ใบหน้าของเจ้าสํานักเฟินเทียนและเจ้าสํานักชางเยี่ยฉายแววตื่นตระหนก “ไม่ทราบว่าท่านผู้ใดมา ? ตอนนี้คนของสํานักซวนปิงยังไม่ออกมา ข้าเกรงว่า…”
— ฟึ่บ! —
พวกเขาต้องการที่จะบุกเข้าไปในดินแดนลึกลับทางตะวันตก แต่ตอนนี้ดินแดนลึกลับทางตะวันตกไม่สามารถให้คนเข้าไปได้แล้ว แม้เป็นจักรพรรดิแห่งภูตก็ยังไม่สามารถฝืนเข้าไปในดินแดนลึกลับได้
“เปิด!”
เจ้าสํานักชางเยี่ยกล่าวอย่างจนปัญญาว่า “หากคิดจะเข้าสู่ดินแดนลึกลับทางตะวันตกเป็นครั้งที่สอง นั่นต้องหลังจากสิบปี! พวกข้าก็ไม่สามารถทําอะไรได้แล้ว!”
— ตูม! ตูม! ตูม! —
ผู้มาเยือนนั้นมีอํานาจมาก หากตนเองไม่พอใจก็จะลงมือตามอําเภอใจ ทำร้ายเจ้าสํานักชางเยี่ยบาดเจ็บสาหัส!
“พรวด!” ร่างของเจ้าสํานักชางเยี่ยกระเด็นลอยออกไป เลือดสด ๆ ไหลออกมาจากปากของเขา ช่างดูน่าเวทนา!
“ท่านเจ้าสํานัก!” สีหน้าศิษย์ของสํานักชางเยี่ยเปลี่ยนไปอย่างมาก
ยอดฝีมือชุดขาวผู้นั้นกวาดตามองคนตรงหน้าเหล่านี้แล้วกล่าวว่า “ในหมู่พวกเจ้า ไม่มีคนของสํานักซวนปิงจริง ๆ หรือ ?”
ป้ายชีวิตแตกเป็นเสี่ยง ๆ ไปแล้ว ต่อให้พยายามเข้าไปในดินแดนลึกลับทางตะวันตก ก็ทําได้เพียงไปเก็บศพให้พี่ใหญ่เท่านั้น
เขากล่าวอย่างโกรธเกรี้ยว “ดี! คนชนบทห่างไกลความเจริญทางตะวันตกอย่างพวกเจ้าช่างห้าวหาญเสียจริง พี่ใหญ่ของข้าได้ให้เกียรติเข้ามาสู่ดินแดนลึกลับทางตะวันตกของพวกเจ้า แต่พวกเจ้ากลับกล้าสังหารเขา!”
เจ้าสํานักเฟินเทียนและเจ้าสำนักชางเยี่ยต่างรู้สึกกระวนกระวายใจ พวกเขารีบกล่าวว่า “นายท่าน พวกข้า… พวกข้าไม่รู้จริง ๆ ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น”
“ใช่! นายท่านโปรดอธิบายด้วย พวกข้าเข้ามาในแดนลึกลับไม่เคยสังหารใครมาก่อน จะมีก็แต่สัตว์วิญญาณเท่านั้น”
ชายชราชุดขาวกล่าว “ข้าเป็นผู้อาวุโสที่สองของสํานักอวิ๋นเยียน สํานักนิกายระดับหนึ่ง พี่ใหญ่ของข้าพาลูกศิษย์มาฝึกฝนที่ทางตะวันตกของพวกเจ้า แต่กลับคิดไม่ถึงว่าป้ายชีวิตของพี่ใหญ่ของพวกเราในสํานักจะแตกเป็นเสี่ยง ๆ เมื่อไม่นานก่อนหน้านี้ และเจ้าสํานักของพวกข้ามีวิธีลับในการมองเห็นว่าเป็นเจ้าสํานักของสํานักซวนปิงที่ฆ่าพี่ใหญ่ของข้า”
ทุกคนตะโกนออกมาทันทีว่า “ว่าอย่างไรนะ ?! เจ้าสํานักซวนปิงสังหารผู้อาวุโสสูงสุดของสํานักอวิ๋นเยียนแห่งสํานักนิกายระดับหนึ่งรึ ?!”
“เจ้าสํานักซวนปิงคงไม่ได้บ้าไปแล้วกระมัง แม้แต่ผู้อาวุโสสูงสุดของสํานักอวิ๋นเยียนแห่งสํานักนิกายระดับหนึ่งยังกล้าสังหาร!”
