ตอนที่ 187

The Second Coming of Gluttony

บทที่ 187 – การเปลี่ยนแปลงที่คาดไม่ถึง (2)

“…ฉันก็น่าจะห้ามให้พูดถึงเรื่องนี้เหมือนกัน”

ฟีโซราได้พึมพำออกมาด้วยรอยยิ้มแห้งๆ จากนั้นเธอก็ถอนหายใจยาวออกมาก่อนที่จะหยักหน้ารับ

“เอาเถอะนะ ว่ามาสิ”

เธอได้ตกลง นี่มันทำให้ซอลจีฮูตกใจเป็นอย่างมาก

เขาควรจะเริ่มยังไงดีนะ? นี่มันเป็นเรื่องที่ค่อนข้างจะอ่อนไหว เพราะงั้นซอลจีฮูจึงรู้สึกลังเล ในท้ายที่สุดแล้วเขาก็ได้ตัดสินใจถึงแผนในอนาคตของเธอก่อน

ความคิดของเธออาจจะเปลี่ยนไปจากครั้งก่อนที่พวกเขาคุยกันก็ได้ ยังไงนับตั้งแต่ที่พวกเขาคุยกันเรื่องนั้นก็ผ่านมานา และยังต้องเจอเข้ากับเหตุการณ์พิเศษอีกด้วย หากว่ามีโอกาส ซอลจีฮูก็อยากจะถามออกไป

เขาได้ถามขึ้นตรงๆ

“มีเหตุผลอะไรหรอครับ?”

“?”

“เหตุผลที่คุณเลือกอยู่กับคาเพเดี่ยมต่อ”

ฟีโซราได้แค่นเสียงออกมาอย่างเมินเฉย

“ถึงฉันจะไม่เคยพูดมันออกมา แต่ฉันคิดว่าฉันเคยแสดงให้นายเห็นผ่านการกระทำไปหลายครั้งแล้วนะ”

นี่มันหมายความว่าแผนของเธอยังเหมือนเดิม

“ผมก็แค่ไม่เข้าใจว่าทำไมกัน คนแบบคุณน่าจะสามารถเข้าร่วมองค์กรที่ยิ่งใหญ่กว่าคาเพเดี่ยมได้ง่ายๆเลย”

“นั่นก็จริง”

ฟีโซราได้ยอมรับออกมาโดยที่น้ำเสียงไม่ดูหยิ่งผยองเลยสักนิด

“แต่ว่ามันก็ยากที่จะหาสถานที่ที่มีบรรยากาศเหมือนกับคาเพเดี่ยม แล้วก็พูดตรงๆเลยนะ ฉันคิดว่าคาเพเดี่ยมเหมาะกันกับฉัน”

“เหมาะหรอครับ?”

“ฉันไม่ใช่คนจำพวกที่จะไปเข้าทีมที่ตั้งขึ้นมาเรียบร้อยแล้ว และแค่เข้าไปในกล่องที่จัดวางไว้เป็นอย่างดี นายก็รู้ใช่ไหมว่าฉันได้เข้าไปในพาราไดซ์ในฐานะตราประทับสีแดง?”

ซอลจีฮูได้หยักหน้าออกมาเมื่อนึกไปถึงข้อมูลในหน้าต่างสถานะที่เขาได้เห็น

“”นายก็รู้ใช่ไหมว่าผู้ชายเป็นยังไง? พวกเขามักจะพูดถึงความลำบากในการเข้าไปในกองทัพ แต่ว่าพวกเขาก็บอกว่ามันก็ไม่ได้แย่เช่นกัน ฉันเข้าใจนะว่าพวกเขาหมายถึงอะไร ในตอนแรกที่ฉันเข้าไปในพาราไดซ์มันลำบากมากจริงๆ ทำงานเหมือนกับสุนัข ถูกดูถูกเหยียดหยามเหมือนกับทาส…”

ฟีโซราได้ยิ้ยมเยาะก่อนที่จะหยิบแก้วเหลาขึ้นมาหมุนเล่น

“ฉันต้องเสี่ยงชีวิตนับครั้งไม่ถ้วน และในท้ายที่สุดด้วยทักษะของฉันเพียงอย่างเดียวก็ทำให้ทุกๆคนหุบปากลงไปได้ นั่นมันสนุกจนน่าทึ่งไปเลยล่ะ”

