ตอนที่ 90 หายไปอีกแล้ว / ตอนที่ 91 ยังไม่ทันได้บอกลา

[นิยายวาย] เมื่อบุหรี่ตกหลุมรักไม้ขีดไฟ

ตอนที่ 90 หายไปอีกแล้ว 

 

 

ชย่าอวี่ชิวพูดจบก็ยื่นหน้าเข้ามาจ้องชุยหังใกล้ๆ พักหนึ่ง แล้วส่งยิ้มให้เขาก่อนที่จะเดินออกไป 

 

 

ชุยหังเหมือนจะยังดึงสติกลับมาไม่ได้ เมื่อกี้นี้ชย่าอวี่ชิวมาที่นี่อย่างนั้นหรอ 

 

 

“เหลาอู่ ทำไมเพื่อนบ้านเกิดนายถึงเอาแต่ซื้อของมาให้นายตลอดเลยล่ะ?” ถังเฉิงเอ่ยถาม 

 

 

ชุยหังตอบไปว่า: “เงินเยอะ คงไม่มีที่ให้ใช้เงินมั้ง” 

 

 

“จริงหรือเปล่าเนี่ย ตรงที่ฉันมีที่ให้นะ” ถังเฉิงพูดล้อเล่นขึ้นมา 

 

 

วังเฉียงพูดขึ้น: “เหล่าซื่อ นายคิดจะทำอะไร” 

 

 

“ฉันไม่ได้คิดจะทำอะไรนะ ฉันอิจฉาไม่ได้หรือไง” ถังเฉิงว่า 

 

 

“ไม่เป็นไร เดี๋ยวพอเปิดเทอมเหมือนพวกรุ่นพี่ปีสองปีสามจะนัดรวมตัวให้ทุกคนจัดงานเลี้ยงมิตรภาพคนบ้านเดียวกันขึ้นมาครั้งนึง บางทีพวกรุ่นพี่ปีสี่ก็อาจจะมาร่วมด้วยเหมือนกัน” จู่ๆ จังเผิงก็พูดขึ้นมา 

 

 

ในเวลานั้นชุยหังรู้สึกสนอกสนใจจนต้องถามออกไปว่า: “อะไรคืองานเลี้ยงมิตรภาพคนบ้านเดียวกันหรอ” 

 

 

“ก็คือนักศึกษาที่มาจากแต่ละจังหวัด แต่ละเมืองจะแบ่งตามเมืองจัดงานรวมตัวกัน เพื่อทำความรู้จักกัน ในอนาคตจะได้สามารถดูแลช่วยเหลือกันได้ ทั้งในชมรมนักศึกษา สโมสรนักศึกษาแต่ละสโมสรต่างก็ช่วยเหลือพวกของตัวเองทั้งนั้น พวกนายไม่รู้เรื่องนี้หรอ” จู่ๆ จังเผิงก็เปลี่ยนเป็นเริ่มพูดมากขึ้นมาแล้ว 

 

 

ชุยหังรีบถามขึ้นว่า: “เหล่าซาน นายรู้ได้ยังไงอ่ะ” 

 

 

“เพื่อนร่วมห้องชั้นเก่าของฉันก็อยู่สาขานี้เหมือนกัน ตอนนี้อยู่ปีสองแล้ว” จังเผิงว่า 

 

 

“นายเรียนซ้ำหรอ” ชุยหังเอ่ยถาม 

 

 

“อืม เรียนซ้ำปีนึง” จังเผิงยังคงแสดงสีหน้าแบบเดิม 

 

 

แต่ว่าเรื่องที่เขาพูดนั้นก็ทำให้พวกเขาทุกคนเข้าใจการใช้ชีวิตในมหาวิทยาลัยมากขึ้นกว่าเดิมขึ้นมาอีกนิดแล้ว 

 

 

ไม่รู้เลยว่าความรู้สึกภายในใจตอนนี้คืออะไร คือผิดหวังหรือว่าเป็นความรู้สึกยากที่จะยอมรับได้ 

 

 

อันที่จริงในโลกใบนี้มันก็ไม่เคยยุติธรรมมาแต่ไหนแต่ไรแล้วล่ะ 

 

 

หลังจากชุยหังถามต่ออีกสองสามประโยคก็ไม่ได้กังวลหรือสนใจอะไรอีก 

 

 

ในเมื่อเขาชอบพวกชมรมศิลปะอะไรพวกนั้น สถานที่แบบนั้นคงจะไม่เกี่ยวกับว่าเป็นเพื่อนบ้านเดียวกันหรือไม่หรอกมั้ง 