ผู้อาวุโสที่สองกล่าวว่า “วันนี้ข้ามาที่ชนบทห่างไกลความเจริญก็เพื่อล้างแค้นให้พี่ใหญ่ของข้า ในเมื่อเจ้าสํานักซวนปิงซ่อนตัวอยู่ในดินแดนลึกลับทางตะวันตกและไม่กล้าออกมา เช่นนั้นสํานักซวนปิงก็ไม่จําเป็นต้องมีอยู่ต่อไป”
“ส่วนพวกเจ้า…”
สายตาที่ดุร้ายของผู้อาวุโสผู้นี้จับจ้องมาที่พวกเขา เจ้าสํานักชางเยี่ยรีบพยายามจะปัดความเกี่ยวข้อง เขากล่าวว่า “เรื่องนี้ข้าไม่รู้จริง ๆ ข้าไม่ได้สนิมสนมกับพวกซวนปิงนั่นเท่าไหร่นัก”
เจ้าสํานักเฟินเทียน “ข้าเองก็ไม่ได้สนิทสนมกับเขา และข้ายังมีความแค้นกับเขาอีกด้วย”
“ต่อให้พวกเจ้าไม่เกี่ยวข้อง แต่พี่ใหญ่ของข้าเกิดเรื่องขึ้นทางตะวันตกของพวกเจ้า พวกเจ้าก็ต้องชดใช้”
สีหน้าของเจ้าสํานักเฟินเทียนและเจ้าสํานักชางเยี่ยเผือดซีด หมายความว่าอย่างไรกัน ?! ผู้อาวุโสที่สองของสํานักอวิ๋นเยียน สํานักนิกายระดับหนึ่งผู้นี้ช่างไร้เหตุผลเสียจริง
พวกเขาเพียงแค่ไม่พอใจ พวกเขาก็แค่อยากจะระบายโทสะกับคนบริสุทธิ์เหล่านี้ และคนของสํานักนิกายครึ่งระดับอย่างพวกเขาเหล่านี้ แน่นอนว่าก็ไม่กล้ากล่าวอะไรออกมาแม้แต่คําเดียว
ความแข็งแกร่งเป็นสิ่งสำคัญโดยแท้!
ทั้งหมดเป็นเพราะอีกฝ่ายแข็งแกร่งมากพอ ผู้ที่แข็งแกร่งไม่มากพอต้องหุบปาก
เจ้าสํานักชางเยี่ยกล่าว “เรื่องนี้เป็นความประมาทเลินเล่อของพวกข้า พวกข้ายินดีชดใช้เป็นเม็ดยาระดับหกขึ้นไปหนึ่งร้อยเม็ด และอาวุธวิญญาณระดับสูงสิบชิ้นให้กับสํานักของเจ้า ตกลงหรือไม่ ?”
ผู้อาวุโสที่สองขมวดคิ้วเล็กน้อย “ช่างเป็นสถานที่ที่สภาพแวดล้อมย่ำแย่โดยแท้ ถึงได้ให้ค่าตอบแทนที่น่ารังเกียจเช่นนี้ พวกเจ้าตระหนี่เกินไปแล้ว!”
เจ้าสํานักชางเยี่ยรู้สึกหมดหนทางอย่างมาก นี่เป็นเงินต้นทุนในการค้าขายที่ยกให้ไปจนหมดทรัพยากรของสํานักของพวกเขาแล้ว
ผู้อาวุโสที่สอง “ดูพวกเจ้าก็ไม่มีของดีอะไรเลย และข้าก็ไม่ชอบมัน”
กล่าวไปพลางก็เหลือบมองศิษย์รุ่นเยาว์ของทั้งสองสํานักใหญ่ไปพลาง “ดูศิษย์ทั้งสิบคนที่อยู่ด้านหลังพวกเจ้าสิ น่าจะเป็นศิษย์ที่โดดเด่นที่สุดของสํานักพวกเจ้าแล้วกระมัง”
เจ้าสํานักชางเยี่ยกล่าว “ใช่แล้ว”
“สมบัติของพวกเจ้าไม่เพียงพอ เช่นนั้นก็เอาคนมาชดเชยเสียเถอะ ข้ายังขาดข้ารับใช้อยู่พอดี พวกเจ้ายี่สิบคนกลับไปที่สํานักอวิ๋นเยียนกับข้าประเดี๋ยวนี้เลย”
การไปยังสํานักอวิ๋นเยียน ต่อให้ไปเป็นข้ารับใช้ ขอเพียงพรสวรรค์ของพวกเขาถูกเห็นค่า เช่นนั้นก็อาจจะมีอนาคตที่สดใสรออยู่ก็เป็นได้
ในยี่สิบคนนี้ มีหลายคนรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้ไป
สีหน้าของเจ้าสํานักเฟินเทียนและเจ้าสํานักชางเยี่ยไม่ค่อยจะดีนัก แม้ว่าพวกเขาจะเป็นสํานักนิกายระดับหนึ่ง แต่ศิษย์ที่โดดเด่นเหล่านี้ก็ต้องใช้ทรัพยากรของพวกเขาในการฝึกฝนเลี้ยงดู
พรสวรรค์ของศิษย์บางคนในที่นี้มิได้อ่อนด้อยไปกว่าศิษย์ระดับกลางบางคนของสํานักอวิ๋นเยียน สํานักนิกายระดับหนึ่งเลย แต่เมื่อผู้อาวุโสที่สองเอ่ยปากมาเช่นนี้ ก็จะต้องฉวยโอกาสนี้พาศิษย์ทุกคนไป
หากศิษย์รุ่นเยาว์จากไปทั้งหมด ย่อมเป็นการโจมตีอันน่าสยดสยองสําหรับสํานักของพวกเขาอย่างไม่ต้องสงสัย
“เป็นอะไรไปรึ ? พวกเจ้าไม่ยินยอมหรือ ?”
