิ”
“เหตุผลอะไรหรอครับ?”
“ฉันไม่รู้!”
ซอลจีฮูได้จ้องไปที่ฟีโซราที่ดูมั่นใจ
“แต่ว่า-“
เธอได้ยกนิ้วขึ้นมาราวกับมีอะไรอยากจะพูด จากนั้น…
“…มาดื่มกันไหม”
เธอได้ลดแขนลงด้วยสีหน้าที่ว่าฉันยอมแพ้
“พอเห็นนายกิน ฉันก็หิวขึ้นมา ฉันให้เวลานายเป็นชั่วโมง เพราะงั้นนายก็ต้องทำแบบเดียวกันให้ฉันใช่ไหม?”
เธอได้เริ่มทำความสะอาดโต๊ะโดยไม่รอให้เขาตอบกลับไปเลย
ซอลจีฮูได้รีบพูดขึ้นมา
“ผมไม่เคยพูดว่าผมจะไป-“
“จะเล่นมากหน่อยก็ไม่เป็นไรหรอกนะ แต่ว่าเอามันให้พอดี ดูเหมือนนายจะไม่มีอะไรให้ทำแล้วนะ”
ในตอนนี้เองเป็นซอลจีฮูที่ตัวแข็งทื่อไป
“อย่ายืนเฉยๆสิ มาช่วยฉันหน่อย ฉันจะจ่ายเงินให้”
ผู้หญิงคนนี้นี่ ซอลจีฮูได้บ่นอยู่ในใจ จากนั้นก็ส่ายหัวออกมา
‘เธออยากได้อะไรจากฉันกันแน่?’
เมื่อก่อนเขาก็เคยคิดแบบนี้ แต่ว่าเธอก็แปลกจริงๆ
***
หลังจากปินร้านแล้ว ฟีโซราก็ได้เช็คกลอนอยู่อีกหลายครั้งก่อนจะเดินออกไป
เธอได้นำทางไปโดยบอกว่าเธอรู้จักร้านสตูว์กองทัพเกาหลีดีๆอยู่ใกล้ๆ และเธอก็ได้มาหยุดอยู่ตรงหน้าร้านอาหารชื่อ ‘ร้านสตูว์ของกองทัพเกาหลี’ จริงๆ
‘ชื่อร้านอาหารแถวนี้มันเป็นอะไรกันนะ…?’
ขณะที่ซอลจีฮูกำลังยืนมองไปรอบๆอย่างลนลาน ฟีโซราก็จับมือชายหนุ่ม ดึงเขาเข้าไปข้างใน
“เอาล่ะ ชูแก้วขึ้น ชน!”
“…ชน!”
เสียงแก้วโซจูกระทบกันได้ดังออกมา
“ฮ่าห์!”
ฟีโซราได้ยกแก้วจรดปาก จากนั้นก็ถอยไปด้วยคิ้วที่ขมวดน้อยๆ
“…แปลก ก็เป็นราแมนเหมือนกัน แล้วรสชาติมันจะต่างกันขนาดนี้ได้ยังไงกัน?”
หลังจากซดน้ำซุปราเมนแล้ว เธอก็เอียงหัวออกมา ในเวลาเดียวกันซอลจีฮูก็กินโซจูหมดไปครึ่งแก้วแล้ว
เมื่อเห็นฟีโซราพึมพำกับตัวเอง กิน แล้วก็ดื่ม จู่ๆเขาก็สงสัยขึ้นมา
“คุณฟีโซรา”
“รอก่อน”
ฟีโซราได้ยกมือขึ้นก่อนที่เขาจะได้พูดจบซะอีก
“เราจะหยุดพูดเรื่องนั้นได้ไหม?”
“เรื่องอะไรหรอครับ?”
