อวิ๋นหว่านชิ่นกล่าว “เข้ากับทั้งสองฝ่ายหรือ ต่อให้บ่าวจะกล้าคิด แต่ก็ไม่กล้าทำหรอกเพคะ ท่านดูบ่าวสิก็แค่เด็กผู้หญิงคนหนึ่ง จะทำได้หรือเพคะ ไม่กลัวตายหรืออย่างไรเพคะ บ่าวตัดสินใจแต่แรกแล้ว ติดตามทางการก็รับรองได้ว่ามีข้าวกินแน่นอน เดิมทีบ่าวบอกว่าแค่หลบซ่อนตัวในพระราชนิเวศน์แล้วจะไป แต่หากท่านอ๋องเชื่อใจบ่าว บ่าวก็ยินยอมช่วยทางการจับตัวการใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังกลุ่มผ้าเหลืองเพคะ! ถึงเวลานั้นหากท่านอ๋องอยากตบรางวัลบ่าว ก็พาบ่าวกลับเมืองหลวงไปดูโลกภายนอก หางานดีๆ ให้บ่าวทำก็พอแล้วเพคะ!”
เมื่อพูดคำว่าตัวการใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังออกมา ซย่าโหวซื่อถิงก็รู้แน่ชัดแล้วว่าเด็กสาวผู้นี้ น่าจะรู้เรื่องของฝั่งกลุ่มโจรโพกผ้าเหลืองจริงๆ ในดวงตามีประกายวาบผ่าน มีความจริงจังขึ้นมา แล้วจงใจหลอกถามนาง “เจ้ารู้หรือว่าเบื้องหลังของกลุ่มผ้าเหลืองนั้นมีคนบงการอยู่”
อวิ๋นหว่านชิ่นพยักหน้า “มหาโจรแห่งเขตฉังชวนบนเขาหม่าโถวนอกเมืองทางตะวันออก ฉายาซานอิง อินทรีภูเขาตัวนั้น เป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังในการยุยงปลุกปั่นให้หลี่ว์ปาลุกขึ้นประท้วง จัดตั้งกองกำลังติดอาวุธต่อต้านทางการ คนที่อยู่ข้างกายหลี่ว์ปาในตอนนี้คือผู้เฒ่าแซ่เถียนผู้หนึ่ง เป็นคนกลางที่ซานอิงนั้นส่งไปเป็นนกต่อคอยส่งข่าวคราวระหว่างทั้งสองฝ่าย เขาจะเดินทางผ่านหมู่บ้านตระกูลเว่ยทางตะวันออกของเมืองวันเว้นวัน เพื่อไปภูเขาหม่าโถวรายงานสถานการณ์ในตัวเมือง” เมื่อพูดจบลง น้ำเสียงก็เคร่งเครียดขึ้นเล็กน้อย “ถ้าหากกลุ่มโจรโพกผ้าเหลืองและทหารของทางการเกิดการปะทะกันในเมือง ซานอิงก็จะรีบนำกำลังคน เผยตัวออกมาอย่างเหิมเกริม อ้างการช่วยเหลือชาวบ้านผู้ประสบภัยแล้วช่วยกลุ่มผ้าเหลืองต่อสู้กับทหารของทางการ หากทำอะไรเพื่อเป็นการเอาชนะใจชาวบ้านอีกเพียงเล็กน้อย ถึงเวลานั้นชาวบ้านเมืองเยี่ยนหยางก็จะไม่เห็นว่าซานอิงนั้นเป็นโจรป่าผู้ร้าย โจรป่ากลุ่มนี้ก็จะกลายเป็นราชาไปในทันที แล้วค่อยๆ ขยายอาณาเขตออกไป ตีเมืองต่างๆ ก่อการกบฏ ถึงเวลานั้น ถึงแม้จะปราบปรามได้ ท่านอ๋องก็จะต้องถูกราชสำนักและฮ่องเต้ลงโทษเป็นแน่ ฉะนั้น ตอนนี้ท่านอ๋องจะต้องล้มล้างซานอิงนี้ในเมืองให้ได้เพคะ”