เจ้าสํานักชางเยี่ยและฮั่วอู๋จี๋ไม่กล้าเอ่ยคำใด ผู้อาวุโสที่สองจึงกล่าวว่า “ถ้าหากเต็มใจ ทั้งหมดก็จงลุกออกมา”
กลุ่มคนทั้งสิบคนจากสำนักชางเยี่ยก้าวออกมา พวกเขากลุ่มหนึ่งไม่ต้องการพลาดโอกาสที่ดีเช่นนี้ไป และอีกกลุ่มหนึ่งพวกเขาก็ไม่ต้องการที่จะทําให้ผู้อาวุโสที่สองของสํานักอวิ๋นเยียนโกรธราวกับว่าจะสามารถระเบิดได้ทุกเวลา
คนเหล่านี้ของสํานักชางเยี่ยเลือกที่จะไปอยู่ในเมือง แต่สํานักเฟินเทียนกลับมีผู้คนเพียงครึ่งเดียวที่เดินออกมา
ผู้อาวุโสที่สองเหลือบมองคนทั้งห้าคนก่อนจะกล่าวว่า “พวกเจ้า… พวกเจ้าไม่ยินยอมรึ ?”
หนึ่งในนั้นกล่าวเสียงสั่น ๆ ว่า เจ้าสํานักและสํานักนิกายได้เลี้ยงดูข้ามา ข้าต้องการรับใช้สํานักเฟินเทียน ข้าไม่มีความใฝ่ฝันที่จะไปที่สำนักนิกายใหญ่เลย”
“กล้าดีอย่างไรจึงปฏิเสธข้า เช่นนั้นพวกเจ้าทุกคนก็ไปตายเสียเถอะ!”
ผู้อาวุโสที่สองโกรธจนใบหน้าเครียดคล้ำ พลันลมแรงอันน่าสะพรึงกลัวก็พัดผ่านพวกเขา ผู้อาวุโสใหญ่ทั้งหลายของสำนักเฟินเทียนและฮั่วอู๋จี๋รีบเข้าไปห้ามปราม
สํานักอวิ๋นเยียนแห่งสํานักนิกายระดับหนึ่ง เป็นสํานักนิกายแรกในทวีปเซี่ยโจว เพราะที่ตั้งของมันอยู่จุดสูงสุดของทวีปเซี่ยโจวมาเนิ่นนานแล้ว ดังนั้นในแต่ละสำนักนี้จึงโหดร้ายและโหดเหี้ยมมากนัก
ในขณะนั้น มีเสียงที่เย็นชาดังขึ้นมา “ข้าได้เห็นแล้วว่าสํานักอวิ๋นเยียนแห่งสํานักนิกายระดับหนึ่งของพวกเจ้าไร้เหตุผลอย่างไร พวกข้าไม่อยากไปกับเจ้า ก็เพียงแค่ไม่อยาก มิมีเหตุอื่นใด”
— ตูม! ตูม! —
ทันใดนั้นเสี่ยวหงและอู๋ตี้พุ่งออกไป
สัตว์ศักดิ์สิทธิ์สองตัว!
ผู้อาวุโสที่สองตะลึงงัน มองไปยังหญิงสาวที่เย็นชาตรงหน้า
นางมองไปยังผู้อาวุโสที่สองของสํานักอวิ๋นเยียนเช่นกัน แววตานางเย็นยะเยือกและบ้าคลั่ง ไม่มีแววแห่งความเกรงกลัวแม้แต่น้อย
ผู้อาวุโสที่สองถามขึ้นว่า “เจ้าเป็นใคร ?!”
“นางเป็นสตรีของข้า”
เสียงที่เย็นชาทําให้ผู้คนราวกับตกลงไปในนรกดังออกมา ทุกคนต่างเห็นหญิงสาวชุดม่วงผู้งดงามผู้นั้นถูกชายหนุ่มชุดดําผู้หนึ่งโอบเข้าไปในอ้อมแขน
ราวกับเทพมารที่ลงมาบนโลก เมื่อปรากฏตัวขึ้น เขาผู้นี้ทําให้หัวใจของทุกคนสั่นสะท้านได้
ฮั่วอู๋จี๋และเจ้าสำนักชางเยี่ยรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่ากลิ่นอายของชายชุดดําที่ลึกลับผู้นี้ น่าหวั่นเกรงเสียยิ่งกว่ากลุ่มคนของสํานักอวิ๋นเยียนที่โกรธเกรี้ยวมากนัก
.