คำว่าสนุกของเธอมันทำให้ซอลจีฮูกังวลอยู่หน่อยๆ แต่ว่าเขาก็ไม่ได้สนใจปัญหาเรื่องนี้นัก ในท้ายที่สุดแล้วบรรยากาศของเกมก็คือการที่ผู้คนได้สนุกไปกับการขึ้นไปอยู่ในจุดสูงสุดมากกว่าการที่เริ่มต้นมาแล้วอยู่ในจุดสูงสุดและได้ทุกอย่างมา

นี่ก็คือสิ่งที่เธอจะบอก

“แล้วก็นะ ฉันคิดว่าฉันคิดว่าฉันควรจะคว้าโอกาสดีๆในการเข้าทีม”

“คุณหมายความว่าอะไรหรอ?”

“นี่นายไม่เข้าใจหรอ? ด้วยการมีนายอยู่จะทำให้ศักยภาพของคาเพเดี่ยมไร้ขีดจำกัด มันมีโอกาสที่จะกลายเป็นองค์กรขนาดใหญ่ที่ต่อให้ผู้คนจะยากเข้าแค่ไหนก็ไม่อาจจะเข้าได้เลยล่ะ”

ฟีโซราได้ยกแก้วเหล้าขึ้นมาดื่ม

“ฉันไม่รู้หรอกนะว่านายคิดยังไง แต่ว่าฉันคิดว่าในตอนนี้ฉันได้ให้อะไรกับคาเพเดี่ยมไปมากแล้ว และก็หากว่าฉันได้มีบทบาทสำคัญในทีมนับตั้งแต่ที่เริ่มก่อตั้ง ฉันก็อาจจะกลายเป็นผู้ร่วมก่อตั้งองค์กรยักษ์ใหญ่ในอนาคตก็ได้”

“ผู้ร่วมก่อตั้งงั้นหรอ?”

“ใช่แล้ว เว้นก็แต่ว่าฉันจะมองนายผิดไปล่ะนะ พอนายกลายมาเป็นหัวหน้าองค์กรที่นับเป็นหนึ่งในเสาหลักของพาราไดซ์ นายก็คงจะไม่หักหลังฉันใช่ไหมล่ะ?”

ฟีโซราได้ยิ้มออกมาราวกับว่าแค่คิดเรื่องนี้ก็ทำให้เธอมีความสุข

ซอลจีฮูอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมากับความซื่อตรงของเธอ

“มาฝันเรื่องของอนาคตนี่มันจะไม่เร็วไปหน่อยหรอ?”

“ใครๆก็ฝันได้ทั้งนั้นแหละ ฉันมั่นใจเลย”

เอาเถอะนะ ความมั่นใจของเธอก็เป็นธรรมดา ในเมื่อเธอก็เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้กิลด์กุหลาบขาวเด่นขึ้นมา

เมื่อคำนึงไปถึงทักษะของฟีโซราแล้ว ซอลจีฮูก็คิดว่าเขาควรจะอ้าแขนรับเธอ แต่ว่ามีบางสิ่งที่มาหยุดเขาเอาไว้จากการรับเธอเข้ามาอย่างมีความสุข

พูดตามตรงแล้ว ฟีโซราในมุมมองของซอลจีฮูนั้น เธอเป็นชาวโลกที่เหมาะกับการเป็นผู้นำมากกว่าผู้ตาม

“แล้วคุณไม่สนใจจะตั้งทีมของตัวเองหรอ? ด้วยประสบการณ์ของคุณมันก็เป็นไปได้มากว่า-“

“ไม่ล่ะ”

แต่ว่าก่อนที่เขาจะได้ทันพูดจบ ฟีโซราก็โบกมือปฏิเสธออกมา

“ไม่ใช่ว่าฉันเกลียดคำชมหรอกนะ แต่ว่าฉันคิดว่านายประเมินฉันสูงเกินไป ฉันรู้จักตัวเองดี ฉันไม่เหมาะจะเป็นผู้นำหรอก”

เธอได้ส่ายหัวออกมาและพูดต่อ

“นอกไปจากนี้ ฉันก็จะไม่นำใครให้กลายเป็นแบบนั้นอีกแล้ว ทำไมน่ะหรอ? ก็เพราะว่าฉันไม่อยากจะทำมันไงล่ะ ไม่มีวัน”