“จะอะไรอีกล่ะ? แน่นอนว่าสงครามไง ฉันมีคำถามที่อยากจะถามนายเหมือนกัน แต่ว่าฉันกำลังเก็บเอาไว้อยู่ ปู่บอกไม่ให้เขายุ่งย่ามมากเกินไป แต่ว่าเมื่อไหร่ที่นึกถึงตอนที่หัวฉันบิดไปข้างหลัง ฉันก็ต้องสะดุ้งตื่นขึ้นมาตลอดเลย”
ซอลจีฮูกำลังจะล้อเธอเล่นด้วยคำพูดที่ว่า ‘คุณบอกให้ผมเชื่อในตัวคุณ แต่ว่าคุณกลับน็อคไปจากการโจมตีครั้งเดียวของความหมั่นเพียรอันนิรันดร์’ แต่แล้วเขาก็ตัดสินใจเก็บมันเอาไว้
เขาไม่ได้พูดเรื่องอะไรเกี่ยวกบสงครามมากนัก และในเมื่อคำถามที่เขากำลังถามเธอก็ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะงั้นเขาจึงตกลงในทันที
“ทำไมคุณถึงมาทำงานพาร์ทไทม์ในร้านอาหารล่ะ?”
“ทำไมน่ะหรอ? ฉันทำงานพาร์ทไทม์ไม่ได้หรือไง?”
ฟีโซราได้พูดมากผิดปกติราวกับว่าเธอกำลังรู้สึกดี ซอลจีฮูได้ถอนหายใจออกมา
“คุณก็รู้ว่าผมไม่ได้หมายถึงแบบนั้น”
“ฉันรู้ แต่จะล้อเล่นหน่อยไม่ได้เลย?”
ซูดด! ฟีโซราได้ยกช้อนตักน้ำซุปราเมน จากนั้นก็กินลงไป
“ร้านอาหารนั่นน่ะ… มันเคยเป็นของฉัน ฉันขายมันออกไปในราคาถูกก็เพราะว่าต้องการเงินมาให้เด็กๆของฉัน”
‘เข้าใจแล้ว’
ฟีโซราจนลงก็เพราะเหตุการของบคจองซิค แต่ว่าเธอก็ยังพอจะมีทรัพย์สินเก็บเอาไว้อยู่บ้าง
แต่ว่าซอลจีฮูก็ยังสงสัยอยู่ดี
เธอจนมากจนถึงขนาดต้องมาทำงานพาร์ทไทม์หาเงินเลยงั้นหรอ?
“พวกเขาเป็นคนดี พวกเขาให้ฉันทำงานพาร์ทไทม์ได้ตลอดเวลาที่ต้องการ ฉันบอกพวกเขาว่าพวกเขาไม่ต้องจ่ายเงินฉันก็ได้ แต่ว่าพวกเขาก็ยังจ่ายอยู่ดี”
ขณะที่มีความคิดมากมายเข้ามาในหัวของซอลจีฮู ฟีโซราก็พูดต่อไป
“เหตุผลที่ฉันทำงานก็คือ… เพื่อไม่ให้ลืมตัวเองล่ะมั้ง? ฉันก็อธิบายไม่ถูกหรอก แต่ว่ามันก็คงประมาณนั้นแหละ”
“เพื่อไม่ให้ลืมตัวเองหรอ?”
“ก็ลองคิดดูนะ ฉันต้องไปทำงานหนักในที่แห่งนั้นเป็นปี อยู่ที่นั่นมานาน พอกลับมาโลกแล้วมันก็เลยจะรู้สึกแปลกๆ มันทำให้ยากที่จะแยกว่าที่ไหนคือความเป็นจริงกันแน่ มันก็เหมือนกับฉันเป็นคนติดเกมนั่นแหละ”
ซอลจีฮูอดไม่ได้ที่จะเห็นด้วยกับคำพูดนี้
“ฉันไม่อยากจะเป็นแบบนั้น ความรู้สึกนี้มัน… กลืนกินโลกของฉัน ก็ประมาณนี้แหละ”
ฟีโวราได้จับไส้กรอกขึ้นมาและโยนลงไปในปาก จากนั้นเธอก็พูดขึ้น
“เพราะงั้นฉันก็เลยทำงานพาร์ทไทม์ไงล่ะ”
ซอลจีฮูที่นั่งตั้งใจฟังได้ขมวดคิ้วขึ้น
“…ผมรู้สึกเหมือนคุณข้ามส่วนสำคัญหลายๆอย่างไป แล้วก็ข้ามไปที่ส่วนสรุปเลยนะ”
“ต่อให้ไม่อธิบาย นายจะทำความเข้าใจไม่ได้เลยหรอ? ฉันน่ะใช้เวลากว่าครึ่งชีวิตไปกับการทำงานพาร์ทไทม์ สำหรับฉันแล้วก็ไม่มีอะไรจะพูดอีกจริงๆหากว่าเอาชีวิตส่วนนี้ของฉันออกไป”
“โอ้.. จริงหรอครับ?”