 

 

หรือจะให้เหตุผลแค่ว่าเป็นเพื่อนบ้านเดียวกัน ให้คนที่ร้องเพลงไม่ได้ไปร้องเพลง ให้คนที่เต้นไม่ได้ไปเต้น เพื่อทำลายงานเลี้ยงให้มันเละไปเลยแบบนั้นหรือยังไงล่ะ 

 

 

เห็นได้ชัดว่าเรื่องแบบนี้มันเป็นไปไม่ได้ 

 

 

หลังจากกินข้าวเที่ยงเสร็จเรียบร้อย พวกเขาก็นอนพักผ่อนอยู่ในห้องพักอีกพักหนึ่ง ชุยหังเอาแต่เล่นโทรศัพท์อยู่ตลอด กำลังคิดว่าจะตอบชย่าอวี่ชิวว่ายังไงดี 

 

 

แต่พอคิดคำตอบออกมาได้หลากหลายแบบแล้ว สุดท้ายต่างก็เป็นเพราะรู้สึกไม่พึงพอใจ ไม่ค่อยจริงใจ หรือเพราะเหตุผลบางอย่างที่ทำให้เขาต้องค่อยๆ ลบมันทิ้งไปเหมือนเดิมทุกครั้ง 

 

 

ช่วงบ่ายเป็นไปอย่างที่คิดโจวเฉวียนประกาศบอกทุกคนว่าการฝึกทหารจะดำเนินไปตามปกติ 

 

 

เหล่านักศึกษาที่พักผ่อนมาตลอดช่วงเช้ารู้สึกแทบไม่อยากขยับเขยื้อน การที่ได้นอนหลับพักผ่อนอย่างตะกละตะกลามมาตลอดทั้งช่วงเช้ามันสบายมากจริงๆ 

 

 

พอคิดว่าจะต้องไปเจอหน้าหลูจื้ออีกก็ทำเอาชุยหังถึงกับหัวโตขึ้นมาเลยทีเดียว 

 

 

เรื่องเมื่อตอนเช้าเขาคงไม่ลืมมันหรอก 

 

 

ตัวเองพูดกับเขาไปตั้งเยอะแยะ เดาว่าในหัวสมองตอนนี้คงจะมีความคิดปรากฏขึ้นมาว่า…เล่นบ้าอะไร 

 

 

ความคิดแบบนั้น สำหรับผู้ชายแท้อกสามศอกคนหนึ่งมันก็เป็นเหมือนยาพิษ เป็นสิ่งของที่แตะต้องไม่ได้ 

 

 

แต่ละคนเดินอืดอาดยืดยาดมาจนถึงสนามกีฬา ทุกคนต่างก็รู้สึกว่าฝนเมื่อเช้ามันช่างตกได้ทันเวลาเกินไปแล้ว 

 

 

ขนาดแสงอาทิตย์ในยามบ่ายยังร้อนแรงได้มากขนาดนี้ ทำให้คนรู้สึกทนแทบไม่ไหว 

 

 

ครูฝึกทุกคนกำลังยืนรออยู่ตรงกลางสนามกีฬา แต่ดูเหมือนว่าจะขาดใครคนหนึ่งไป 

 

 

ตอนที่ชุยหังกวาดสายตามองไปในกลุ่มคนเหล่านั้น ดูเหมือนจะมองไม่เห็นหน้าของหลูจื้อเลย 

 

 

เขาแอบสงสัยนิดหน่อย ไม่รู้ว่าหลูจื้อมีธุระด่วนเข้ามาชั่วคราวหรือเป็นเพราะไปหลบอยู่ที่ไหนกันแน่ 

 

 

เพียงไม่นานครูฝึกประจำห้องสองก็เดินเข้ามาหาแล้วเอ่ยถามออกมาว่า: “ใครเป็นรักษาการหัวหน้าห้องของพวกนายตอนนี้?” 