เธอได้ยืนยันถึงการตัดสินใจของเธอ โดยได้เน้นย้ำคำพูดถึงสองครั้ง

ขณะที่ซอลจีฮูผงะไปเล็กน้อยจากการปฏิเสธอันหนักแน่นของเธอ ใบหน้าฟีโซราก็มีร่องรอยความโศกเศร้าปรากฏขึ้นมา

แม้ว่ามันจะเป็นแค่เสี้ยววินาที แต่ซอลจีฮูก็ไม่ได้พลาดไป และในไม่ช้าเขาก็รู้ว่าเธอกำลังรู้สึกอะไรอยู่

‘แผลใจ’

นั่นมันเพราะการเลือกผิดครั้งเดียว เธอได้นำทีมของเธอที่อยู่ร่วมกันมานานไปสู่ความตาย นี่มันจะต้องเปลี่ยนมุมมองของเธอไปสักทางใดก็ทางหนึ่งอย่างแน่นอน

ซอลจีฮูได้เต็มไปด้วยอารมณ์มากมาย แต่ว่าไม่นานนักเขาก็ส่ายหัวออกมา

เขาต้องการที่จะขีดเส้นแบ่งระหว่างเรื่องส่วนรวมกับเรื่องส่วนตัวให้ชัดเจน

แม้ว่ามันจะยากที่จะพูดว่าเขาได้พยายามเต็มที่แล้ว แต่ยังไงเขาก็ได้ตัดสินใจบอกความจริงกับฟีโซราไปแล้วเช่นกัน

“ผมรู้ว่าคุณบอกไม่ให้ผมพูดเรื่องนี้ แต่ผมขอพูดหน่อยนะ ผมรู้สึกซาบซึ้งมากจริงๆที่คุณได้เข้าร่วมสงครามกับเขา”

“ขอบใจที่พูดแบบนั้นนะ ฉันก็กลัวว่านายจะล้อที่ฉันถูกซัดจนหมอบในครั้งเดียว ทั้งๆที่โม้ไว้มากซะอีก”

ซอลจีฮูได้ส่ายหัวออกมา ความคิดนี้มันไม่เคยเข้ามาในหัวของเขาเลย

ตัวตนของเจ็ดกองทัพเป็นสิ่งที่ไม่มีใครคาดถึง และผู้บัญชาการกองทัพก็ไม่ใช่ตัวตนที่ธรรมดา

ซอลจีฮูก็ยังได้ยินมาว่าฟีโซราไม่ยอมส่งตัวเขาออกไปจนกระทั่งท้ายที่สุด ถึงขนาดที่ความหมั่นเพียรอันนิรันดร์บอกว่าจะไม่ฆ่าเธอ ถ้าเธอส่งเขามาก็ตาม

หรือก็คือเธอเป็นพรรคพวกที่ไว้ใจได้ คนเขาจะเห็นธาตุแท้ของคนอื่นในสถานการณ์รุนแรงเช่นนี้ เพราะงั้นในตอนนี้มุมมองของซอลจีฮูที่มีต่อฟีโซราจึงไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว

อย่างน้อยที่สุเธอก็ยังดีกว่าไอ้สารเลวที่ยกมือจะตะโกนเผยตัวตนของเขาเป็นพันๆเท่า

“ในตอนอยู่ที่ภูเขาหินยักษ์นายไม่ได้สนใจฉันสักนิดเลย ดูเหมือนว่ามันคุ้มค่านะที่ฉันต้องเสี่ยงชีวิต”

…เอาเถอะนะ ดูเหมือนว่าเธอก็คิดเหมือนกัน

ซอลจีฮูได้เดาะลิ้นขึ้นในใจ จากนั้นก็พูดต่อ

“เหตุผลที่ผมไม่ชอบคุณก็เพราะซอลอากับซังจิน อย่างที่คุณพอจะเดาได้ ทั้งคู่ดูจะรู้สึกไม่สบายใจที่มีคุณอยู่ด้วย พวกเขากระทั่งหวาดกลัวคุณในระดับหนึ่งด้วยซ้ำไป ผมมั่นใจว่าคุณก็คงรู้ว่าทำไม”

“ใช่แล้ว ฉันรู้”