ทุกๆ คำนั้น เป็นความกังวลในหลายวันมานี้ของซย่าโหวซื่อถิงพอดี
สาวน้อยผู้นี้ เป็นเพียงหญิงบ้านป่าธรรมดาคนหนึ่งจริงหรือ
อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นเขายอมรับโดยปริยาย จึงกล่าวขึ้น “บ่าวพูดถึงขนาดนี้แล้ว ท่านอ๋องน่าจะเชื่อบ่าวได้แล้วกระมัง”
ซย่าโหวซื่อถิงเพ่งมองนาง ไม่ได้พูดอะไร แต่สีหน้าบนใบหน้านั้น เห็นได้ชัดว่าผ่อนคลายมากขึ้นแล้ว
อวิ๋นหว่านชิ่นลองถามขึ้นอีก “ขอทูลถามท่านอ๋อง ใต้เท้าซือและแม่ทัพทั้งหลาย คิดวิธีล่อซานอิงออกมาได้หรือยังเพคะ”
นี่นางกำลังหารือแผนการกับตนอยู่หรือ ว่าไปสาวน้อยผู้นี้หากมิใช่คนที่มักจะทำกริยาเสียมารยาทแล้ว ความกล้าหาญเฉลียวฉลาดและกล้าจะกระโจนเข้าใส่นี้ หากเป็นชาย จะเลี้ยงไว้รอใช้ประโยชน์ก็ไม่เลวนัก ซย่าโหวซื่อถิงหมุนแหวน สายตาสงบนิ่ง “ล่อกลุ่มโจรโพกผ้าเหลืองก่อน ทำทีเป็นเปิดสงคราม ฉวยโอกาสล่อซานอิงออกมา แล้วตีให้ราบคราบ กลุ่มคนทั้งสองฝ่ายจะต้องจับให้ได้พร้อมกัน มิเช่นนั้นหากทำให้อีกฝ่ายตื่น จะเกิดปัญหาต่อมาไม่รู้จบ”
“ที่ท่านอ๋องกล่าวมานั้นตรงกับที่บ่าวคิดพอดีเพคะ” อวิ๋นหว่านชิ่นดีใจ เห็นเขามองตนด้วยสีหน้าดุร้าย ก็แลบลิ้น แล้วเก็บอาการ แล้วจึงเอ่ยถามขึ้นอีก “แล้วท่านอ๋องคิดออกหรือยังเพคะว่าจะล่อกลุ่มผ้าเหลืองออกมาได้อย่างไร”
ซย่าโหวซื่อถิงเผยรอยยิ้มในดวงตาให้กับนางแล้วเหลือบมองนาง “ตัวล่อศัตรูนั้น วันนี้เกือบถูกเจ้าทำลายไปเสียแล้ว”
อวิ๋นหว่านชิ่นเข้าใจแล้ว ตัวล่อศัตรู ก็คือหลี่ว์ชีเอ๋อร์
เขาเลี้ยงดูหลี่ว์ชีเอ๋อร์ไว้ในพระราชนิเวศน์อย่างดีมาตลอด ก็เพื่อหาโอกาสล่อหลี่ว์ปาออกมา
แต่คำพูดของเขานั้น กลับทำให้นางไม่พอใจอย่างมาก ตัวยังคุกเข่าอยู่ แต่เงยหน้าขึ้นมาเบะปาก “อะไรคือถูกบ่าวทำลายละเพคะ นางล่วงเกินบ่าวก่อนแท้ๆ กดบ่าวให้ต่ำลงไม่ได้ ตนเองกลับเกือบจะพานพบหายนะเอง ท่านอ๋องปกป้องหลี่ว์ชีเอ๋อร์เพียงนี้ ไม่กลัวพระชายาในเมืองหลวงไม่พอใจหรือเพคะ”
