ทุกอย่างในบริเวณรอบ ๆ ดูเหมือนจะเงียบสงบไปอย่างประหลาด แต่อย่างไรก็ตาม กลิ่นอายเช่นนี้ทำให้กลุ่มของสำนักอวิ๋นเยียนร่างสั่นเทิ้มโดยไม่รู้ตัว
ความแข็งแกร่งที่น่ากลัวเช่นนี้ไม่ใช่สิ่งที่เซี่ยโจวควรมีอย่างแน่นอน
— ตุบ! —
พวกเขาต่างก็คุกเข่าลงทีละคนโดยไม่รู้ตัว ราวกับว่ากำลังรอยมทูตพิพากษาความตายก็มิปาน
มู่เฉียนซีจับแขนของจิ่วเยี่ยเอาไว้ กล่าวด้วยเสียงต่ำว่า “คนของสำนักอวิ๋นเยียนปล่อยให้เป็นหน้าที่ข้า”
“ไสหัวไป!” ดวงตาสีฟ้าอันเย็นยะเยือกนั้นของจิ่วเยี่ยจ้องมองไปที่กลุ่มคนของสำนักอวิ๋นเยียน เขาพ่นคำกล่าวที่น่าหวาดกลัวเช่นนี้ออกมา
และพวกเขาก็หวาดกลัวจริง ๆ หนึ่งในนั้นกล่าวออกมา
“ไป… พวกเราจะไปประเดี๋ยวนี้… ไปประเดี๋ยวนี้เลย!”
คนของสำนักอวิ๋นเยียนหายไปอย่างสมบูรณ์ภายในชั่วพริบตาเดียว ราวกับจะรีบไปจุติก็มิปาน
ทุกคนเห็นเช่นนี้ต่างก็ตะลึงอึ้งงัน รู้สึกเหมือนว่าภาพฉากเมื่อครู่ที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเพียงความฝันเป็นเพียงจิตนาการ แต่อย่างไรก็ตาม สำนักอวิ๋นเยียนนับว่าเป็นสำนักที่ยิ่งใหญ่ พวกเขาจะถูกคนแปลกหน้าลึกลับผู้นั้นทำให้ตกใจกลัวไปได้อย่างไรกัน ?
ในขณะที่พวกเขาได้สติกลับมา บุรุษผู้ที่ดูเหมือนภูตผีปีศาจผู้นั้นพามู่เฉียนซีหายตัวไปต่อหน้าพวกเขาแล้ว
เจ้าสำนักชางเยี่ย “ฮั่วอู๋จี๋ สาวน้อยผู้นั้นเป็นสตรีอย่างไรกันแน่ ? เบื้องหลังนางถึงได้มีผู้ที่น่ากลัวและแข็งแกร่งเช่นนั้นได้”
เจ้าสำนักเฟินเทียน “เรื่องนี้เจ้าจะรู้ก็ต่อเมื่อถึงเวลาที่เจ้าควรรู้เท่านั้น”
“นางไม่ใช่คนของสำนักเฟินเทียนหรอกรึ ?”
เจ้าสำนักเฟินเทียน “ใช่! หากสำนักข้ามีอัจฉริยะเหมือนสาวน้อยผู้นี้ ข้าก็คงนอนยิ้มทั้งคืนไปแล้ว”
“เจ้า… นี่เจ้าเอาคนนอกสำนักมาเข้าร่วมการแข่งขัน เจ้าแหกกฎ… เจ้า…”
สาวน้อยผู้นั้นเข้าร่วมการประลองในฐานะศิษย์สำนักเฟินเทียน ทำให้สำนักเฟินเทียนสว่างเจิดจรัสและได้มีโอกาสเข้ามายังดินแดนลึกลับแห่งนี้ มาเวลานี้กลับบอกว่านางไม่ใช่คนของสำนักเฟินเทียน
ฮั่วอู๋จี๋กล่าวด้วยท่าทีเย่อหยิ่ง “แหกกฎแล้วอย่างไร ? เวลานี้เราก็ออกมาจากดินแดนลึกลับแล้ว เจ้ามีปัญญาไปคิดบัญชีกับนางรึ ?! หากเป็นเช่นนั้นเจ้าก็ควรบอกศิษย์ในสำนักเตรียมไว้ล่วงหน้าด้วยว่าอย่าลืมไปเก็บศพของเจ้า”
เจ้าสำนักชางเยี่ยโกรธจนใบหน้าหม่นคล้ำ “เจ้า… ปากร้ายนัก! ข้าคิดบัญชีกับเจ้าดีกว่า”
ทันทีที่บุรุษผู้นั้นปรากฏตัว คนของสำนักอวิ๋นเยียนพลันตกใจกลัวจนหนีหัวซุกหัวซุน แล้วเขาจะไปเอาความกล้าที่จะคิดบัญชีกับนางมาจากแห่งหนใดกัน ?