“แน่นอนสิ เมื่อคำนึงถึงความสัมพันธ์ของบคจองซิคกับคุณฟีโซราแล้ว ผมก็เข้าใจว่าทำไมคุณถึงทำแบบนั้น แต่ว่าก็มีแค่เหตุผลนี้เท่านั้นเอง”

ในตอนนั้นเองคิ้วของฟีโซราก็ได้กระตุกขึ้นมาเล็กน้อย

“สิ่งสำคัญก็คือในตอนนี้จะต้องไม่มีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นอีก นั่นเพราะว่าคาเพเดี่ยมไม่มีการแบ่งฝ่าย”

“…”

“ผมจะยินดีมากหากว่าคุณฟีโซราสามารถจะอยู่ร่วมกับสองพี่น้องได้ แต่ว่า… ผมรู้ว่านั่นมันไม่ใช่สิ่งที่ผมจะไปบังคับอะไรได้ ถึงยังไงก็ตามอย่างน้อยที่สุดผมก็หวังให้ความสัมพันธ์ของพวกคุณพัฒนาขึ้นจนไม่ส่งผลกับภารกิจในอนาคต…”

ขณะคุยกันซอลจีฮูก็สังเกตสีหน้าของฟีโซราไปด้วย จนถึงจุดนี้แล้วใบหน้าของเธอได้แข็งทื่อไปเล็กน้อย แต่ว่าเขาก็ไม่ได้เห็นการเปลี่ยนแปลงอะไรที่เด่นชัด

เมื่อดูจากฉายาของเธอแล้ว ปฏิกิริยาพวกนี้จึงเป็นเรื่องค่อนข้างดี เพราะงั้นซอลจีฮูจึงค่อยๆพูดต่อ

“ในเมื่อพวกเราคุยกันเรื่องนี้แล้ว…”

เขาได้เทโชจูลงไปในแก้วเปล่า และพูดต่อ

“คุณได้คิดเรื่องขอโทษสองพี่น้องบ้างไหมครับ? ในความเห็นของผม หากว่าคุณแสดงความจริงใจด้วยการกระทำ สองพี่น้องก็จะให้อภัยอย่างแน่นอน”

เพราะเขามัวแต่หมกหมุ่นอยู่กับอย่างอื่น เขาจึงไม่ได้สังเกตเห็นสายตาของฟีโซราที่กระตุกขึ้นมาเลยสักนิด

“หากว่าคุณกังวล ผมก็ช่วยได้เหมือนกัน เด็กๆพวกนั้นเป็นคนดี เพราะงั้นพอผมคุยกับพวกเขา ผมมั่นใจว่า-“

ตึง! เสียงทุบโต๊ะได้ดังออกมา

ซอลจีฮูที่กำลังเอียงแก้วโชจูอยู่ได้เงยหน้าขึ้นมาทันที

ฟีโซรากำลังจ้องมาที่เขาด้วยสีหน้าไม่พอใจ

“คุณฟีโซรา?”

“นายไม่ได้เข้าใจมันเลย-“

เธอได้บ่นขึ้นทันที

“ฉันหมายถึงเรื่องไม่ต่อสู้ ไม่ทะเลาะ ไม่ทำให้สองพี่น้องไม่สบายใจ เรื่องพวกนั้นฉันยอมรับได้ แต่ว่าอะไรกันล่ะ? ขอโทษ? ชดใช้?”

ทันใดนั้นเธอก็เริ่มแสดงอารมณ์ร้ายออกมา ซอลจีฮูได้จ้องฟีโซราด้วยสีหน้าตกตะลึง

“ก็ได้ ฉันมันคนบาป ฉันต้องชดใช้ในบาปของฉัน”

ซอลจีฮูได้หรี่ตาขึ้นมา

“…คุณกำลังพูดอะไรกัน?”

น้ำเสียงของเขาได้ทุ้มลึกขึ้น

“ฉันก็บอกว่าฉันจะชดใช้ในบาปของฉันไง!”

เมื่อฟีโซราตะโกนขึ้น สายตามากมายก็หันมามองเธอ อารมณ์ของซอลจีฮูก็ดิ่งต่ำลงไปเช่นกัน

“คุณพูดเหมือนกับว่าคุณไม่ได้ทำอะไรผิดเลยนะ”

“งั้นหรอ? ฉันพูดแบบนั้นเมื่อไหร่กัน? ทั้งหมดที่ฉันถามคือทำไมฉันจะต้องเป็นคนที่ต้องโทษคนเดียวล่ะ?”