ซย่าโหวซื่อถิงเดิมทีก็แค่พูดไปอย่างนั้นไม่ได้ใส่ใจอะไร เมื่อได้ยินนางนำมาผูกกับภรรยาที่รักของตนแล้วก็หน้าเสีย “เจ้านึกว่าหญิงสาวในใต้หล้านี้ใจแคบเหมือนเจ้าหรือ”
อวิ๋นหว่านชิ่นแบมือทั้งสองออก “พระชายาไม่ใจแคบ บ่าวใจแคบเองก็ได้เพคะ หากไม่ใช่เพราะหลี่ว์ชีเอ๋อร์นั่น มือของบ่าวจะกลายเป็นแบบนี้ไปได้อย่างไรเล่าเพคะ…”
นางกล่าวพึมพำ แต่กลับเหมือนกำลังออดอ้อนอยู่
ชายหนุ่มขมวดคิ้ว เมื่อนึกถึงกริยาไร้มารยาทเมื่อครู่ของนางแล้ว ไม่เชื่อว่านางล้อเล่นจริงๆ ช่างเถิด หญิงผู้นี้ถึงจะเก่งกาจเพียงใดแต่ก็เก็บไว้ข้างกายไม่ได้ ใช้ประโยชน์เพียงครั้งนี้ ให้เงินรางวัลแล้วปล่อยนางไป ยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะพานางกลับเมืองหลวง คิดๆ อยู่ สายตาก็เหลือบมองไปตามคำพูดของนาง เห็นปลายนิ้วทั้งสิบนั้น บวมแดงขึ้นมาจริงๆ ทำให้ผิวพรรณหลังมือและข้อมือยิ่งดูขาวเนียนขึ้น ทันใดนั้น ใบหน้าก็มีความสงสัยแล่นผ่าน
อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นความผิดปกติบนใบหน้าเขา ก็รู้ขึ้นมาทันใด แย่แล้ว รีบเก็บมือกลับเข้าไปในแขนเสื้อ “ท่านอ๋อง เราคุยธุระกันเถิดเพคะ ท่านอ๋องมีแผนจะล่อกลุ่มผ้าเหลืองออกมาอย่างไรหรือเพคะ”
มือทั้งสองของนางบำรุงจนงดงามมาตลอด เมื่อมาเกิดใหม่ก็ค่อยๆ คุ้นเคยกับตำรับความงาม ไม่เว้นแม้แต่ใบหน้าที่สองของหญิงสาว ปรุงเครื่องหอมบำรุงมือขึ้นมาโดยเฉพาะ ทาเป็นประจำทุกวัน บำรุงจนมือทั้งสองเหมือนถูกชะล้างด้วยน้ำมัน อีกยังเหมือนถูกห่อด้วยผ้าไหม เต่งตึงเงางาม ขาวเนียนไร้ริ้วรอย นิ่มดังสำลี
เพียงแต่นางไม่คิดว่า เขาเกือบจะจำมือของตนได้…
โชคดีที่มือบวม รูปร่างแปลกไป ดูไม่ค่อยออก เขาน่าจะไม่ได้คิดอะไรมาก
ซย่าโหวซื่อถิงก็รู้ตัวว่าจ้องมือของนางนั้นเสียมารยาทนัก เห็นนางเก็บเข้าไป ก็ไม่ได้ดูต่อ เปลี่ยนไปคิดอย่างอื่น สีหน้าเคร่งขรึม แล้วขานรับนาง “อืม”
อวิ๋นหว่านชิ่นคิดอยู่สักครู่ แล้วกล่าวขึ้น “แต่หลี่ว์ปาผู้นี้รักความถูกต้อง แยกแยะเรื่องส่วนตัวกับเรื่องส่วนรวม อาจจะไม่นำกลุ่มคนผ้าเหลืองมาสู้รบกับทหารทางการต่อหน้าเพียงเพื่อช่วยน้องสาวนะเพคะ”