“ใช่แล้วล่ะ ฉันได้ทำทุกๆอย่างนอกไปจากเรื่องผิดกฎหมายแล้วก็ธุรกิจบันเทิงของผู้ใหญ่ ฉันโตขึ้นมาแบบน่าสงสารจริงๆเลยล่ะ”
ฟีโซราได้เคี้ยวไส้กรอกจนแก้มป่อง ในขณะที่ซอลจีฮูจ้องเธออย่างสับสน
“ในตอนที่ฉันทำงานพาร์ทไทม์ ฉันก็จะรู้สึกเหมือนฉันอยู่บนโลก เพราะงั้นฉันจะทำมันสักวันหรือสองวันในทุกๆครั้งที่กลับมานั่นแหละ พอใจยังล่ะ?”
ซอลจีฮูได้คิดถึงสิ่งที่เธอพูด จากนั้นก็หยักหน้าออกมา
เขาได้จดจำเอาความปากร้ายของฟีโซรา ไปนึกเอาเองว่าเธอจะต้องเกิดมาในครอบครัวที่ร่ำรวยและตามใจเธอ แต่ว่ามันดูเหมือนกับว่าเขาไม่ควรที่จะตัดสินคนแค่จากปกสินะ
“ฉันจะแนะนำอะไรนายให้แล้วกันนะ นายควรจะหาอะไรทำเหมือนกัน อย่างน้อยก็เขียนไดอารี่ก็ได้”
“ไดอารี่?”
ก็ลองคิดดูนะว่าหากนายตายไปในพาราไดซ์จะเกิดอะไรขึ้น ในตอนนายตื่นขึ้นมาบนโลกจะสับสนขนาดไหนกันล่ะ? เพื่อที่จะลดการขาดการเชื่อมต่อ นายก็ควรจะทำอะไรสักอย่าง”
ซอลก็อยากจะปฏิเสธ แต่ว่าเขาก็คิดว่าสิ่งที่เธอพูดไม่ได้ผิดเลยสักนิด ท้ายที่สุดแล้วต่อให้เขาทอดทิ้งโลก และตัดสินใจใช้ชีวิตในพาราไดซ์ สิ่งต่างๆก็ไม่ได้ต่างไปจากสภาพที่เป็นอยู่อยู่ดี
เขายังคงมีความเสี่ยงสูงมากที่จะตาย
นี่ก็คือหนึ่งในสิ่งที่เขาได้เรียนรู้จากสงครามครั้งนี้
หากว่ามีเจ็ดกองทัพมาอีกจะเกิดอะไรขึ้นกันล่ะ?
“…”
จากนั้นเขาก็ต้องไปทรมานอยู่บนเตียงโรงพยาบาลพร้อมความทรงจำขาดหายน่ะหรอ?
‘อาจารย์จางคงอยากจะให้ฉันมาที่ร้านอาหารของฟีโซราก็เพราะเรื่องนี้สินะ?’
นอกจากเหตุผลนี้ เขาก็คิดอะไรไม่ออกแล้ว
‘เดี๋ยวก่อนนะ’
พอคิดถึงความตั้งใจของจางมัลดงแล้ว ความคิดหนึ่งก็ได้เข้ามาในใจเขา เขานึกขึ้นได้ถึงสิ่งที่จะต้องคุยกับฟีโซรา
‘น่าจะนะ’
เขาก็ไม่ได้มั่นใจ แต่ว่าเขาก็ต้องรีบตัดสินใจออกมา
“มีเรื่องที่ผมอยากจะถามอยู่”
“เรื่องอะไรล่ะ?”
“มันไม่ใช่เรื่องสงครามหรอก แต่ว่าพูดเรื่องนี้ไปอาจจะทำให้คุณไม่สบายใจได้”
ฟีโซราได้หมุนตะเกียบในหม้อ จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมาเล็กน้อย
“อืมม… พอนายพูดขึ้นมา ฉันก็ชักจะสงสัยแล้วสิ เอาเลย ไว้ค่อยตัดสินใจทีหลังแล้วกัน”
ซอลจีฮูได้พูดขึ้นอย่างสงบ
“มันเป็นเรื่องซอลอากับซังจินน่ะ”
สีหน้าของฟีโซราได้บูดบึ้งลงไปอย่างรวดเร็ว