“น่าตลกนะครับ หากว่าคุณไม่อยากจะเป็นคนผิด แล้วทำไมคุณถึงได้ทำแบบนั้นกับสองพี่น้องล่ะ?”

“ก็เพราะพวกเขาสมควรได้รับแล้วไง!”

ฟีโซราได้ถลึงตามอง และตะโกนขึ้น

“คุณฟีโซรา”

ซอลจีฮูได้ขมวดคิ้วขึ้น

“คุณจะคุยกับผมไม่ใช่หรอ?”

“นายเรียกว่านี่คือการคุยหรอ?” มันเป็นการออกคำสั่งฝ่ายเดียว”

“…”

“ฉันก็ทนมันเอาไว้แล้วนะ แต่ว่าฉันทนฟังต่อไม่ไหวแล้ว”

ฟู่วว! ฟีโซราได้พ่นลมออกมา ก่อนที่จะเริ่มพูดต่อ

“เด็กๆพวกนั้น พวกเขาควรที่จะรู้สึกยินดีที่ต้องลำบาก เอาเถอะ ในเมื่อนายอยู่ข้างพวกเขา ฉันก็มั่นใจว่านายก็คงจะ ‘โอ้ว~ ลูกๆของฉัน~’ แต่ว่าหากพวกเขาเป็นคนแปลกหน้า นายก็ยังจะทำแบบเดียวกันไหม? ฉันหมายถึงว่านายเคยคิดเรื่องนี้ในมุมมองของฉันไหม?”

เหตุผลที่ซอลจีฮูไม่ได้พูดอะไรกลับไป…

[นายกำลังยกย่องเธอไม่หยุดเลยนะ แต่ว่าหากนายไม่รู้จักเธอ นายยังจะพูดแบบนี้ได้ไหม?]

…นั่นเพราะสิ่งที่จางมัลดงเคยพูดกับเขา

“นายบอกว่านายเข้าใจว่าทำไมฉันถึงทำแบบนั้น? ไม่เลย นายไม่เข้าใจสักนิด นายมันไม่รู้อะไรเลย”

ซอลจีฮูยังคงกดอารมณ์และกอดอกเอาไว้

“ถ้างั้นเหตุผลอะไรล่ะครับ?”

“เหตุผลสินะ มันมีเยอะจนนับไม่ไหวเลยล่ะ”

ฟีโซราได้หายใจออกมาสั้นๆ เธอได้กอดอกขึ้นเหมือนซอลจีฮู จากนั้นก็เชิดคางขึ้นอย่างหยิ่งยโส

“อย่างแรกเลย ฉันไม่ชอบการที่พวกเขาถูกไอ้เลวบคนั่นพามา”

“ผู้หญิงคนนั้นมาคนเดียวก็ได้ แต่ว่าเธอกลับยืนกรานที่จะพาน้องชายมาด้วย และทำให้เขาต้องใช้คะแนนคุณูปการที่จำเป็นไปถึงสองเท่า”

“แล้วก็เรื่องกลายเป็นระดับ 2 ในสามเดือนน่ะหรอ? เหอะ ด้วยทรัพยากรมากมายที่บคจองซิคได้ให้กับเธอในฐานะอนาคตของกุหลาบขาวแล้ว มันก็คงเป็นแต่เศษสวะเท่านั้นแหละที่จะไปไม่ถึงระดับ 2 ในเวลานั้น”

“แล้วก็ในตอนที่ฉันแสดงความเห็นเรื่องที่ว่าเราทุ่มทรัพยากรไปให้กับคนๆเดียวมากเกินไป เขาก็ได้บังคับให้นักธนูที่อยู่ใต้การดูแลของฉันออกไปจากกิลด์ นายไม่คิดว่ามันไม่ยุติธรรมหรอ? ความไม่ลงรอยกันในกิลด์? นี่มันไม่ตลกเลยสักนิด”

ฟีโซราได้พูดสิ่งที่คิดออกมารัวๆราวกับรอเวลานี้อยู่ และซอลจีฮูก็เพียงแค่เม้มปากฟังเธอพูด