เจ้าสำนักทั้งสองสำนักสงบสติอารมณ์ลง แต่สำนักซวนปิงนั้นประสบกับความ ‘ซวย’ เป็นอย่างมาก เพราะนับจากนี้ พวกเขาจะถูกลบออกจากรายชื่อของสำนักในเซี่ยโจวแล้ว
ลมกระโชกแรงบริเวณรอบ ๆ มู่เฉียนซีที่อยู่ในอ้อมอกของจิ่วเยี่ยกล่าวขึ้นว่า “จิ่วเยี่ย ข้าว่าเดินทางเช่นนี้มันจะสูญเสียพลังอย่างมาก เราเข้าเมืองแล้วจ้างสัตว์วิญญาณบินกันดีหรือไม่ ?”
จิ่วเยี่ย “ไม่ต้อง ข้าอุ้มเจ้าไปเช่นนี้ก็กลับถึงเร็วได้เช่นกัน”
ความเร็วของจิ่วเยี่ยนั้นท้าทายสวรรค์ยิ่งนัก มู่เฉียนซีตั้งใจจะกลับไปยังแคว้นจื่อเยี่ยในเวลานี้เลย แต่ในขณะที่นางกำลังตื่นเต้นที่จะได้กลับจวน ทันใดนั้นจิ่วเยี่ยก็พานางไปที่เขาชิงซาน ทะเลสาบเยาเยี่ย!
นี่เป็นสถานที่ที่คำสาปของเขากำเริบขึ้นเมื่อคราก่อน
มู่เฉียนซีมีลางสังหรณ์ไม่ค่อยจะดีนัก นางจึงรีบกล่าวขึ้นว่า “จิ่วเยี่ย เจ้าพาข้ามาที่นี่ทำไมรึ ? ข้าอยากจะรีบกลับจวนไปปรุงยารักษาอาการท่านอา ข้ากำลังรีบ”
“ซี… วันนี้เจ้าต้องจ่ายหนี้แล้ว”
“ข้าจะกลับไป… อ๊ะ! อื้ม…”
คำกล่าวที่มู่เฉียนซีจะปฏิเสธนั้น กลับถูกจิ่วเยี่ยปิดกั้นไปเสียแล้ว
จ่ายหนี้ ก็คือการออกกำลังอย่างหนึ่ง!