 

 

โจวเฉวียนตะโกนขึ้นมาจากทางด้านหลัง: “รายงานครูฝึก ผมครับ” 

 

 

“นำทีมของพวกนายไปรวมกับทีมห้องของพวกเราทางด้านโน้น” ครูฝึกประจำห้องสองกล่าว 

 

 

ชุยหังเข้าใจในทันที ดูเหมือนว่าหลูจื้อจะไม่มาจริงๆ สินะ 

 

 

หรือว่าเขาจะถูกชุยหังทำให้ตกใจไปแล้ว ก็เลยไม่กล้าจะพูดอะไรมากอีก เพราะไม่อยากจะทอดทิ้งใครคนหนึ่งไปอย่างนั้นหรอ 

 

 

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 91 ยังไม่ทันได้บอกลา 

 

 

ในใจของชุยหังสับสนวุ่นวายไปหมด เดิมทีกลัวว่าจะต้องเจอหน้าหลูจื้อ แต่พอตอนนี้ไม่เจอเขาก็เริ่มรู้สึกเป็นห่วงขึ้นมา เป็นเพราะตนจริงๆ หรือเปล่านะ 

 

 

“ครูฝึกครับ ครูฝึกประจำห้องของพวกเราล่ะครับ” เหลียงจื้อเอ่ยถามออกไป 

 

 

ครูฝึกประจำห้องสองพูดขึ้นว่า :” เขามีธุระนิดหน่อย ช่วงบ่ายวันนี้ฉันจะเป็นคนดูแลพวกนาย” 

 

 

“ถ้าอย่างนั้นเขาจะกลับมาเมื่อไหร่ครับ” เหลียงจื้อถามเพิ่มไปอีกประโยค 

 

 

“ไม่รู้ เรื่องนี้ต้องรอดูคำสั่งจากเบื้องบนนะ” คำพูดของครูฝึกประจำห้องสองเผยสาเหตุการหายตัวไปของหลูจื้อออกมาแล้ว ดูเหมือนจะไม่ใช่เพราะเรื่องแฟนสาว แล้วก็ไม่ใช่เพราะชุยหัง แต่เป็นเพราะเบื้องบนต่างหาก 

 

 

หลังจากที่อารมณ์ของชุยหังผ่อนคลายลงไปนิดหน่อยแล้ว ทันใดนั้นเขาก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าถ้าหากเบื้องบนสั่งให้หลูจื้อไปล่ะ ถ้าเป็นแบบนั้นตัวเองก็จะไม่มีโอกาสได้เจอหน้าหลูจื้ออีกแล้ว แล้วก็ไม่สามารถอธิบายกับเขาด้วยว่าคำพูดที่ตนพูดไปเมื่อเช้านี้ทั้งหมด ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องที่เขาพูดแบบส่งเดชเท่านั้น? 

 

 

อีกอย่างเขาก็อาจจะยื่นคำร้องกับเบื้องบนไปแล้วว่าในกลุ่มของนักศึกษากลุ่มนี้มีคนแปลกประหลาดอย่างเขาอยู่ ดังนั้นจึงอยากจะกลับเข้ากรม? 

 

 

ไม่ว่าจะเป็นความเป็นไปได้แบบไหนก็ตามท้ายสุดแล้วก็คือเขาจะไม่ได้เจอหลูจื้อแล้ว และไม่ทันแม้แต่จะบอกว่าลาก่อนสักคำเลยด้วย 

 

 

ทุกคนเหมือนจะกำลังแอบกระซิบกระซาบอะไรบางอย่างกัน แต่เสียงไม่ได้ดังมากนัก 

 

 

“เอาล่ะ แถวสอง แถวสาม ทั้งหมดตอนเรียงหนึ่ง แลขวามองระเบียบแถว” ครูฝึกประจำห้องสองสั่ง 

 

 

นักเรียนห้องสองห้องสามต่างก็ขยับเข้าไปยืนประจำที่ของตัวเองอย่างรวดเร็ว 

 

 

ห้องสองก็เป็นกลุ่มเล็กกลุ่มหนึ่ง ส่วนห้องสามก็เป็นอีกกลุ่มหนึ่ง 

 

 

ครูฝึกประจำห้องสองยังเหมือนจะจงใจเดินมาหยุดตรงหน้าของชุยหังด้วย ก่อนจะใช้สายตาลึกซึ้ง สนใจมองมาที่เขาครู่หนึ่งด้วย 

 

 

แย่แล้ว ชุยหังกำลังคิดว่าดูเหมือนตอนนี้ที่หลูจื้อต้องไปจะเกี่ยวข้องกับตัวเขาแน่นอน 

 

 

แต่ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อตอนเช้ามันรุนแรงขนาดนั้นเลยหรอ 

 

 

ตนก็แค่พูดอะไรออกไปนิดหน่อยเท่านั้น ยังไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย  

 

 

วันนั้นตัวเองถึงกับจูบเขาด้วยซ้ำ ก็ไม่เห็นเขาจะอะไรเลย  

 

 

หรือว่าวันนี้เขาตั้งใจอยากจะล้างสมองชุยหัง แต่ผลปรากฏว่าเขาเกือบจะถูกชุยหังวางยาพิษแทน ดังนั้นก็เลยรู้สึกว่าเสียหน้า?  