เขาคุ้นเคยกับความวุ่นวายของกุหลาบขาวแล้ว จากสิ่งที่ฟีโซราพูด มันดูเหมือนกับว่าบคจองซิคจะได้ใช้ยี่ซอลอาในการกดทันฟีโซราและกลุ่มของเธอ ซึ่งนี่เป็นเหตุผลทำให้ฟีโซราไม่ชอบในตัวยี่ซอลอา

“แต่ผมก็ไม่เห็นว่ามันเป็นความผิดของซอลอาเลยนะ”

“เห็นไหมล่ะ ฉันรู้ว่านายจะพูดแบบนี้อยู่แล้ว ฟังนะ ฉันไม่ได้กำลังจะบอกว่าใครถูกใครผิด ฉันก็แค่อธิบายว่าทำไมฉันถึงไม่ชอบเธอ”

เธอได้พูดต่อทันที

“แล้วก็นะ นายคิดว่ามันมีแค่นี้หรอ?”

ฟีโซราได้สูดหายใจเข้าเล็กน้อย จากนั้นก็พูดต่ออีกครั้ง

“หากว่าเธอเป็นเทพธิดาที่สมบูรณ์แบบ ฉันจะไม่สนเลยสักนิด แต่ว่าเธอไม่ใช่ และฉันก็ได้วิจารณ์ในข้อบกพรองของเธอ ฉันบอกไปว่าอย่างน้อยเธอก็ควรจะพยายามทำตัวเหมือนกับตั้งใจสักหน่อย แต่ว่าเธอกลับร้องไห้ออกมาในทุกๆครั้งที่ถูกวิจารณ์แม้แต่นิด จากนั้นก็ปิดท้ายด้วยการแสดงให้คนอื่นเห็นว่าเธอกำลังฝืนยิ้ม”

“คุณกำลังจะบอกว่าซอลอาไม่ได้พยายามเลยหรอ?”

“ฉันมั่นใจว่าเธอคิดว่าเธอพยายามแล้ว แต่ในสายตาของฉัน? มันไม่เลยสักนิด ตอนนี้นายก็น่าจะรู้เหมือนกัน พาราไดซ์น่ะมันไม่ใช่สถานที่ง่ายๆหรอกนะ”

ฟีโซราได้จ้องมาที่ซอลจีฮู

“อยากจะให้ฉันเล่าเรื่องตลกอะไรให้ฟังไหมล่ะ?”

มุมปากของเธอได้ขยับยิ้มออกมา

“นายยังจำเรื่องการเจรจาย้ายสังกัดได้ไหม? ไอ้สารเลวบคนั่นเต็มใจที่จะย้ายสองพี่น้องออกไปจริงๆ หากว่านายมอบของที่ได้มาจากงานจัดเลี้ยงให้กับเขา”

“ผมไม่เห็นได้ยินแบบนั้นเลย”

“มีเด็กของฉันคนหนึ่งได้ยินมาจากปากหมอนั่น และไอ้สารเลวนั่นก็เชี่ยวชาญในการเปลี่ยนสีอยู่แล้ว ฉันมั่นใจว่าเขาจะต้องพูดอะไรอยากการตอบแทนบุญคุณของปู่หรือว่าหวังว่านายจะสามารถดูแลซอลอากับซังจินที่ล้ำค่าของเขาเพื่อที่จะมัดตัวนายให้เขาร่วมการปฏิบัติการณ์ที่ผิดพลาดของเขา”

ใบหน้าซอลจีฮูได้แข็งทื่อไป

“ยิ่งไปกว่านั้นนะ มีอีกเรื่องที่ฉันทนไม่ไหว หากมันแค่ครั้งสองครั้งก็ยังพอรับได้ แต่ว่ามันแทบจะตลอดเวลาเลย ยัยเด็กนั่นมักจะพูดเรื่องบทฝึกสอนอย่างนั้น~ เขตพื้นที่เป็นกลางอย่างนี้~ คุณพี่ซอลแบบนั้น~ คุณพี่ซอลแบบนี้~ ชิ มันเหมือนกับว่าพวกเขากำลังมาเที่ยวต่างอากาศกันแน๊ะ?”