การทวงหนี้ของเยี่ยอ๋องนั้นทำให้มู่เฉียนซีร้อนรุ่มราวกับตกนรกทั้งเป็น เมื่อตะวันลาลับขอบฟ้า แสงจันทร์ก็สาดทอ…
ความเย็นยะเยือกนี้กลับทำให้รู้สึกเจ็บปวดยิ่งนัก และยิ่งทำให้มู่เฉียนซีอยากจะฆ่าสังหารใครสักคน นางเกิดความรู้สึกต้องการฆ่าเป็นอย่างมากขึ้นมา
นางกัดฟันแน่น กล่าวขึ้นว่า “เป็นเพราะจื่อโยวใช่หรือไม่ จื่อโยวแนะนำเจ้าจนเจ้าเสียนิสัยไปแล้ว…”
“อืม… จื่อโยวมอบสิ่งนี้ให้กับข้า” จิ่วเยี่ยโบกมือ เขาหยิบภาพหลายภาพขึ้นมา มันเป็นของสะสมของจื่อโยว
“ซี… เจ้าลองดูสิ่งนี้”
สีหน้าของมู่เฉียนซีเขียวคล้ำด้วยความโกรธขึ้ง นางพยายามดิ้นรนอย่างสุดชีวิตภายใต้การยับยั้งของจิ่วเยี่ย “เจ้าบ้าจื่อโยว! เจ้ามันสมควรตายนัก คอยดูเถอะข้าจะวางยาพิษให้เจ้าตายไปเลย”
จิ่วเยี่ยกอดนางเอาไว้แน่นพลางกล่าวขึ้น “อืม ทำตามใจเจ้าต้องการเถอะ เพียงแต่ตอนนี้ซีต้องจ่ายหนี้ข้า…”
มู่เฉียนซีแทบอยากจะร้องไห้ออกมาอย่างแท้จริง เหตุใดจิ่วเยี่ยถึงต้องมีสหายที่คิดแต่เรื่องเช่นนี้ด้วย มิเช่นนั้นนางคงไม่ต้องมาตกอยู่ในสภาพนี้
แต่นางไม่รู้อยู่อย่างหนึ่ง …หากจิ่วเยี่ยไม่เจอหญิงสาวที่เขาต้องการ ต่อให้จื่อโยวแนะนำเขาอย่างไรเขาก็จะไม่ทำเช่นนี้อย่างแน่นอน
……
รุ่งอรุณ
ในที่สุดมู่เฉียนซีก็สามารถกลับจวนได้ นางเพิ่งกลับมาถึงจวนเช่นนี้แน่นอนว่านางยังไม่กล้าไปพบหน้าท่านอาเล็กก่อน หากให้ท่านอาเล็กเห็นความผิดปกตินี้ มีหวังต้องไปฆ่าจิ่วเยี่ยถึงจวนเป็นแน่แท้
หลังจากที่พักผ่อนไปหนึ่งวันและได้ฟื้นฟูพลังจิตสำเร็จแล้ว มู่เฉียนซีก็ไปหามู่อวู่ซวงที่เรือนอวู่โยว
มู่เฉียนซีนำเอาผลึกดอกบัวหัวใจศักดิ์สิทธิ์ออกมาจากแหวนมิติ และกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านอา ข้าหาเจอแล้ว”
เมื่อเทียบกับได้เห็นผลึกดอกบัวหัวใจศักดิ์สิทธิ์แล้ว มู่อวู่ซวงนั้นสุขใจยิ่งกว่าที่ได้เห็นมู่เฉียนซีหลานรักกลับมาอย่างปลอดภัย เขากล่าวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน “ซีเอ๋อร์เก่งมาก”
“แน่นอนอยู่แล้วท่านอา ต่อไปข้าก็จะเตรียมรักษาอาการท่านอา ท่านอาต้องเตรียมตัวให้ดีนะเจ้าคะ”
“ได้”
มู่เฉียนซีเข็นรถเข็นพามู่อวู่ซวงกลับเข้าไปในห้อง และม้วนขากางเกงขึ้น ถึงแม้ว่าขาของท่านอาจะเป็นอัมพาตมาหลายปี ทว่าขาอันเรียวยาวและงดงามนั้นยังคงเป็นเช่นนี้ มันดูสมบูรณ์แบบอย่างไร้ที่ติ มันยังคงดูดีอยู่