 

 

ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ตอนนี้ชุยหังมีเพียงความคิดเดียวเท่านั้นก็คือที่หลูจื้อไปมันมีความเกี่ยวข้องกับเขาอย่างแน่นอน  

 

 

ความคิดนี้มันทำให้ระบบความคิดที่ต้องรับผิดชอบของเขาหนักอึ้งขึ้นมา ถึงแม้ว่าตัวเองจะพึ่งรู้จักกับหลูจื้อได้ไม่นานแต่ก็มักจะรู้สึกเสมอว่า สำหรับในใจของชุยหังแล้วเขาเหมือนทิ้งอะไรบางอย่างเอาไว้ 

 

 

อย่างน้อย ในช่วงเวลาสั้นๆ นี้ก็คงจะไม่มีทางที่จะลบมันออกไปได้แน่ 

 

 

“เตรียมเท้า สัญญาณหนึ่งขยับหนึ่ง หนึ่ง!” ครูฝึกประจำห้องสองไม่รอช้าพูดมากไร้สาระและเริ่มการฝึกทันที 

 

 

เป็นเพราะจำนวนคนค่อนข้างมาก ดังนั้นพวกเขาจึงใช้เวลาอยู่นานกว่าจะครบรอบ แล้วหลังจากนั้นถึงจะตะโกนสั่งคำสั่งต่อไปได้ และแน่นอนว่าแบบนี้ยิ่งทำให้พวกเขาเหนื่อยมากขึ้นไปอีก 

 

 

แต่ทว่าชุยหังกลับรู้สึกว่าความเหนื่อยล้าภายในใจมันเกินกว่าความเหนื่อยล้าทางร่างกายของเขาไปแล้ว เหมือนว่าตัวเขามันชาไปหมดแล้วยังไงอย่างนั้น 

 

 

ความรู้สึกเหมือนมีสิ่งของบางอย่างพึ่งจะผ่านข้างกายของเขาไป แล้วก็เดินหายจากไปเลยอะไรแบบนั้น 

 

 

เขานึกถึงชย่าอวี่ชิวขึ้นมา เขารู้แล้วว่าตัวเองควรจะให้คำตอบอะไรกับเขาดี 

 

 

สำหรับคนที่ตนเองไม่สามารถตัดสินใจที่จะรักได้ ก็อย่าไปรบกวนความสุขของเขาเลยจะดีกว่า 

 

 

การที่พวกเขาทั้งคู่ต่างยืนอยู่ในตำแหน่งของความเป็นเพื่อนหรือเพื่อนบ้านเกิดเดียวกันธรรมดาๆ แบบนี้มันก็ดีมากแล้ว 

 

 

ตลอดทั้งช่วงบ่ายหลูจื้อก็ไม่กลับมาอีกเลย ด้านชุยหังก็เอาแต่ทำหน้าอมทุกข์ดูไม่มีความสุขอยู่ตลอดเวลา 

 

 

ตอนที่เหลียงจื้อหันมาถามเขาก็บอกแค่ว่าเป็นเพราะอากาศร้อนเกินไปเท่านั้น โดยเฉพาะอากาศร้อนหลังจากที่ฝนตกตลอดช่วงเช้าแบบนี้ยิ่งทำให้รู้สึกอึดอัดมากขึ้นไปอีก 

 

 

พระอาทิตย์ค่อยๆ เคลื่อนตัวลงไปทางด้านทิศตะวันตกอย่างช้าๆ แต่ว่ายังไม่ทันได้ลับลงไป 

 

 

บนถนนริมสนามกีฬามีรถทหารคันหนึ่งวิ่งเข้ามา คล้ายๆ กับคันที่หลูจื้อเคยขับมันในครั้งแรกที่เจอกันวันนั้น 

 

 

ทุกคนต่างก็หันไปมองทิศทางดังกล่าว บรรดาครูฝึกเดินเข้ามารวมตัวกันแล้วมองไปทางนั้น 

 

 

มีใครคนหนึ่งลงมาจากรถ สวมชุดเหมือนกันกับบรรดาครูฝึกทุกคน สวมหมวกห้อตาลใบใหญ่แต่ทว่ารูปร่างมองไปแล้วดูอ้วนนิดหน่อย 

 

 

ครูฝึกประจำห้องสองดูเหมือนจะจำคนๆ นั้นขึ้นมาได้ในทันทีก่อนจะพูดพึมพำขึ้นมาหนึ่งประโยคว่า: “เขามาทำไมเนี่ย”