ฟีโซราได้ถ่มน้ำลายลงบนพื้น จากนั้นก็เสยผมกลับไป

“เอาเถอะก็ได้ ลืมเรื่องทั้งหมดตะกี้ไปเถอะนะ”

“…”

“ฉันทำตามบคจองซิคพาพวกเขาเข้ามาก็เพราะกฎของกิลด์ แต่ว่าสำหรับคนที่ล่ะทิ้งโอกาสในการพัฒนาตัวเอง และยังใช้คะแนนคุณูปการไปเป็นจำนวนมาก ในฐานะของการเป็นสมาชิกผู้อาวุโสของกิลด์แล้ว นี่มันเป็นเรื่องที่น่ารังเกียจใช่ไหมล่ะ แล้วฉันยังต้องมาคุกเข่าขอขมาต่อบาปที่ฉันให้พวกเขาพยายามให้มากขึ้นงั้นหรอ?”

สมมติว่าฟีโซราพูดจริง หากว่าซอลจีฮูเป็นฟีโซรา แล้วด้วยบัญญัติทองคำของเขา เขาจะทำตัวยังไงกับพี่น้องยี่กันนะ?

จะเป็นยังไงหากว่าพวกเธอเอาแต่พูดว่า ‘พี่สาวซังอาอย่างนั้น~ พี่ชายซังมินแบบนี้~’

ซอลจีฮูได้หลับตาลงไป

“เอาล่ะ ตอนนี้มันก็ถึงเวลาที่นายต้องมาเห็นใจฉันบ้างแล้ว”

“…”

“อะไรอีกล่ะ? นายคิดว่าฉันพูดเกินไปงั้นหรอ? ชีวิตฉันมันก็เลวร้ายไม่ต่างไปจากพี่น้องยี่หรอกนะ ฉันจะเล่าเรื่องทั้งหมดให้นายฟังทั้งคืนเลยก็ได้ ถ้างั้นแล้วนายจะมาเห็นใจฉันบ้างไหม?”

ฟีโซราได้หัวเราะออกมาราวกับว่าเธอคิดว่าสิ่งที่เธอพูดออกไปมันน่าขำจริงๆ

“เอาเถอะ พูดเรื่องอดีตไปก็ไม่มีประโยชน์ ฉันก็ลำบากมากอยู่แล้ว กิลด์ก็หายไป จนก็จน ตัวคนเดียวลำพังไม่มีที่ให้ไป ในสงครามครั้งล่าสุดก็เกือบจะต้องตาย”

ยังไงก็ตามฟีโซราไม่เคยขอความเห็นใจกับเรื่องพวกนี้เลยสักครั้งเดียว

เธอได้เพียรพยายามออกมาด้วยตัวเอง

นั่นก็เพราะว่าเธอได้ยอมรับความจริงว่าเธอเป็นคนเลือกมาที่นี่เอง และยังยอมรับในความผิดพลาดที่เธอเคยทำ

กับยี่ซอลอาก็เป็นเช่นเดียวกัน เธอบอกว่าเธอไม่มีเหตุผลให้ต้องไปขอโทษยี่ซอลอา เพราะว่ายี่ซอลอามีความคิดผิดๆ

“ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเพื่อนสนิทของฉันที่เพิ่งจะฆ่าตัวตาย แล้วฉันก็ต้องไปงานศพของเธอ-“

ต่อจากนั้นฟีโซราก็รีบปิดปากลง และซอลจีฮูก็ได้หันหน้าไปหาเธอ

“อีกแล้วหรอ?”

ฟีโซราไม่ได้พูดอะไรอีก และหลบสายตาออกไป ดวงตาที่จ้องกำแพงของเธอแดงขึ้นมาเล็กน้อย เธอได้ปิดตาลง และลำคอก็กลืนน้ำลายลงไป

หลังจากเงียบอยู่สองสามนาที…

“…ยังไงก็ตาม”

ฟีโซราได้สูดหายใจเข้าเล็กน้อย จากนั้นก็ลืมตากลับขึ้นมา

“ทำไมฉันถึงไม่ขอโทษ…? ช่วยอย่าพูดแบบนั้นอีก”

น้ำเสียงของเธอกระทั่งสั่นไหวเช่นกัน

“นี่คือวิถีชีวิตของฉัน ไม่ใช่แค่ที่นั้น แต่ยังเป็นที่นี่ด้วย”

มันราวกับว่าเธอมีปมหรือความต้องการที่จะแข็งแกร่งขึ้นเพื่อสู้กับความไม่ยุติธรรม

ฟีโซราได้ตัดสินใจในวิธีการใช้ชีวิตของเธอในพาราไดซ์ เหมือนกับซอลจีฮู ด้วยกฎนี้ของเธอ เธอจึงไม่อาจจะเข้าใจความคิดของยี่ซอลอาได้

“นั่นคือวิถีชีวิตของฉัน…!”