มู่เฉียนซีนำเอาผลึกดอกบัวหัวใจศักดิ์สิทธิ์ออกมาหนึ่งดอก และพลังวิญญาณก็ค่อย ๆ กระจายยา กระจายไปที่ขาของมู่อวู่ซวง
มู่อวู่ซวงรู้สึกเย็น ๆ ที่ขา และรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้นไม่น้อยเลย
มู่เฉียนซีกล่าวขึ้น “นี่เป็นสมุนไพรวิญญาณระดับปฐพี ผลของการใช้ในครั้งเดียวนั้นรุนแรงเกินไป ดังนั้นต้องระงับไปทีละขั้น อีกสามชั่วยามข้าจะระงับชั้นที่สองให้ท่านอานะเจ้าคะ”
“ลำบากซีเอ๋อร์แล้ว”
มู่เฉียนซีกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ไม่เป็นไรเลยเจ้าค่ะท่านอา หากข้าทำให้ท่านอากลับมาแข็งแรงได้เป็นปกติ ต่อให้ลำบากกว่านี้เป็นร้อยเท่าพันเท่า ข้าก็ยอม”
มู่อวู่ซวงส่ายหน้าพลางกล่าว “แต่ข้าไม่ยอมเป็นแน่”
“ท่านอาเล็ก ท่านเป็นผู้ป่วยของข้านะเจ้าคะ คนป่วยก็ต้องเชื่อหมอยา ข้าไม่สนใจเลยว่าท่านอาจะยอมหรือไม่ยอม อย่างไรข้าก็เต็มใจดูแลท่านอา” มู่เฉียนซีกล่าวอย่างหนักแน่น
มู่อวู่ซวงส่ายหน้าอย่างจนปัญญา สำหรับซีเอ๋อร์แล้วนั้น เขายอมเป็นเด็กให้นางบังคับ เพราะนางเป็นหลานสาวที่เขารักมากที่สุด
มู่เฉียนซี “ท่านอาพักผ่อนเถอะเจ้าค่ะ อีกหนึ่งชั่วยามข้าจะมาใหม่”
ผลึกดอกบัวหัวใจศักดิ์สิทธิ์มีทั้งหมดเจ็ดดอก ในทุก ๆ หนึ่งชั่วยามจะต้องใช้ระงับครั้งหนึ่ง หลังจากครบแล้วก็ต้องรออีกหกชั่วยาม พิษก็จะถูกระงับไปโดยสิ้นเชิง
มู่เฉียนซีถอนหายใจอย่างโล่งอกพลางกล่าว “เพียงแค่นี้ข้าก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาหน่อยแล้ว แต่ถึงอย่างไรก็ต้องระงับพิษนี้ให้เร็วที่สุด”
“ซีเอ๋อร์ อย่าปล่อยให้ตัวเองเหนื่อยเกินไปเลย”
“ไม่เหนื่อยเลยเจ้าค่ะท่านอา ข้านั้นรู้ขอบเขตของตนเองดี” มู่เฉียนซีกล่าวพลางยิ้ม
หลังจากที่ได้สมุนไพรวิญญาณระดับปฐพีมาแล้ว และได้รักษาพิษให้ท่านอาแล้ว ภารกิจต่อไปของมู่เฉียนซีก็คือการตามหาหม้อเทพนิรันดร์
หม้อเทพปาฮวางชิงมู่นั้นมีเบาะแสของหม้อเทพนิรันดร์อยู่ การปลดผนึกขั้นแรกเป็นไปอย่างง่ายดาย ดังนั้นต่อไปมู่เฉียนซีจึงจำต้องขังตัวเองเอาไว้ในห้องปรุงยาและทำการปรุงยาด้วยความตั้งมั่นเพื่อที่จะปลดผนึกขั้นที่สองให้ได้
— ตูม! —
ความตั้งใจและความพยายามของมู่เฉียนซีนั้นไม่ได้สูญเปล่าเลย หม้อเทพปาฮวางชิงมู่ถูกนางปลดผนึกขั้นที่สองสำเร็จแล้ว
ทันใดนั้นเสียงที่เคร่งขรึมก็ดังก้องออกมา
“ยินดีกับนายท่านที่ปลดผนึกขั้นที่สองสำเร็จ นายท่านเป็นผู้ที่ปลดผนึกขั้นแรกและขั้นที่สองได้สำเร็จภายในเวลาอันสั้น ช่างยอดเยี่ยมยิ่งนัก”
.