ซย่าโหวซื่อถิงก็พอจะรู้จักนิสัยของหลี่ว์ปา นี่ก็เป็นสาเหตุหนึ่งว่าทำไมจนถึงตอนนี้ยังไม่มีความเคลื่อนไหวใด อยากจะรอโอกาสอันดีก่อน เมื่อเห็นว่านางพูดจามีนัยยะแฝง ก็เคาะโต๊ะ “เจ้ามีวิธีแล้วหรือ”
“หลี่ว์ปาเอ็นดูน้องสาวนัก อยากจะช่วยแต่ก็กลัวเสียการใหญ่ พี่น้องกลุ่มผ้าเหลืองแทบจะขาดเสบียงแล้ว เป็นความกังวลหลักของเขาในตอนนี้ หากเป้าหมายทั้งสองนั้นมาผนวกรวมกัน แล้วเขายังได้โอกาสดีอีก น่าจะทำให้เขาสู้กับทหารทางการอย่างไม่คิดชีวิตได้ และจะล่อซานอิงออกมาได้ด้วย” แต่ละถ้อยคำ พูดอย่างช้าๆ ไม่รีบร้อนใด
ซย่าโหวซื่อถิงยกคิ้ว น้ำเสียงนุ่มนวลลงบ้าง “เจ้าลุกขึ้นมาพูดให้ละเอียด”
ท่านยังจำได้หรือว่าข้าคุกเข่าอยู่ ก็ยังถือว่ามีมนุษยธรรมอยู่
อวิ๋นหว่านชิ่นจับกระโปรงแล้วลุกขึ้นมา แล้วยกเก้าอี้มานั่งตรงโต๊ะฝั่งตรงข้ามอย่างไม่เกรงใจ
ลมแผ่วเบาแทรกซึมผ่านซอกหน้าต่าง พัดจนผ้าม่านไหวเล็กน้อย ในห้องอันอบอุ่น มีเสียงพูดคุยกันลับๆ อย่างแผ่วเบาลอยวนเวียน
ณ จวนผู้ว่าการเมืองเยี่ยนหยาง
หลี่ว์ปานั่งอยู่บนเก้าอี้ ฟังผู้ใต้บังคับบัญชารายงานข่าวสาส์นจากสาวน้อยชิ่งเอ๋อร์ ขมวดคิ้วแน่น ผ่านไปสักพักใหญ่จึงจะยืนยัน “เป็นเช่นนี้จริงหรือ”
“ขอรับลูกพี่” ชายฉกรรจ์ที่แฝงตัวเข้าไปในพระราชนิเวศน์เป็นครั้งที่สองนั้นพยักหน้า “แม่นางชิ่งเอ๋อร์บอกว่า ช่วงเช้าของวันที่เจ็ด ฉินอ๋องจะนำทัพไปแจกจ่ายเสบียงให้กับชาวบ้านผู้ประสบภัยที่หมู่บ้านตระกูลเว่ยที่อยู่ตะวันออกของเมืองด้วยตนเอง นำทหารรวมไปถึงทหารทางการของเยี่ยนหยางรวมสามร้อยกว่านาย อีกยังมีสาวใช้ในพระราชนิเวศน์ติดตามไปด้วยขอรับ”
ไปแจกเสบียงหรือ หากซุ่มอยู่ที่นั่นก่อน แล้วปล้นเสบียงมา ก็ไม่ต้องทนทุกข์กับการขาดเสบียงอีก ปลอดภัยกว่าแอบวางเพลิงพระราชนิเวศน์แล้วแอบจู่โจมคลังเสบียงยามค่ำคืนนัก
หลี่ว์ปาเริ่มขบคิด เพียงแต่ยังคงลังเลอยู่ ในเมื่อฉินอ๋องนำทัพเอง การคุ้มกันก็จะต้องแน่นหนาเป็นแน่
ชายฉกรรจ์มองลูกพี่อีก แล้วกล่าวเสริม “จริงสิลูกพี่ ได้ยินแม่นางชิ่งเอ๋อร์พูดว่าในบรรดาสาวใช้ที่ติดตามไปนั้น มีน้องชีเอ๋อร์ด้วยขอรับ”