หลังจากพึมพำอย่างไม่พอใจ เธอก็คว้าขวดโชจูมายกกระดกลงไป

‘วิถีชีวิต…’

ซอลจีฮูได้มองไปที่ใบหน้าที่แดงอยู่ของฟีโซราโดยที่ไม่อาจจะพูดอะไรได้

หากว่าเป็นเมื่อก่อน เขาก็อาจจะเรียกฟีโซราว่าบ้า บอกว่าสิ่งที่เธออธิบายมันเป็นเรื่องไร้สาระก่อนที่จะเดินหนีไป

แต่ว่าหลังจากได้มีประสบการณ์ที่ต่างออกไปในพาราไดซ์แล้ว วิธีคิดของซอลจีฮูก็เปลี่ยนแปลงไปต่างจากเมื่อก่อนอย่างสิ้นเชิง

มันก็เหมือนกับว่าคนเราจะสนับสนุนกลุ่มคนที่พวกเขาเชื่อว่าเสียเปรียบและอ่อนแอ

แต่ว่านั่นมันก็ไม่ได้หมายความว่าคนที่แข็งแกร่งจะชั่วร้าย และคนอ่อนแอจะเป็นคนดีเสมอ

นี่คือสิ่งที่เขาได้เรียนรู้มาจากงานจัดเลี้ยง

และพอคิดแบบนี้แล้ว เขาก็สงสัยขึ้นมา

ทำไมบคจองซิคที่ชื่นชอบพี่น้องยี่ขนาดนั้น ถึงได้จู่ๆมาใช้พวกเขาแล้วทิ้งแบบนี้กันล่ะ? พี่น้องยี่ทำอะไรผิดพลาดไปงั้นหรอ?

จู่ๆเรื่องราวก็กลายเป็นซับซ้อนขึ้นมาทันที จนมันยากที่จะตัดสินใจว่าใครถูกหรือผิด

เขาได้เม้มปากแน่น ก่อนที่ท้ายที่สุดแล้วจะคว้าขวดโชจูมากระดกเหมือนกับฟีโซรา

***

แสงจากดวงอาทิตย์ได้ตกลงมากระทบบนดวงตาของเขา คิ้วของซอลจีฮูได้กระตุกขึ้นพร้อมกับดวงตาที่ค่อยๆเปิดขึ้นมา

ก่อนที่เขาจะได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น อาการเมาค้างก็พุ่งขึ้นมาที่หัวเขา

เขาได้กลิ้งตัวไปมาอยู่นานก่อนที่จะลืมตาขึ้นอีกครั้งเมื่อความมึนงงลดลงไป แม้ว่าภาพตรงหน้าจะไม่ชัด แต่ว่าเขาก็เห็นสิ่งที่ยาวเหมือนกับหมอนข้าง

เขายังจำถึงการแข่งดื่มเมื่อคืนอยู่ แต่แล้วจู่ๆความทรงจำของเขาก็ถูกตัดไปแค่ตรงนั้น

“อ๊า…”

อาการปวดหัวได้กลับมาอีกครั้งทำให้เขาพุ่งเข้าไปกอดหมอนข้างเอาไว้

‘อะไรก็ได้’

เขาได้มุดหน้าเข้าไปในหมอนข้างด้วยความคิดที่ว่า ‘หลับดีกว่า’

บางทีอาจจะเพราะอุณหภูมิร่างกายของเขาก็ได้ หมอนข้างให้ความรู้สึกอบอุ่นและนุ่มแปลกๆ ขณะที่เขากำลังพึงพอใจและหลับลงไปนั้นเอง

“อ่า…”

เสียงแล้วเสียงรำคาญอย่างเห็นได้ชัดก็ดังเข้ามาในหูของเขา

“หมอนี่มันเอาอีกแล้ว…”

ซอลจีฮูได้เบิกตาขึ้นโพล่ง